กัณฑ์ที่ ๗     ๒๓ กันยายน ๒๕๔๓

ศรัทธา

 

การที่เราจะเชื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด  เราจะต้องมี ความมั่นใจในบุคคลนั้นๆ ว่าเขามีสัจจะในสิ่งที่เขาพูด   ในสิ่งที่เขาบอกเรา  เป็นสิ่งที่เป็นความจริง   เพราะคนเรานั้น   ไม่ชอบให้ใครมาหลอก   ไม่ชอบถูกหลอกลวง  เพราะการหลอกลวงนี้   ทำให้เกิดความผิดหวัง    ทำให้เกิดความเสียใจ ถ้าเราจะเชื่อใคร ขอให้เราพิจารณาด้วยปัญญา   ใช้เวลาตรึกตรอง  ใช้เวลาดูบุคคล ที่เขาบอกอะไรกับเรา   อย่างโบราณที่ท่านบอกว่าระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์ม้า  เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน

 

คนเรานั้น จะรู้ว่าเป็นคนดี หรือคนไม่ดี เป็นคนพูดจริง หรือพูดโกหกหลอกลวงนั้น เราต้องอาศัยเวลา เพราะว่าคนเราส่วนใหญ่มักจะพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม พูดครั้ง สองครั้ง เราไม่แน่ใจ ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า  เพราะว่าคนเราสามารถหลอกลวงกันได้ เวลารู้จักกันใหม่ๆ จะพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี  ให้เราตายใจ ให้เราหลงเชื่อ   พอเราไปคบค้าสมาคมกับเขาแล้ว ต่อไปเขาก็จะแสดงธาตุแท้  สิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ออกมา  ถ้าเราไม่ระมัดระวังตัว  เราเชื่อเขาไปหมด   เวลาเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ   พลิกจากสิ่งที่เขาพูด   พลิกจากความจริง    เป็นความเท็จ มันก็จะทำให้เราเกิดความเศร้าโศกเสียใจ   เกิดความผิดหวังถึงกับหมดเนื้อ หมดตัวไปก็ได้  ถ้าไม่ระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ จะเสียใจภายหลัง ท่านจึงสอนบอกว่า เวลาจะฟังใคร จะเชื่อใคร อย่าไปฟัง อย่าไปเชื่อ ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้ฟังด้วยเหตุ ฟังด้วยผล ฟังด้วยการพิสูจน์   คือให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าจะทำอย่างที่พูดหรือเปล่า ทำได้กี่ครั้ง กี่คราว    อันนี้ต้องใช้เวลาดูไปเรื่อยๆ  แล้วเราจะรู้  เราจะมั่นใจ

 

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ก็เหมือนกัน เราก็ไม่รู้ว่า จะเชื่อท่านได้เพียงใด  แต่ถ้าเราดูกาลเวลาที่ผ่านมา   สิ่งต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้น  มีระยะเวลายาวนานถึง ๒๕๐๐ กว่าปี  และตลอดระยะเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา    ก็มีผู้พยายามจะพิสูจน์  พยายามจะลบล้างพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีอย่างที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้  แต่เวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า  คำสอนของพระพุทธองค์ยังอยู่มาได้ถึง ๒๕๐๐  กว่าปี   เพราะเป็นความจริง  มีคนได้พิสูจน์    ผู้ที่สามารถพิสูจน์ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง     ตามหลักของความเป็นจริง ก็คือผู้ที่ได้ศึกษา ได้ยิน ได้ฟัง พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ได้นำหลักธรรมคำสอนนั้นไปประพฤติปฏิบัติ  นำไปพิสูจน์ดู ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน  ทรงบอกไว้นั้น  มีจริงหรือไม่  จนปรากฏเป็นพระอริยะสาวกขั้นต่างๆ  เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาอย่างมากมาย   ในสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยปัจจุบันนี้   พระอริยะสาวกทุกรูป ทุกองค์ ไม่มีองค์หนึ่ง องค์ใด มาประกาศหรือคัดค้าน  พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแม้แต่องค์เดียว ว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นคำสอนที่ไม่ตรงกับหลักความเป็นจริง

 

ถ้าเราจะเชื่ออะไรในโลกนี้ ขอให้เราเชื่อในพระพุทธเจ้า เชื่อในพระธรรมคำสอน  เชื่อในพระอริยะสงฆ์สาวก และเชื่อได้อย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์  ไม่ว่าในสมัยพุทธกาล หรือในสมัยนี้ สิ่งที่ท่านทรงสอนให้กับพวกเรานั้น  เป็นสิ่งที่มีอยู่  เป็นอยู่  ตามหลักของความเป็นจริง  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กุขึ้นมา ไม่ใช่เป็นนิยายที่เขียนขึ้นมา  แล้วเอามาขายกัน   อันนี้ ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ดี  พระสงฆ์สาวกก็ดีนั้น การที่ท่านออกมาสั่งสอนธรรมะให้กับพวกเรานั้น  ท่านไม่ได้สอนเพื่อต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทนจากพวกเราเลย  แต่ท่านสอนออกมาจากความเมตตา กรุณา  คือมีความสงสาร  เพราะเห็นพวกเรายังตกอยู่ในกองฟืนกองไฟแห่งความทุกข์อยู่

 

พวกเรานี้ ถึงจะมีเงิน มีทอง มียศ มีตำแหน่งสูงขนาดไหน  มีเงินมากมายขนาดไหน มีกามสุข สามารถซื้อข้าว ซื้อของ  ไปเที่ยวเตร่  ไปเสพ  ไปกินอะไรต่างๆ นาๆได้ ใช่ว่าจะมีความสุข  ยังหนีไม่พ้นความทุกข์  ความทุกข์นี้ติดตามเรามา เหมือนเงาตามตัว พระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของเรา  พระองค์เคยเสพมาก่อน  เคยอยู่  เคยกิน  เคยสุข  เคยทุกข์เหมือนกับพวกเรามาก่อน พระองค์ทรงรู้ว่า ความทุกข์ของพวกเรานั้นหนักหนาสาหัสขนาดไหน ดังนั้น หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรมแล้ว ทรงสามารถดึงพระองค์ ออกจากกองเพลิงของความทุกข์ได้  แล้ว พระพุทธองค์จึงเกิดความสงสาร  เป็นห่วงเป็นใย   อยากจะช่วยให้พวกเราได้พ้นจากกองฟืน กองไฟ ของความทุกข์  พระองค์จึงสละเวลา  ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา  หลังจากที่ได้ตรัสรู้  จนกระทั่งถึงวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน  เอาธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงรู้ ทรงเห็น  มาสั่งสอนพวกเรา เพื่อที่พวกเราซึ่งเปรียบเหมือนคนตาบอด จะได้ลืมตาขึ้นได้ 

 

พระพุทธองค์เปรียบเหมือนกับหมอรักษาโรคตา   รักษาความมืดบอดของเรา ให้กลายเป็นดวงตาที่สว่างไสวขึ้นมาภายในจิตใจของเรา   โดยการน้อมนำเอาธรรมะ   ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน  มาประพฤติปฏิบัติ   เราก็จะสามารถ ทำให้ดวงตาของเรานั้น กลายเป็นดวงตาของธรรมขึ้นมาได้   เป็นผู้มีแสงสว่างแห่งธรรม  เป็นผู้สามารถที่จะดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นดีงาม  

 

สิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่เห็นนั้น   พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นมาก่อน  ทั้งๆ ที่เราก็มีตาเหมือนกัน แต่ตาเรานั้นมองได้แค่รูปอย่างเดียว  ไม่สามารถมองสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่ารูปทั้งหลายได้  นั่นคือเรื่องของนรกก็ดี  สวรรค์ก็ดี  ภพ-ภูมิต่างๆ ก็ดี   ตายไปแล้วต้องไปเวียนว่ายตายเกิดก็ดี  มรรค-ผล-นิพพานก็ดี  เป็นสิ่งที่อยู่เหนือวิสัยของเรา  ที่จะสามารถเห็นได้  เราต้องอาศัยคนอย่างพระพุทธเจ้า  คอยชี้  คอยบอกเรา เพราะฉะนั้น  ขอให้เราเชื่อในสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสั่งสอนเรา ว่านรกนั้นมีจริง  สวรรค์นั้นมีจริง บาปบุญมีจริง  ความดี ความชั่วนั้นมีจริง 

 

ถ้าเราอยากจะปฏิเสธเรื่องนรก เรื่องสวรรค์แล้วละก็ เราก็ปฏิเสธเสียก่อนว่า ความโลภ  ความโกรธ และความหลงนั้น  ไม่มีในจิตใจของเรา  เพราะว่าความโลภ   ความโกรธ   ความหลงนั้น  มันเป็นต้นเหตุที่จะพาเราไปสู่นรกนั่นเอง  ถ้าเราไม่สามารถที่จะปฏิเสธว่า  ความโลภ   ความโกรธ   ความหลงนี้   ไม่มีอยู่ในจิตใจของเราแล้ว   เราก็ไม่สามารถปฏิเสธนรก  ปฏิเสธสวรรค์ได้   เพราะว่านรกสวรรค์นั้น  มันเป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเราทางจิตใจจริงๆ เวลาเรามีความโลภ  มีความโกรธ มีความหลง อยู่ในจิตใจของเรา  จิตใจของเราจะมีอารมณ์ที่จะนำไปสู่การกระทำ ที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เช่นไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไปลักทรัพย์  ไปประพฤติผิดประเวณี ไปเสพสุรายาเมา อย่างนี้เป็นต้น  

 

เวลาที่เราไม่มีความหลงแล้ว เราจะไปเสพสุรา ให้มันเสียเงินเสียทองทำไม  จะไปเสพสุรา ให้มันกลายเป็นคนไม่มีสติสตังทำไม  เพราะว่าเวลาที่เราเสพสุราไปแล้ว ทำให้เราไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราได้  ไม่มีสติที่จะยับยั้งความคิดต่างๆได้  ไม่มีสติที่จะยับยั้งคำพูด  และการกระทำต่างๆได้   ถ้าเราสังเกตดู  เราจะเห็นว่า เวลาเสพสุราเข้าไปแล้ว เราจะทำความชั่วได้ง่าย แต่เวลาที่ไม่เสพสุรา เรายังมีความเกรงกลัวต่อบาป มีความอาย แต่พอเสพสุราเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็เกิดความเมาขึ้นมา เกิดความบ้าระห่ำขึ้นมา เกิดความไม่กลัวบาปขึ้นมา  เกิดความไม่มียางอายขึ้นมา ก็จะพูดเลอะเทอะ พูดจาหยาบคาย ถ้อยคำที่พูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ฟังแล้วไม่รื่นหู ไม่น่าฟัง คนอื่นก็ไม่อยากเข้าใกล้ 

 

เวลาที่ไม่ได้เสพสุรา จะพูดอะไรก็จะมีความระมัดระวัง ให้สิ่งที่พูดออกไปนั้น เป็นคำพูดที่สุภาพเรียบร้อย ไม่พูดถ้อยคำที่หยาบคาย แล้วทำไมถึงต้องไปเสพสุรา ก็เพราะความหลงนั้นเอง หลงคิดว่า เสพสุราเข้าไปแล้ว มันจะสบายใจ เวลามีความทุกข์ ได้ดื่มสุราเข้าไป มันจะดับทุกข์ได้ เวลาว่างไม่รู้จะทำอะไรดี เบื่อ เซ็ง ก็ดื่มสุราเข้าไป พอกินเข้าไปแล้ว มันก็กลายเป็นการกระทำ ที่จะนำไปสู่อกุศลกรรมทั้งหลาย คือเหตุซึ่งจะนำมาซึ่งความทุกข์ นำไปสู่อบาย นำไปสู่นรก นั้นเอง

 

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสร้างอะไรขึ้นมา ไม่ได้ทรงเสกอะไรขึ้นมา ไม่ได้ทรงเป็นผู้ที่ทำอะไรขึ้นมา แล้วเอามามอบให้กับพวกเรา พระพุทธองค์เพียงแต่เป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม คือเป็นผู้ที่มีปัญญา สามารถที่จะเข้าใจทั้งเหตุและผล เหตุก็คือการกระทำ ทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ เมื่อทำไปแล้ว ผลก็จะตามมาในจิตใจ และทางร่างกาย และในภพชาติต่อๆไป เวลาเราทำความชั่ว ทำไม่ดี จิตใจเราจะมีความทุกข์ ร่างกายจะถูกทำร้าย เวลาเราทำความดี จิตใจเราก็มีความสุข จิตใจเราก็ดี ร่างกายเราก็สบาย เพราะไม่มีใครมาทำร้าย อันนี้เป็นผลที่จะตามมา และต่อไป เวลาที่เราตายไปแล้ว จิตใจเราก็จะไปสู่ภพหน้า  ชาติหน้า  จะต้องไปเกิดต่อไป  เป็นพรหมบ้าง เป็นเทพบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเดียรฉานบ้าง ขึ้นอยู่กับบุญกรรม ที่ได้ทำไว้

 

แม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาสั่งสอนเรื่องเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ เหมือนกับไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า โลกนี้ ไม่ใช่โลกกลม โลกนี้มันแบน อันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ในอดีตนั้น ไม่มีผู้ที่รู้ ผู้ที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้ คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าโลกนี้แบน เวลานั่งเรือไปสุดขอบทะเล ก็กลัวว่าจะตกไปนอกโลก อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นความเชื่อ ที่ไม่ถูกกับหลักความเป็นจริง และต่อมาก็ได้มีการพิสูจน์แล้ว ว่าโลกนี้มันไม่แบน โลกนี้มันกลม หลังจากได้พิสูจน์แล้ว ว่าโลกนี้กลม ความเชื่อที่ว่า โลกแบน ก็ไม่สามารถจะลบล้าง ความจริงที่ว่าโลกกลมได้ ฉันใด เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องบาป บุญ คุณ โทษ  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องดี เรื่องชั่วนี้ ก็เป็นความจริง จะมีใครมาบอกมาสอนเราหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ไม่มีใครสามารถมาลบล้างได้ พระพุทธศาสนาสามารถอยู่มาได้กว่า ๒๕๐๐ ปี เพราะพระพุทธศาสนา  สอนตามหลักของความเป็นจริงนั่นเอง

 

ผู้ที่มีศรัทธา มีความเชื่อ ในพระธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์ ย่อมน้อมเอาธรรมะนั้น มาประพฤติปฏิบัติ คือทำแต่ความดี ละความชั่ว และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจน ชำระความโลภ ความโกรธ  ความหลงให้หมดไปจากจิตใจ ก็จะได้รับแต่ผลที่ดี มีแต่ความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง ในทางตรงกันข้าม  ผู้ที่ไม่เชื่อ มักชอบทำแต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือ พระองค์สอนให้ทำความดี เขาก็ไม่ทำความดีกัน พระพุทธเจ้าสอนให้ละความชั่ว ก็มักจะไม่ละกัน  กลับชอบทำความชั่ว  พระพุทธเจ้าสอนให้ชำระจิตใจ  เอาความโลภ  ความโกรธ  ความหลงให้ออกไปจากจิตจากใจก็ไม่ชอบทำกัน  กลับชอบสะสมความโลภ ความโกรธ ความหลง  คือโลภให้มากขึ้น  โกรธให้มากขึ้น  สร้างความหลงให้มีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อทำในสิ่งเหล่านี้แล้ว  ผู้ที่ไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์  ก็มักจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก  มักจะมีแต่ความทุกข์  ความหายนะ ความเสื่อมเสีย  อันนี้เราเห็นกันได้ ลองไปดูที่คุกที่ตะราง  คนที่ติดคุก ติดตะราง ส่วนใหญ่นั้นเพราะไปทำผิดศีล  ผิดธรรม  ไม่เชื่อว่า จะมีผลตามมา

 

ถ้าจะเชื่อใคร ก็ขอให้เชื่อใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  เชื่อได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์  ว่าเป็นสิ่งที่สามารถนำประโยชน์ขั้นสูงสุด มาให้กับชีวิตเรา ชีวิตของเราจะมีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความสบาย ไม่มีความทุกข์ ก็เพราะว่าเราได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือละความชั่ว  ทำความดี  และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  ด้วยการละความโลภ  ความโกรธ  ความหลงนั้นเอง จึงขอฝากศรัทธาความเชื่ออันนี้ ให้กับท่านทั้งหลายไปศึกษา พินิจพิจารณา  และนำไปประพฤติปฏิบัติ  เพื่อความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองต่อไป การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้