กัณฑ์ที่
๑๑
คุณค่าของพระพุทธศาสนา
ถ้าจะนับอายุของพระพุทธศาสนา
ว่ามีความยาวนานสักแค่ไหน
ก็ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พระพุทธองค์
ทรงประกาศสอนธรรมะเป็นครั้งแรก
ก็คือวันเพ็ญ เดือน ๘
ที่เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศสอนธรรมะ
ให้กับสัตว์โลกเป็นครั้งแรก
โดยมีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
เป็นผู้รับฟังธรรม
หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมมาตลอด
จนกระทั่งถึงวันดับขันธ์ปรินิพพาน
เป็นเวลา ๔๕ พรรษา ปีนี้เป็นปีพุทธศักราชที่
๒๕๔๓ ถ้าจะนับอายุของพระพุทธศาสนา
ก็เริ่มนับจาก
วันที่พระพุทธองค์ทรงประกาศสอนธรรมะ
จนถึงวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
เป็นเวลา ๔๕ ปี
บวกเข้ากับปีพุทธศักราช
ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ ๒๕๔๓
เพราะว่าพุทธศักราชเริ่มนับจากวันที่พระพุทธเจ้า
เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
รวมกันแล้วจะได้ ๒๕๘๘ ปี
นี่คืออายุของพระพุทธศาสนา
การที่พระพุทธศาสนา สามารถดำรงมาได้ยาวนาน เป็นเพราะอานุภาพของพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์นั้นเอง ที่มีอานุภาพสามารถดึงดูดจิตใจ ดึงดูดศรัทธาของผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง สามารถทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังนั้น เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา และมีความปรารถนาที่จะสืบทอด ถ่ายทอด ให้กับอนุชนรุ่นหลังต่อไป นับตั้งแต่พระอรหันต์รุ่นแรก คือพระปัจจวัคคีย์ทั้ง ๕ หลังจากที่ท่านเหล่านั้นได้ฟังธรรมะ คำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านเหล่านั้นก็ทำหน้าที่ช่วยพระพุทธองค์เผยแผ่คำสอน ให้ผู้อื่นได้รู้จัก ทำให้ผู้อื่นที่ได้รู้จักแล้ว ช่วยกันเผยแผ่สืบทอดกันมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
อานุภาพของพระธรรมคำสอน
ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น
มีอยู่หลายประการด้วยกัน
ประการหนึ่ง ที่เราสวดในบทพระธรรมคุณอยู่เสมอๆ
คือ สวากขาโต
ภควตา ธัมโม แปลว่า
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว
คือถูกต้องตามหลักของความเป็นจริง
พระพุทธองค์ไม่ได้ปลุก
ไม่ได้เสกสิ่งต่างๆ
ขึ้นมาสั่งสอนพวกเรา ทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
ให้กับพวกเรานั้น
เป็นสิ่งที่มีอยู่
เป็นอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเรา
อาจจะมองไม่เห็น
อาจจะไม่รู้ เพราะว่าจิตใจของพวกเรา
กับจิตใจของพระพุทธเจ้านั้น
ไม่เหมือนกัน จิตใจของพระพุทธเจ้า
มีธรรมะ มีดวงตาเห็นธรรม
มีแสงสว่าง
ส่วนจิตใจของพวกเรานั้นมีอวิชชา
ความหลง ความมืดบอด
ทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง แต่มองไปตามความหลงของเรา
มองไปตามความอยากที่มีอยู่ในใจเรา
ความเห็นของเรา
กับความเห็นของพระพุทธเจ้า
จึงไม่เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าท่านเห็นตามความจริง
พวกเราเห็นตามจินตนาการ
ตามความคิดของเรา
ซึ่งเปรียบเหมือนคนตาบอด
คนตาบอดนั้น
เหมือนคนหลับตา
ต้องใช้จินตนาการ
เวลาญาติโยมเดินหลับตาเข้ามาในวัด
ในศาลานี้ จะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ
ที่มีอยู่ในศาลานี้ได้
ต้องใช้จินตนาการ
ว่าศาลาหลังนี้ กว้างขนาดไหน
สูงขนาดไหน
มีเสากี่ต้น
มีหน้าต่างกี่บาน
มีพระพุทธรูปกี่องค์
ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้
เพราะมองไม่เห็นด้วยตาของเราเอง
ส่วนพระพุทธองค์นั้น
เปรียบเหมือนกับคนที่มีตา
ไม่ใช่เป็นคนตาบอด
เวลาเดินเข้าในศาลานี้
สามารถมองเห็นว่า
ศาลานี้มีขนาดกว้าง ยาว
ขนาดไหน มีพระประธานตั้งอยู่ที่ไหน
หน้าตักกว้างเท่าไร
มีพระพุทธรูปองค์รองกี่องค์
มีพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ในศาลาแห่งนี้กี่รูปด้วยกัน
สิ่งเหล่านี้สามารถเห็นได้
เพราะตาไม่บอด
ความบอดของปุถุชนนั้น
ทำให้ไม่สามารถมองเห็นนามธรรมทั้งหลาย
ซึ่ง
เป็นสิ่งที่ละเอียดกว่ารูปธรรมทั้งหลาย
ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา
นามธรรมทั้งหลายนี้
ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีธรรมะ
ดวงตาที่เห็นธรรมแล้ว
จะไม่สามารถเห็นได้
ในเรื่องนรก เรื่องสวรรค์
เรื่องเวียนว่ายตายเกิด
เรื่องมรรค ผล นิพพาน
เรื่องบาป บุญ เรื่องกรรม
สิ่งเหล่านี้ปุถุชนอย่างเราๆท่านๆ
มักจะไม่ค่อยเห็นกัน
ไม่รู้จักกัน เพราะเป็นเรื่องของนามธรรม
ไม่ใช่เรื่องของรูปธรรม
ที่สามารถมองได้ เห็นได้ด้วยตาเนื้อ
ผู้ที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้
จะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติ
ปฏิบัติธรรม
จนกระทั่งเกิดมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา
คือพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ประเภท
นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
ต่อด้วยพระสกิทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหันต์
ท่านเหล่านี้สามารถเห็นสิ่งต่างๆ
ที่เราปุถุชนคนธรรมดาสามัญ
ไม่สามารถเห็นได้
ท่านเห็นตามภูมิจิต
ภูมิธรรมของท่าน
พระโสดาบันจะเห็นส่วนหนึ่ง
แต่ยังเห็นไม่หมด พระสกิทาคามี
จะเห็นเพิ่มขึ้นมาอีก
พระอนาคามี จะเห็นเพิ่มมากขึ้นไปอีก
จนกระทั่งถึงพระอรหันต์ และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านจะเห็นครบทุกสิ่ง
ครบทุกอย่าง
เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย
เห็นกรรมต่างๆที่ทำมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน
รู้ผลของกรรมที่จะตามมาในอนาคต
สิ่งเหล่านี้
ท่านสามารถเห็นได้
เพราะท่านมีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม
เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว
ท่านก็เอาสิ่งเหล่านี้มาประกาศสั่งสอน
ให้กับพวกเรา
ผู้ที่เปรียบเหมือนกับคนตามืดบอด
จะได้รู้ จะได้เห็น
เวลาคนตาบอดเดินไปไหนตามลำพังจะลำบากมาก
ไม่รู้ว่าจะไปตกหลุม
ตกบ่อที่ไหน
หรือไปชนกับอะไรบ้าง
ถ้ามีคนตาดี เดินนำหน้า
พาคนตาบอดไป
คนตาบอดนั้นจะสบาย
สามารถเดินไปได้ด้วยความปลอดภัย
ไม่ต้องไปตกหลุม ตกบ่อ
ไม่ต้องไปชนกับอะไร ต่างๆ นาๆคนตาบอดนั้น
จึงต้องอาศัยคนตาดี
เป็นเครื่องนำทางฉันใด
พวกเราผู้ยังเป็นปุถุชน
มีความหลง มีอวิชชา
มีความมืดบอดครอบงำจิตใจอยู่
จึงต้องอาศัยผู้ที่มีตาดีนำทางฉันนั้น
ผู้ที่ตาดีก็คือ
พระอริยบุคคลทั้งหลายนั้นเอง
ท่านได้ศึกษา ประพฤติ
ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า และได้เห็นสิ่งต่างๆแล้วท่านจึงนำเอาสิ่งเหล่านี้
มาสั่งสอนพวกเรา
สอนให้เรารู้จักกรรม
คือการกระทำ ว่าการกระทำนั้น
มีทั้งทางกาย ทางวาจา
และทางจิตใจ
มีทั้งดีมีทั้งชั่ว
ถ้าทำดี ก็มีผลดีตามมา
คือความสุขของจิตใจ ถ้าตายไป
ก็จะไปสู่สุคติ
ได้ไปเกิดที่ดี ที่งาม
เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
เป็นพรหม เป็นพระอริยบุคคลต่อไป
ถ้ากระทำความไม่ดี กระทำความชั่ว
จิตใจจะมีแต่ความทุกข์ร้อน
ตายไปก็จะไปสู่นรกอเวจี
ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต
อสุรกาย ไปสู่อบายภูมิทั้ง
๔
ซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ที่กระทำความชั่ว
ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี
พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา
พวกเราทั้งหลายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
เป็นเพราะเราได้เคยทำความดี
ในอดีตชาตินั้นเอง
เราเคยทำบุญ เราเคยรักษาศีล
เราเคยไหว้พระสวดมนต์
เจริญจิตภาวนา
อันเป็นเหตุทำให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีความไม่เท่าเทียมกัน เพราะว่าบุญวาสนาที่เราทำมาไม่เท่ากัน
บางคนทำมาก
ก็ได้อานิสงค์ผลบุญมาก
มีชีวิตที่สุขสบายมาก
คนที่ทำน้อย
ก็มีชีวิตที่สุขสบายน้อย
อย่างนี้เป็นเรื่องของผลกรรมที่ทำกันมา
ถ้าเราเอาประสบการณ์ในชีวิตของเราในปัจจุบันนี้มาเป็นครูสอนเรา
ว่าสิ่งต่างๆ
ที่เราทำมาในอดีตนั้น
มันก็ทำให้เราเป็นอยู่อย่างในปัจจุบันนี้
ถ้าเราอยากจะได้วาสนาบารมีที่ยิ่งขึ้นไป
เราก็ควรประพฤติ ปฏิบัติ
ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ที่สอนให้เรากระทำความดี
ละความชั่วทั้งหลาย
ชำระจิตใจ ชำระความโลภ
ความโกรธ ความหลง
ให้ออกไปจากจิตใจของเรา
ถ้าเราเชื่อในเรื่องเหล่านี้
เราก็จะทำแต่ความดี
พระพุทธเจ้า
และพระอริยะสงฆ์นั้น
ท่านเป็นบุคคลที่มีศีล
มีธรรม เป็นคนซื่อสัตย์
สุจริต
เป็นคนที่ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
จากการกระทำของท่าน
ท่านช่วยเหลือพวกเรา
ด้วยความเมตตา กรุณา
สงสารพวกเรา
เห็นพวกเรายังเป็นคนมืดบอด
ต้องเวียนว่ายตายเกิด
บนกองทุกข์แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
ก็มีความปรารถนาดี
อยากจะช่วยให้พวกเราได้พ้นจากทุกข์
ได้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อท่านมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ท่านทรงสละเวลาตลอดชีวิตของท่าน
มาสั่งสอนพวกเรา
เพื่อพวกเราจะได้มีดวงตาที่สว่างขึ้น
นำพาพวกเราไปสู่ทางที่ดี
ดึงพวกเราออกจากความชั่วทั้งหลาย
ถ้าพวกเรามีศรัทธา
เชื่อในพระธรรม
คำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้ว
พวกเราจะมีแต่ได้อย่างเดียว
ไม่มีขาดทุน เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้น
เป็นความเป็นจริงทั้งนั้น
เราจะเห็นได้จากพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ก่อนที่ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์สาวก
ท่านก็เป็นปุถุชน
คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเรานี่แหละ
เมื่อได้ยิน ได้ฟังธรรมะ
คำสอนของพระพุทธองค์แล้ว
ก็เกิดความศรัทธา
น้อมเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติ
ปฏิบัติ และบรรลุธรรมขึ้นมา
มีดวงตาเห็นธรรม สามารถยกจิตใจให้พ้นจากกองทุกข์ได้ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เข้าสู่ความสุขอย่างยิ่ง
ที่เรียกว่า ปรมัง สุขขัง คือ
ความสุขในพระนิพพานนั้นเอง
นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถเชื่อได้อย่างตายใจ
ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่ออย่างเดียว
ยังไม่พอ นอกจากเชื่อแล้ว
เราต้องน้อมเอาสิ่งต่างๆ
ที่ท่านทรงสั่งสอน
มาประพฤติปฏิบัติกับ กาย วาจา
ใจ ของเรา
ดังที่ท่านได้มากระทำกันในวันนี้
ท่านได้มาทำบุญทำทาน ฟังเทศน์ ฟังธรรม
ถึงแม้พระสงฆ์จะไม่ได้ให้ศีลกับเรา
เราก็สามารถตั้งจิต ตั้งใจ
รับศีลในจิตใจของเราได้
คือเรารู้แล้วว่า ศีล ๕ ศีล
๘ มีอะไร เราก็ตั้งจิตอธิฐาน
ว่าเราจะรักษาศีลทั้ง ๕ ข้อ
หรือ ๘ ข้อนี้
ก็เหมือนกับว่าได้รับศีลกับพระมาแล้ว
เราเพียงแต่รักษาไป
ศีลนี้ก็จะเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองรักษา
ไม่ให้เราตกไปสู่อบายภูมินั่นเอง
เพราะว่าอานิสงค์ของศีลนั้น
ท่านแสดงไว้ว่า สีเลนะ
สุคติง ยันติ ผู้มีศีลย่อมไปสู่สุคติ
ไปสู่ภพภูมิของมนุษย์
ของเทวดา ของพระพรหม
ของพระอริยบุคคลนั่นเอง
ส่วนอบายภูมินั้น ผู้มีศีลจะไม่ไป เพราะศีลนี้เป็นเหมือนกับกำแพงกั้นเอาไว้ หรือเป็นตาข่ายมารองรับเอาไว้ ไม่ให้ตกไปสู่ที่ต่ำ เวลาเราไปดูการแสดงกายกรรม จะเห็นมีตาข่ายขึงเอาไว้ข้างล่าง เผื่อเวลานักกายกรรมพลาดตกลงมา ยังมีตาข่ายไว้รองรับ ร่างกายจะได้ไม่กระแทกกับพื้น ศีลนี้ก็เป็นเหมือนกับตาข่ายที่รองรับดวงวิญญาณ ดวงจิต ดวงใจ ของพวกเราทั้งหลายไว้ หลังจากร่างกายเราแตกสลายไปแล้ว ถ้าเรามีศีล จิตใจของเราก็ไม่ไปเกิดในที่ต่ำ ไม่ไปเกิดเป็นสุนัข ไม่ไปเกิดเป็นแมว เป็นนก เป็นกา เพราะมีศีลคอยป้องกันไว้นั่นเอง
ถ้าพวกเราอยากจะเห็นผลของธรรม
เราต้องน้อมธรรมเข้ามาด้วยความศรัทธา
น้อมเข้ามาประพฤติปฏิบัติ
เมื่อเราปฏิบัติแล้ว
เราจะเห็นผลที่พระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ทรงได้รู้ ทรงได้เห็นมาก่อน
เพราะว่าพระธรรม
คำสอนของพระพุทธองค์นี้ เป็น
อกาลิโก คือ
เป็นของที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาล
กับเวลา ไม่เสื่อมสภาพ
ความจริงต่างๆ
ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอน
ในสมัยพุทธกาลนั้น
ก็ยังเป็นจริงอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้
อานิสงค์หรือผลต่างๆ
ที่ผู้ปฏิบัติจะพึงได้รับจากการประพฤติปฏิบัติธรรม
ในอดีตเป็นอย่างไร
ในปัจจุบันก็จะเป็นเช่นนั้น
เป็นของที่ไม่เสื่อมคุณภาพ
ไม่เสื่อมประสิทธิภาพ
ไม่เหมือนกับข้าวของต่างๆ
ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้
เช่นอาหารหรือยาต่างๆ
เป็นของที่มีอายุขัย
พอหมดอายุ มันก็จะเสีย
จะเสื่อม จะหมดคุณภาพ เวลาไปซื้อของตามตลาด
จะมีฉลากติดไว้ตามกล่อง
ว่าควรบริโภคก่อนวันที่เท่านั้นๆ
เพราะถ้าบริโภคหลังจากวันนี้ไปแล้ว
ไม่รับรองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้บริโภคหรือไม่
แต่เรื่องธรรมะ
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เป็นเช่นนั้น
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ไม่มีฉลากติดไว้
ว่าจะเสื่อมในยุคใด ในเวลา
๑๐๐ ปี ๕๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปี หรือ
๕๐๐๐ ปี พวกเราคงเคยได้ยินว่า
พระพุทธศาสนาของเรา
จะมีอายุเพียง ๕๐๐๐
ปีเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
พระพุทธศาสนาจะเสื่อม
หมดอายุ หมดคุณภาพไป
การที่มีการทำนายว่า
พระพุทธศาสนาจะอยู่ไปได้แค่
๕๐๐๐ ปีนั้น เป็นเพราะว่า
ผู้ที่จะฟัง ผู้ที่จะเชื่อ
ผู้ที่จะนำไปประพฤติ
ปฏิบัตินั้น จะไม่มีเหลืออยู่
หลังจาก ๕๐๐๐ ปีผ่านไปแล้ว
คือหลังจากนั้นไปแล้ว
ผู้ที่จะศึกษาธรรมะ
จะไม่ค่อยเข้าอก เข้าใจ
ไม่ค่อยรู้เท่าไร
เพราะว่าจิตใจของมนุษย์ได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เสื่อมไปเรื่อยๆ
ตามอำนาจของความโลภ
ความโกธร ความหลง
คนสมัยนี้กับคนสมัยก่อน
ถ้าเปรียบเทียบกัน
คนสมัยก่อน
สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น
จะมีศีลธรรมมากกว่าคนสมัยนี้
ศึกษาธรรมะมากกว่า
คนสมัยนี้ คนที่จะบวชนั้น
จะบวชทั้งพรรษา
แต่สมัยนี้บวชกันแค่
๑๕วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง
บางทีบวชเช้า สึกเย็นก็มี
คือบวชหน้าไฟ
บวชเป็นประเพณีแค่นั้นเอง
แสดงให้เห็นว่า
จิตใจของคนเราเริ่มห่างเหินจากพระพุทธศาสนา
เพราะอำนาจของกิเลส
อำนาจของวัตถุในโลกนี้มีมาก
คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้
แทนที่จะบูชาบุญกุศลกัน
กลับไปบูชาเงิน บูชาทอง
บูชาตำแหน่งต่างๆ นาๆ
เดี๋ยวนี้ลงทุนกันทีใช้เงินหมดไปเป็นร้อยล้านก็มี
เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อได้ตำแหน่งแล้ว
จะสามารถกอบโกยเงินทองได้
จึงยินดีที่จะลงทุนแบบนี้
ไม่ค่อยทำเพื่อศีลธรรม
ไม่คำนึงถึงคุณงาม ความดี
ไม่เคยคิดว่าเข้าไปแล้ว
จะทำประโยชน์ จะทำความดี
มีแต่คิดว่า
เข้าไปแล้วจะกอบโกย เอาเงิน
เอาทอง ให้ได้มากๆ
เพราะว่าสมัยนี้
มีวัตถุสิ่งของต่างๆ
ที่จะซื้อมานั้นมีอยู่เยอะ
เช่นโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์
วิดีโอ คอมพิวเตอร์
เครื่องเล่นต่างๆ
บ้านเรือน เสื้อผ้าอาภรณ์
อาหาร ยารักษาโรค ยาบำรุง
เครื่องสำอาง
ของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
คอยยั่วยวน
ล่อกิเลสตัณหาอยู่
ตลอดเวลา
จึงทำให้ไม่อยากเข้าวัดเข้าวา
เพราะเสียเวลา
เสียเงินเสียทอง
คนที่มีกิเลสตัณหาอยู่ในจิตใจมาก
จะไม่อยากให้อะไรกับใคร
อยากแต่จะได้อย่างเดียว
เพราะตัณหาคือความอยาก
อยากมี อยากเห็น
อยากดูอยากจะได้
ไม่อยากจะให้ แต่หารู้ไม่ว่า
ตามหลักของความเป็นจริงแล้ว
ความอยากนี้ก็คือต้นเหตุของความทุกข์นั่นเอง
อยากได้เท่าไร
ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีก
แทนที่มีมากแล้วจะดี
มันกลับไม่ดี มันกลับไม่พอ
มหาเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน
หมื่นล้าน ยังอยากจะมีให้มากๆขึ้นไปอีก
จะเห็นได้ชัดเลย ว่าตัณหา
ความอยาก
คือเหตูทำให้ไม่อิ่ม ไม่พอ
การที่จะทำให้อิ่ม ให้พอ
ได้นั้น จะต้องลดตัณหา
ด้วยการทำบุญให้ทานนั้นเอง
จึงขอให้พวกเราทั้งหลาย
จงเห็นคุณค่าของธรรมะ
คำสอนของพระพุทธองค์
อย่าปล่อยให้การที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์
และได้พบพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งนั้น
หลุดลอยออกไปจากจิต
จากใจของเราเลย
เพราะว่าไม่มีอะไรในสากลโลกนี้
ในภพทั้งสามนี้
ที่จะมีคุณค่า
มีประโยชน์แก่ตัวเรา
มากยิ่งกว่าพระธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะพระธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายได้
ส่วนทรัพย์สมบัติ ข้าวของ
เงินทองทั้งหลายนั้น
มันช่วยอะไรเราไม่ได้
เวลามีความทุกขึ้นมา
เงินทองที่มีอยู่นั้นไม่ได้ช่วยดับทุกข์
ทำให้เรามีความสุข
มีความสบายใจขึ้นมาได้เลย
พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย
จึงควรเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา
แล้วนำเอามาศึกษา
และประพฤติปฏิบัติ
เพื่อที่เราจะได้มีธรรมะเป็นที่พึ่งต่อไป
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้