กัณฑ์ที่ ๑๒     ๘ ตุลาคม ๒๕๔๓

วันเกิด

 

พวกเราทุกๆคนที่เกิดมาในโลกนี้  จะมีวันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตัวเองอยู่วันหนึ่ง เรียกว่าวันเกิด ทุกๆปีจะมีวันคล้ายวันเกิด เวียนมาบรรจบ  เช่นถ้าเกิดวันที่ ๘ ตุลาคม  เมื่อถึงวันที่ ๘ ตุลาคม ก็จะเป็นวันครบรอบวันเกิด วันนี้ จึงถือเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตัวของเราเอง   เราจึงทำสิ่งที่พิเศษกัน เช่นมาทำบุญกัน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของเรา  เพื่อความสุข  ความเจริญนั่นเอง   การที่จะทำบุญ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล   เกิดความสุข เกิดความเจริญอย่างแท้จริง  ต้องทำบุญให้เกิดปัญญา   คือทำบุญแล้ว ต้องได้ธรรมะด้วย ไม่ใช่สักแต่เพียงการมาให้ทาน ถวายของพระแล้วก็กลับบ้าน  โดยที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวันเกิดของเราเลย ว่าเราเกิด มาได้อย่างไร ชีวิตของมนุษย์นี้มีความสำคัญอย่างไร จะทำประโยชน์ ให้แก่ชีวิตของเรานั้นได้อย่างไร ถ้าศึกษาธรรมะ ฟังเทศน์ ฟังธรรม จะเกิดความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการเกิดของเรา เมื่อทราบแล้ว  จะสามารถดำเนินชีวิต ไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม นำความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นสิริมงคลมาให้กับเราได้

 

การที่เรามาเกิดได้นี้  ต้องอาศัยปัจจัยใหญ่ๆอยู่ ๒ ประการด้วยกัน  คือ ปัจจัยทางด้านร่างกาย และปัจจัยทางด้านจิตใจ ปัจจัยทางด้านร่างกายนั้นเกี่ยวกับผู้ให้กำเนิด  คือต้องมีพ่อกับมีแม่  ถ้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่  ย่อมไม่สามารถมาเกิดได้  ดังนั้น บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา  ก็คือ  พ่อและแม่นั้นเอง  ถ้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่  ชีวิตเราก็ไม่มี  ร่างกายเราก็ไม่มีพ่อแม่จึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตเรา  ท่านเป็นผู้ให้ชีวิตเรา   ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวง  ลูกๆจึงต้องสำนึกในบุญคุณของท่านอยู่เสมอ

 

อย่างวันนี้เป็นวันเกิดของเรา  เราได้ทำบุญกับพระของเราแล้วหรือยัง พระของเราก็คือพ่อแม่ของเรานั้นเอง  พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  พ่อแม่นั้นเปรียบเหมือนพระพรหม  พระอรหันต์ของลูกๆ   ดังนั้น พวกลูกๆจึงต้องพยายามดูแลพ่อแม่ให้ดี ถ้าพ่อแม่แก่ชรา ไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของลูกๆ ที่จะต้องคอยเลี้ยงดูท่าน เหมือนกับท่านเคยดูแลเรา อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ควรลืม   ไม่ควรที่จะละเลย ถ้าเราเลี้ยงดูพ่อแม่แล้ว เราจะเป็นคนดี ความเจริญรุ่งเรือง   ความเป็นสิริมงคลทั้งหลายก็จะตามมา   เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า    ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที มีความสำนึกในบุญคุณ  และทดแทนบุญคุณแก่ท่านผู้มีพระคุณนั้น ไปอยู่ที่ไหน  จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง

       

ในทางตรงกันข้าม  ผู้ไม่มีความกตัญญูกตเวที  ไปอยู่ที่ไหน  มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิตสักเท่าไร  เมื่อผู้อื่นรู้ว่าคนนี้เป็นคนไม่มีความกตัญญู จะไม่มีใครอยากให้ความช่วยเหลือ หรือให้การส่งเสริม   เพราะส่งเสริมไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  เพราะไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของผู้อื่นในเวลาที่ผู้อื่นทำบุญทำคุณให้ ดีไม่ดี นอกจากจะไม่มีความกตัญญูแล้ว อาจจะทำร้ายผู้มีพระคุณอีกด้วยก็เป็นได้ อย่างนี้ก็มี แต่คนที่มีความกตัญญูกตเวที  ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนสรรเสริญ  ยกย่อง ได้รับความช่วยเหลืออุปการะ  จากบุคคลต่างๆอยู่เสมอ 

 

ถ้าเราอยากจะให้วันเกิดของเรานั้นมีความหมายอย่างแท้จริง และเรามีความสุข ขอให้พวกเราระลึกถึงบุญคุณของบิดามารดาเป็นอันดับแรก มีหน้าที่กิจกรรม จะทำอะไรให้กับบิดามารดาของเราได้  ก็ขอให้กระทำเสีย ถ้าท่านแก่เฒ่าชรา ก็ควรเลี้ยงดูท่านด้วยปัจจัย ๔  ถ้าท่านยังมีกำลังวังชาอยู่  หรือเรายังเป็นเด็ก  ก็ขอให้เรามีความเคารพ เชื่อฟังในคำสอนของท่าน  เพราะว่าท่านมีแต่ความปรารถนาดีกับเรา   ท่านรักเรา   ท่านอยากจะให้เราเป็นคนดี เราจึงควรที่จะประพฤติตัวเอง ให้ดี ให้งาม   อย่าทำตัวเป็นคนเกกมะเหรกเกเร เวลาเรียนหนังสือ ก็ให้ตั้งใจเรียน  ขยันไปโรงเรียน อย่าหนีไปดูหนัง  ดูการ์ตูน อย่าไปเที่ยวเตร่ให้มากจนเกินไป เชื่อฟังคุณครู กลับมาบ้านก็ช่วยทำงานบ้าน เชื่อฟังพ่อแม่   ประพฤติปฏิบัติตัวเป็นคนดี แล้วพ่อแม่จะมีความสุข  การทำความสุขให้กับพ่อแม่นี้ เป็นบุญเป็นกุศลอย่างหนึ่ง

 

เหมือนกับการที่เราได้มาอยู่วัด มาบวชเป็นพระ หรือเป็นคฤหัสถ์ปฏิบัติธรรม จะทำให้พ่อแม่มีความสุขใจ เพราะท่านรู้ว่า ผู้ที่มาอยู่ในวัดนั้น จะทำแต่ความดี นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ทำให้พ่อแม่สบายใจ ถ้าอยากจะให้พ่อแม่มีความสุข  เราก็ควรประพฤติตัวเราให้ดี อย่าไปทำตัวเป็นคนเกเร อย่าให้ผู้อื่นเขาตำหนิติเตียน เมื่อพ่อแม่ได้ยินข่าวคราวไม่ดีของเรา จะไม่สบายใจ ถ้าเราประพฤติผิดจนเข้าคุกเข้าตะราง มันก็เหมือนกับจับพ่อแม่เข้าคุก เข้าตะรางไปด้วย เพราะว่าพ่อแม่รักเรา ห่วงใยเรา   เวลาเราติดคุกติดตะราง พ่อแม่ก็จะต้องไปเยี่ยมเราถึงคุกถึงตะราง จึงขอให้เราระลึกถึงพระคุณของบิดามารดาอยู่เสมอ แล้วประพฤติตัวเราให้ดี   

 

เหตุปัจจัยทางด้านร่างกาย ไม่ใช่เป็นเหตุปัจจัยเดียว ที่จะทำให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ได้  พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า  การที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น บุคคลนั้นต้องสะสมบุญบารมีมาด้วย  คือจะต้องเป็นผู้มีศีลธรรม   อย่างน้อยก็มีศีล ๕  ต้องเคยรักษาศีลมาก่อน  เคยละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี   ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ   ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา  ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจของเรา จะไม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้  จะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน อย่างนี้เป็นต้น อันนี้พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ศีลนั้นเป็นเครื่องประกันความเป็นมนุษย์ของผู้รักษาศีล ผู้ใดที่เกิดเป็นมนุษย์ จะต้องมีศีล อย่างพวกเราทั้งหลายที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้  เพราะว่าในอดีตเราเคยรักษาศีล  เราเคยละเว้นการกระทำบาปทั้งปวงนั้นเอง จึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้พวกเราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ 

 

การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้จึงเป็นของยาก ไม่ใช่เป็นของง่าย  งมเข็มในมหาสมุทร ยังง่ายกว่าการได้มาเกิดเป็นมนุษย์เสียอีก เพราะเหตุใด  เพราะว่าการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์  จะต้องมีทั้งศีล ทั้งธรรม  และโอกาสอำนวย อย่างมนุษย์นี้เปรียบเทียบกับจำนวนสัตว์อื่นๆ พวกมดและแมลง   พวกสัตว์ต่างๆ จะมีมากกว่ามนุษย์  เวลาออกลูกที ไม่ได้ออกมาทีละตัวแต่ออกมาเป็นสิบ เป็นร้อย การเกิดเป็นมนุษย์มีจำนวนน้อย   ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเวลาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่หนึ่งมีอยู่รางวัลเดียว โอกาสที่จะถูกรางวัลที่หนึ่งนั้นยากมาก เพราะมีอยู่ฉบับเดียว  สลากทั้งหมดมีเป็นล้านฉบับ แต่มีฉบับเดียวเท่านั้น ที่จะถูกรางวัลที่หนึ่งได้ ไม่เหมือนรางวัลอื่นๆ รางวัลที่ ๒  ที่ ๓  ที่ ๔  ที่ ๕ หรือเลขท้ายนั้น มีมากกว่า โอกาสที่จะถูกรางวัลต่างๆ ก็จะมีมากกว่า ที่จะถูกรางวัลที่ ๑ ฉันใด การที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ฉันนั้น โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกับการซื้อสลากกินแบ่งแล้วถูกรางวัลที่ ๑ มันมีน้อยมาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง เป็นบุญวาสนาอย่างยิ่ง

 

สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง  และเป็นสิ่งที่หายากในโลกนี้ ก็คือการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์   พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่จะได้ตรัสรู้ และมาสั่งสอนธรรมะให้กับสัตว์โลกนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ  เวลาที่พระพุทธเจ้าจะได้มาเกิดนั้น  ต้องใช้เวลาเป็นกัป เป็นกัลป์ทีเดียว    กัปหนึ่ง กัลป์หนึ่งนี้ เป็นเวลาที่ยาวนานมาก มากกว่าล้านๆปีขึ้นไป   ล้านเดียวนี้ก็ยาวนานแค่ไหนแล้ว  แต่ล้านๆปี  ลองคิดดู  จะยาวนานขนาดไหน ดังนั้นโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มาเจอพระพุทธเจ้า ได้มาเจอพระพุทธศาสนา จึงเป็นโอกาสที่ยากอย่างยิ่ง   พวกเรานี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีโชควาสนามาก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนาอีก  อันนี้เท่ากับซื้อสลากใบเดียว แล้วถูกทั้งรางวัลที่ ๑  และรางวัลที่ ๒  พร้อมๆกันไปเลย   

 

เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว และได้พบกับพระพุทธศาสนา  ควรจะถามตัวเองว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อไป เราควรที่จะศึกษาให้รู้ว่า  พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้ทำอะไร ท่านทรงสอนให้เราทำความดี ให้เราละเว้นความชั่ว และชำระจิตใจของเรา ให้สะอาดหมดจด  ละความโลภ  ความโกรธ ความหลง การทำบุญจะนำความสุขมาให้กับเรา  เช่นเรามาวัดมาทำบุญ  เอาอาหารคาว หวาน  เอาข้าว  เอาของ มาถวายพระสงฆ์ องค์เจ้า ทำไปแล้ว เราก็มีความสุขใจ  เพราะเราได้ชนะความตระหนี่   ชนะความโลภ   ชนะความหลงที่มีอยู่ในจิตใจของเรา   ถ้าเรามีความโลภ   มีความตระหนี่อยู่ในจิตใจของเรา   จิตใจเราก็จะมีความแต่ความทุกข์   มีแต่ความไม่สบายใจ  แต่ถ้าเราสามารถชำระสิ่งเหล่านี้  ให้ออกไปจากจิต จากใจ ของเราได้แล้ว เราก็จะมีความสุข  มีความสบายใจ  

 

เช่นเดียวกับการละเว้นจากการทำบาป ถ้าเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ไปลักทรัพย์ ไม่ไปประพฤติผิดประเวณี  ไม่ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ไม่ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่นแล้ว  เราก็จะสบายใจ   เราไม่ต้องกลัวคนอื่นจะมาจับเราไปขังคุก  แต่ถ้าเราไปทำผิด ไปทำบาปแล้ว มันก็จะมีโทษตามมา มีความไม่สบายใจตามมา เช่นเดียวกับการชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มีอยู่ในจิต ถ้าเราชำระสิ่งเหล่านี้ได้  จิตใจของเราจะมีแต่ความสุข   อย่างตอนนี้  ญาติโยมนั่งอยู่ในศาลาแห่งนี้ มีความสุข มีความสบายใจ ก็เพราะว่า ในขณะนี้ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลงนั้นเอง สังเกตดู เวลาที่มีความโกรธอยู่นั้น จิตใจจะร้อน จะนั่งอยู่ไม่ได้ จะต้องระบายออกไปด้วยการไปด่า ไปว่า ไปทุบตีผู้อื่น เพราะว่าเวลาที่มีความโลภ ความโกรธ  ความหลงเกิดขึ้นมาแล้ว จะนำความทุกข์มาให้กับเรา แต่ถ้าเราสามารถเอาชนะความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ นั่งอยู่เฉยๆ เราก็มีความสุขแล้ว  

 

เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และได้ยินได้ฟังธรรมะ ก็ขอให้เราน้อมเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า  มาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา  จะทำให้การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด  เพราะว่ามนุษย์นั้น สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ดังที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ได้ใช้ชีวิตของมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยการทำความดี  ละเว้นความชั่ว และชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง   ให้ออกไปจากจิต จากใจ  กลายเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  เป็นจิตที่บรรลุถึงพระนิพพาน อันเป็นแดนเกษมสันต์ที่เรียกว่า ปรมังสุขัง   เป็นความสุขอย่างยิ่งยวด  เป็นความสุขอันสูงสุด เป็นความสุขอันประเสริฐ ซึ่งเราสามารถบรรลุถึงได้ จากการที่เราได้พบกับพระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติตาม

 

จึงขอให้ท่านทั้งหลาย จงใช้ประโยชน์ของการเป็นมนุษย์ และใช้ประโยชน์ของพระพุทธศาสนา  ให้เต็มกำลังสติปัญญา ถึงแม้จะไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ก็ตาม อย่างน้อยก็ได้สะสมบุญบารมีที่จะค่อยๆ นำเราไปสู่จุดหมายปลายทางอันดีงามต่อไป ขอให้ระลึกถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ระลึกถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา  แล้วดำเนินชีวิตไปตามรอยพระพุทธบาท  ที่พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินมา แล้วท่านจะประสบกับความสุข  ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นสิริมงคลในชีวิตต่อไป การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้