กัณฑ์ที่ ๑๔     ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๓

สิ่งมีค่าที่หายาก

 

ในโลกของเรานี้ มีวัตถุสิ่งของต่างๆ อยู่มากมาย หลายรูป หลายแบบ  หลายชนิดด้วยกัน มีทั้งสิ่งที่หาง่าย และมีทั้งสิ่งที่หายาก  สิ่งที่หาได้ง่ายเช่นพวกก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนกรวด  และพวกทรายทั้งหลาย   เป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป หาได้ง่าย  ส่วนสิ่งที่หาได้ยากนั้น ก็ได้แก่พวก แก้ว   แหวน เงิน ทอง เพชรนิลจินดา ในทางพระพุทธศาสนานั้น   ท่านได้ทรงแสดงไว้ว่า นอกจากสิ่งของที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีสิ่งของอยู่อีก ๔ อย่างด้วยกัน   ที่เป็นของที่หาได้ยาก และเป็นสิ่งที่มีคุณค่า  ยิ่งกว่าพวกแก้ว   แหวน เงิน ทอง เพชรนิลจินดาทั้งหลาย  สิ่งทั้ง ๔ ประเภทนี้  ถ้าบุคคลหนึ่ง บุคคลใดได้มาแล้ว ทั้ง ๔ อย่างนี้  จะเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้บุคคลนั้น   สามารถได้รับสิ่งที่ประเสริฐ    สิ่งที่วิเศษที่สุดในโลกนี้      นั้นก็คือ โลกุตระธรรม หรือจะเรียกว่า พระรัตนตรัยก็ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย หมายถึงผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นผู้ที่สามารถอยู่เหนือความทุกข์ อยู่เหนือการเวียนว่ายตายเกิดได้ สิ่งเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง

อะไรเป็นสิ่งที่หายาก ๔ ประการ  พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า   ประการแรก คือ การปรากฎขึ้นมาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นได้ยาก ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นทุกๆร้อยปี หรือพันปี  หรือหมื่นปี แต่ต้องใช้เวลาเป็นกัปเป็นกัลป์   ถึงจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ สั่งสอนธรรมะ และประกาศพระพุทธศาสนาให้แก่สัตว์โลก ประการที่สอง คือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ก็เป็นของยาก ประการที่สาม  การดำรงชีพของมนุษย์นี้ก็ยากเช่นเดียวกัน ประการสุดท้าย คือการได้ยินได้ฟังธรรมะ ก็เป็นของยาก ทั้งสี่ประการนี้  เป็นของที่หาได้ยากในโลกนี้

ประการที่ ๑ การปรากฎของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เป็นของที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาได้ง่าย   เพราะการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด จะมาตรัสรู้ธรรมด้วยตนเองนั้น  ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะกระทำได้ง่ายๆ ต้องสะสมบุญบารมีมาเป็นกัปเป็นกัลป์  ถึงจะสามารถตรัสรู้ธรรม เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้    คำว่ากัปกัลป์นี้ถ้าเราเขียนด้วยตัวเลข จะมีตัวเลขหลายตัวนับไม่ถ้วน  เพราะมีจำนวนมาก  ท่านเลยเปรียบเทียบให้ฟังว่า  ระยะเวลากัปนี้ เท่ากับเวลาที่ทุกๆร้อยปี  มีบุคคลหนึ่ง เอาผ้าผืนหนึ่ง  มาลูบที่ภูเขาหิมาลัยครั้งหนึ่ง ทุกๆร้อยปีก็ให้ทำอย่างนั้นหนึ่งครั้ง   ทำไปจนกว่าภูเขาหิมาลัยนั้นจะราบเรียบเท่าพื้นดิน นั่นแหละคือเวลาหนึ่งกัลป์ ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก กว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ สั่งสอนธรรมะสักครั้งหนึ่ง  การที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้ง  จึงถือเป็นสิ่งที่ยากเย็นมาก  ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน  พวกเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ในภพชาติต่างๆอีกนับไม่ถ้วน นี่คือสิ่งที่หายากประการแรก   คือ การปรากฎขึ้นของพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์

ประการที่ ๒  การได้เกิดมาเป็นมนุษย์  ท่านก็บอกว่าเป็นของยาก  ไม่ใช่เป็นของง่าย ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกครั้งไป  เพราะถ้าเราลองเปรียบเทียบจำนวนมนุษย์กับเดรัจฉานแล้ว จำนวนของมนุษย์นั้นมีน้อยกว่าเดรัจฉานมาก จำนวนพลเมืองของโลกมีอยู่ประมาณหกพันล้านคน  แต่จำนวนของสัตว์เดรัจฉานนั้นมีมากกว่าหลายเท่านับไม่ถ้วน   เพราะพวกสัตว์เดรัจฉานนี้ เวลาเกิดเขาไม่ได้เกิดทีละตัว สองตัว แต่เกิดเป็นฝูง อย่างพวกมด  พวกแมลง  พวกนก  พวกสัตว์ต่างๆ  มีมากมายก่ายกอง  มากกว่ามนุษย์ หลายสิบ  หลายร้อย  หลายพัน  หลายหมื่นเท่าทีเดียว ดวงวิญญาณที่คอยจะเกิดเป็นมนุษย์นั้น  จึงเป็นคิวที่ยาวมาก  ไม่เหมือนกับคิวที่มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เพราะการเกิดของมนุษย์ก็เกิดได้ทีละคน หรืออย่างมากก็ สองสามคนในกรณีพิเศษ แต่ส่วนใหญ่เกิดได้ทีละคน ยิ่งเดี๋ยวนี้พอมีลูกคนสองคน  ก็คุมกำเนิดกันแล้ว   ฉะนั้นโอกาสที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์จึงมีน้อยมาก

นอกจากจำนวนมนุษย์มีน้อยแล้ว   ผู้ที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้  จะต้องมีศีลธรรมด้วย ต้องมีศีลห้า คือละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ละเว้นจากกการลักทรัพย์  ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี  ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ และละเว้นจากการดื่มสุรายาเมา  ถ้าไม่สามารถรักษาสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว จะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะ สีเลนะ สุขติง ยันติ  ศีลเป็นเหตุ  เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่สุคติ  สุคติก็คือภพภูมิของมนุษย์  ภพภูมิของเทวดานั้นเอง ถ้าไม่รักษาศีลแล้ว โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แทบจะไม่มี นี่คือเหตุที่ทำให้การเกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นของยาก

ประการที่ ๓ การดำรงชีพของมนุษย์เป็นของยาก มนุษย์เรามีอายุขัยโดยเฉลี่ย ก็ประมาณ ๗๐ ปี  บางคนอาจจะอยู่เกิน  บางคนอาจจะอยู่ไม่ถึง ครึ่งหนึ่งอาจจะอยู่ไม่ถึง และอีกครึ่งหนึ่งอาจจะอยู่ถึง ๗๐ ปี   หรือเลยไปเล็กน้อย เป็น ๘๐ ปี  ๙๐ ปี  ดังนั้นคนเราทุกคนที่เกิดมานี้  ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่จนแก่ตาย บางคนเกิดมาตอนเช้า  พอตกเย็นตายไปก็มี  อาทิตย์หนึ่งตายไปก็มี   เดือนหนึ่งตายไปก็มี  ปีหนึ่งก็มี  ๑๐ ปี  ๒๐ ปี  ๓๐ ปี  ๔๐ ปี  ๕๐ ปีก็มี  ตายได้ทุกวัย ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์เราจะเห็นได้ว่าการตายของมนุษย์นั้นต่างรูปแบบกัน  เพราะสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ตายนั้น มีหลายสาเหตุด้วยกัน  เช่นอุทกภัย ภัยที่เกิดจากน้ำท่วม   อัคคีภัย   ภัยที่เกิดจากไฟไหม้   วาตะภัย  ภัยที่เกิดจากลมพายุ   อุบัติภัยภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุต่างๆ เช่นรถคว่ำ รถชนกัน  นอกจากนั้น ยังมีภัยที่เกิดจากตัวเอง  คือเกิดจากการขาดสติ  เกิดจากความเศร้าโศกเสียใจ  ทำใจไม่ได้  ก็ทำร้ายตัวเอง  ฆ่าตัวตายไปก็มี หรือภัยที่เกิดจากมนุษย์ทำลายมนุษย์กันเอง เวลาลุแก่อำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือเหตุต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ไปได้ตลอดอายุขัย พระพุทธองค์จึงแสดงว่า  การที่มนุษย์จะอยู่ไปจนถึงแก่ตายนั้น  จึงเป็นของยาก 

ประการที่ ๔ การได้ยินได้ฟังธรรมะก็เป็นของยาก  ทำไมถึงเป็นของยาก  สาเหตุมีอยู่ ๒  ประการด้วยกัน ประการที่    อยู่ที่คนฟัง ประการที่    อยู่ที่คนสอน คนฟังที่เป็นผู้สนใจฟังธรรมะนั้นหาได้ยาก เช่นเวลาเปิดโทรทัศน์  พอเจอพระท่านเทศน์อยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนไปดูช่องอื่น  ไปดูหนัง  ดูการ์ตูน  หรือเวลาหมุนคลื่นวิทยุ พอไปเจอพระท่านกำลังเทศน์อยู่ก็จะปิดวิทยุ ไม่ฟังเลย  อย่างนี้เป็นต้น   ส่วนหนังสือธรรมะก็มีแจกจ่ายเป็นธรรมทานอยู่เยอะแยะ  แต่ไม่มีใครสนใจหยิบขึ้นมาอ่านกัน  กลับไปเสียเงินเสียทอง ซื้อหนังสือที่เขาขายกัน   เป็นหนังสือที่ไม่มีสาระ  ไม่มีคุณ  ไม่มีประโยชน์  มาอ่านกัน   ทั้งนี้เป็นเพราะจิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่ เป็นจิตใจที่มีความมืดบอดครอบงำจิตใจ  เลยทำให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว  คือแทนที่จะเห็นธรรมะเป็นดอกบัว  กลับเห็นธรรมะเป็นกงจักรไป  เห็นธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ายินดี  แต่กลับไปยินดีกับรูป  เสียง  กลิ่น  รส  เครื่องสัมผัสต่างๆ  เพราะว่าจิตใจนั้นมีกิเลสครอบงำอยู่ มีความยินดี มีความอยากในกาม มากกว่าความยินดีในธรรมะนั่นเอง จึงทำให้การได้ยิน  ได้ฟังธรรมะ  เป็นของยาก  เพราะผู้ฟังไม่อยากจะฟังนั่นเอง

ส่วนผู้สอนที่จะแสดงธรรมะให้ได้ถูกต้องตามหลักธรรมนั้น เป็นบุคคลที่หาได้ยาก เพราะผู้ที่สามารถแสดงธรรมได้ถูกต้องตามหลักธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ศึกษา ประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุธรรมขึ้นมา  คือต้องเป็นพระอริยบุคคลนั้นเอง เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม เป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรคือบาป อะไรคือบุญ  อะไรคือสิ่งที่ถูก  อะไรเป็นสิ่งที่ผิด  อะไรคือนรก และอะไรคือสวรรค์  เมื่อท่านรู้ ท่านเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว  ท่านก็สามารถเอาสิ่งเหล่านี้ มาสั่งสอนได้   ด้วยความถูกต้อง  แม่นยำ  ด้วยความมั่นใจ  คือ ไม่สงสัย  ผิดกับผู้ที่ได้แต่ศึกษาร่ำเรียนมา  แต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ  สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจึงเป็นเพียงตัวหนังสือ  ไม่ใช่ความจริงที่เห็นอยู่ในจิตใจ 

เหมือนอย่างเวลาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสถานที่ใด สถานที่หนึ่ง  เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เพียงแต่อ่านหนังสือ  แต่ไม่เคยไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เป็นอย่างไร เมื่อมีคนถาม   ก็บอกไปแบบผิดๆ ถูกๆ  เพราะไม่เคยไปเห็นมากับตานั่นเอง  แต่ผู้ที่เคยไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้ว เมื่อมีใครถามว่าเป็นอย่างไร ก็สามารถบอกได้อย่างถูกต้อง   และพูดได้อย่างน่าสนใจ   เพราะว่าพูดตามความเป็นจริงนั่นเอง

การฟังเทศน์ ฟังธรรม  กับผู้ที่รู้จริง  และผู้ที่ไม่รู้จริง  ก็เหมือนกัน   ถ้าฟังเทศน์ จากผู้ที่ไม่รู้จริง  คนฟังก็อาจจะงง หรือคนพูดอาจจะพาให้หลงทางได้  เพราะว่าคนพูดไม่รู้จริง  เมื่อพูดไปแล้วไม่เกิดศรัทธา แต่กลับเกิดความสงสัย แต่ถ้าได้ฟังธรรมะ จากท่านผู้รู้จริง เห็นจริง  อย่างพระพุทธเจ้า เวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมะแต่ละครั้ง มีคนไปฟังกันเป็นจำนวนมาก   เมื่อฟังแล้วได้ประโยชน์ด้วย   คือได้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ฟังธรรมนั่นเอง การที่จะได้ยินได้ฟังธรรมะ  จึงเป็นของที่ยากยิ่ง   ด้วยเหตุทั้ง ๒ ประการ   คือผู้ฟัง  และผู้แสดง 

นี่คือสิ่ง ๔ อย่างที่หายากในโลกนี้  ถ้าใครได้พบทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว  ถือว่าเป็นบุคคลที่โชคดี  เป็นบุคคลที่ได้เหตุปัจจัย ที่จะนำเขาไปสู่ มรรค  ผล  นิพพาน ไปสู่ความสิ้นสุดแห่งการเวียนว่าย ตาย เกิด นั่นเอง พวกเรานั้นจะถือว่าโชคดีหรือไม่  ก็ให้พิจารณาดู อย่างน้อยถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ จะเสด็จดับขันธ์ไปแล้วก็ตาม   แต่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงก่อนเสด็จดับขันธ์ไว้ว่า ธรรมวินัยนี้  จะเป็นองค์ศาสดาแทนเรา   นั่นก็คือ  ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นจะเป็นตัวแทนพระองค์   พวกเราได้เกิดเป็นมนุษย์   และยังมีชีวิตอยู่  ยังสามารถที่จะเอาประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้  ยังสามารถเข้าวัดเข้าวา ฟังเทศน์ ฟังธรรมได้ 

โดยสรุปแล้วสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในโลกนี้ ๔ ประการ คือการได้พบพระพุทธศาสนา   การได้เกิดมาเป็นมนุษย์   การที่ยังมีชีวิตอยู่ และการได้ยินได้ฟังธรรม  เมื่อได้พบแล้ว จึงควรน้อมเอาสิ่งที่วิเศษทั้ง ๔ ประการนี้ มาทำประโยชน์ให้กับตนเองอย่างเต็มที่   เพราะว่าถ้าตายจากภพนี้ไปแล้ว  โอกาสที่จะได้พบกับสิ่งเหล่านี้อีก ไม่เป็นของง่าย เมื่อมีโอกาสแล้ว  ดังที่โบราณท่านบอกว่า  น้ำขึ้นให้รีบตัก  อย่าประมาท   อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง   อย่าไปบอกว่า เรายังไม่แก่  เรายังมีเวลาเหลืออีกมาก  รอให้แก่ก่อน แล้วค่อยมาฟังเทศน์ ฟังธรรม   ถึงตอนนั้น  มันจะสายไป  เพราะว่าหลายคนที่แก่แล้วเข้าวัด   แล้วมานั่งร้องไห้  เสียอกเสียใจ   รู้อย่างนี้  เข้าวัดเข้าวาเสียแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวดีกว่า   จะได้รับประโยชน์มากกว่า  เพราะว่าเมื่อแก่แล้ว  สังขารร่างกายมันไม่อำนวย จะนั่งกราบพระสักครั้งก็ยากแสนยาก  จะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ  จะสวดมนต์ไหว้พระ หรือทำอะไร  สังขารร่างกายนี้ มันก็ไม่อำนวย  ถ้าเป็นหนุ่มเป็นสาว  โอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม  เพื่อเข้าสู่มรรค  ผล  นิพพานนั้น จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเมื่อแก่ไปแล้ว   โอกาสเหล่านั้นจะยาก จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยการน้อมเอาสิ่งที่วิเศษทั้ง ๔ ประการนี้ มาทำประโยชน์ให้กับตนเองอย่างเต็มที่    การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้