กัณฑ์ที่
๑๕
การสืบทอดพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
เป็นมรดกอันล้ำค่าของชาวพุทธเรา
เพราะว่าพระพุทธศาสนานั้น
เป็นคำสอนที่เป็นจริง
ถูกต้อง
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
ที่เรียกว่า สัจจะธรรม
เป็นแสงสว่างนำทางให้ผู้ที่ยังมืดบอด
ได้รู้จักเรื่องผิด ถูก ดี
ชั่ว เรื่องบาป เรื่องบุญ
เรื่องนรก เรื่องสวรรค์
เป็นเครื่องนำพาไปสู่ทิศทางที่ดี
ที่งาม มีแต่ความผาสุก
ความเจริญรุ่งเรือง
ชาวพุทธทุกคน
จึงสำนึกในคุณค่า
ของพระพุทธศาสนา
และได้ถ่ายทอด
สืบทอดพระพุทธศาสนา
มาเป็นเวลา ๒๕๐๐
กว่าปีแล้ว การที่พุทธศาสนามีอายุยืนยาวมาได้ขนาดนี้
เป็นเพราะว่าพระบรมศาสดา
คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ได้ทรงวางแนวทาง สำหรับการถ่ายทอด
สืบทอด ไว้เป็นอย่างดียิ่ง
โดยมีพระอริยสาวกทั้งหลาย
พุทธบริษัทสี่ ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
และพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ยึดถือเป็นแนวทาง
นำมาประพฤติปฏิบัติ
มาถ่ายทอด
พระธรรมคำสั่งสอนอันประเสริฐ
จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นเวลา
๒๕๐๐
กว่าปีแล้ววิธีการถ่ายทอด
สืบทอด
ที่พระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้นั้น
มี ๔ ประการด้วยกัน
ประการแรก
พระพุทธองค์ทรงสอนให้
พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
หรือพุทธบริษัทสี่นั้น
ศึกษาพระธรรมคำสอนก่อน
อันนี้ท่านเรียกว่าปริยัติธรรม
ประการที่สอง ทรงสอนว่า
หลังจากที่ได้เรียน
ได้ศึกษาแล้ว ให้เอาสิ่งที่เราได้เรียน
ได้รู้ มาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา
กับใจเรา กับกาย
กับวาจาของเรา เรียกว่า
ปฏิบัติธรรม
หลังจากที่ได้ปฏิบัติแล้ว
ขั้นต่อไป ก็จะเป็นขั้นปฏิเวธธรรม
คือการบรรลุเห็นผลจากการปฏิบัติ
ขั้นที่สี่ หลังจากที่ได้บรรลุเห็นธรรมแล้ว
จึงให้เอาไปเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่นต่อไป
นี่คือวิธีสืบทอด ถ่ายทอด
ด้วยการศึกษา
ปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุ
เมื่อบรรลุแล้ว
จึงเอาไปเผยแผ่ต่อไป
เป็นวิธีที่จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่กับโลกเราไปได้อย่างยาวนาน
การไม่ดำเนินตามทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้
ไม่ประพฤติปฏิบัติตามนั้นเป็นอย่างไร
เช่นเวลามาวัด
มาบวชก็ดี หรือมาทำบุญตักบาตรก็ดี
มาโดยไม่สนใจจะศึกษาพระธรรมคำสอน
ไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ
ที่พระพุทธองค์
สั่งสอนให้กระทำกันนั้น
มีอะไรบ้าง
เป็นเหมือนกับคนหูหนวก
ตาบอด ไม่รู้จักเรื่องผิด
ถูก ดี ชั่ว ไม่รู้ว่าอะไรควร
อะไรไม่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
การประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนาก็เป็นไปแบบลุ่มๆดอนๆ
เป็นไปแบบผิดๆถูกๆ
ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์
หลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้
แต่เป็นไปในลักษณะของความงมงาย
มีความคิดของลัทธิอื่น
ปะปนกับคำสอนของพระพุทธศาสนา
จนกระทั่งไม่รู้ว่าพุทธศาสนานี้สอนอะไร
อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น
ท่านสอนในเรื่องหลักกรรม คือ
ดี ชั่ว สุข ทุกข์
นั้นอยู่ที่การกระทำ
กรรม คือการกระทำ กรรมมี ๓ อย่าง
คือ กายกรรม วจีกรรรม
มโนกรรม กรรมทางกายเรียกว่ากายกรรม
ทางวาจา เรียกว่า
วจีกรรม ทางจิตใจ
ทางความคิดอ่าน คือ
มโนกรรม เมื่อทำไปแล้ว
ซึ่งทำได้ ๒ ทาง คือ ทำดี
หรือ ทำชั่ว คิดดี
คิดชั่ว พูดดี
หรือ พูดไม่ดี
เมื่อทำไปแล้ว ผลก็จะต้องตามมา คือ
ผลดี หรือ ผลไม่ดี ผลดี คือความสุข
ความเจริญรุ่งเรือง ผลไม่ดี
คือความทุกข์
ความหายนะ นี้คือหลักของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ชาวพุทธไปวิงวอน
ไปอ้อนวอน หรือไปขอสิ่งต่างๆ
จากพระพุทธรูปก็ดี
จากพระสงฆ์องค์เจ้าก็ดี
หรือจากต้นไม้
หรือจากอะไรทั้งสิ้น
พระพุทธศาสนาสอนให้เราทำในสิ่งที่ดี
ทำด้วยสติ ด้วยปัญญา
ด้วยความวิริยะ
อุตสาหะ ด้วยขันติ
ความอดทน ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้แล้ว
สิ่งต่างๆ
ที่เราปรารถนาในโลกนี้ไม่ว่า
ลาภ ยศ สรรเสริญ
สุข ก็จะตามมา
เพราะว่า ลาภ
ยศ สรรเสริญ
สุขนั้น เป็นสิ่งที่ตามมาจากการกระทำนั่นเอง
ไม่ใช่เกิดจากกการที่ไปนั่งจุดธูป
๓ ดอก แล้วนั่งหลับตาอธิฐานจิตขอให้สิ่งต่างๆปรากฏขึ้นมา
หรือขอให้ลาภ ให้ยศต่างๆ
ลอยมาหา
หรือขอให้ความทุกข์ทั้งหลายมันหมดไปจากตัวเรา
สิ่งเหล่านี้ มันไม่สามารถ
ที่จะเป็นไปได้จากการวิงวอน
จากการร้องขอ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้น
เกิดจากการกระทำของตัวเราเอง
ทั้งในอดีต และในปัจจุบัน
ที่ส่งผลให้เราเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
สิ่งแรกที่พุทธศาสนิกชนควรกระทำ
คือ
สนใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอน
ด้วยการเข้าวัด เข้าวา
ฟังเทศน์ ฟังธรรม
หรือศึกษาจากพระไตรปิฎก
หรือศึกษาจากหนังสือของครูบาอาจารย์
พระสุปฏิปันโนทั้งหลาย
และเมื่อได้ศึกษาแล้ว
จะได้รู้สิ่งต่างๆ
ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน
ไว้ซึ่งสรุปลงได้ ๓
หัวข้อใหญ่ๆ คือ
๑. ทำแต่ความดี
๒.
ละความชั่ว
๓. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด
คือ ชำระความโลภ ความโกรธ
ความหลง ที่มีอยู่ในจิตใจให้หมดสิ้นไป
นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน
เมื่อเรารู้ในทั้ง ๓
สิ่งนี้แล้ว
ให้นำไปประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา
พยายามทำความดี
พยายามละบาป ละความชั่ว
และพยายามละความโลภ
ความโกรธ ความหลงทั้งหลาย
เมื่อทำไปแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้น คือปฏิเวธก็จะตามมา
อย่างเช่นวันนี้
ท่านทั้งหลายได้มาทำบุญให้ทาน
รักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรม
ได้สัมผัสกับความสงบสุข
ความร่มเย็นของจิตใจ
อันนี้เกิดขึ้นจากการกระทำในสิ่งทั้ง
๓ นั่นเอง คือ
การทำความดี ละความชั่ว
ละความโลภ ความโกรธ
ความหลง
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว
ผลที่จะตามมาอันดับแรก คือ
ผลที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
จิตใจจะเป็นจิตใจที่มีความสงบ
มีความสุข มีความสบายใจ
ต่างกับเวลาที่ทำบาปไปลักทรัพย์
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
จิตใจจะมีแต่ความรุ่มร้อน
มีแต่ความทุกข์ใจ
ปริยัติธรรม
ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรมนั้น
เป็นธรรมที่ต่อเนื่องกัน เป็นธรรมที่จะต้องควบคู่กันไป
ไม่แยกออกจากกัน
ถ้าศึกษาอย่างเดียวแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติ
ปฏิเวธก็จะไม่เกิดขึ้น
ผลก็จะไม่เกิด
ไม่บรรลุธรรม
แต่ถ้าปฏิบัติโดยไม่ศึกษาก่อน
ก็จะหลงทางได้
เพราะไม่ทราบว่าพระพุทธองค์นั้นทรงสอนให้ทำอะไร
เมื่อทำไปแล้ว จะทำอย่าง
ผิดๆ ถูกๆ ผลที่ควรจะได้รับก็ไม่ปรากฏขึ้นมา
ปริยัติธรรมนี้
เปรียบเหมือนกับการศึกษาแผนที่
อย่างเวลาที่จะเดินทางไปที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่เราไม่รู้จัก
เราก็ต้องถามคนที่เขาเคยไปมาแล้ว
หรือหาแผนที่ ที่บอกทางที่จะไป
ว่าที่นั้นอยู่ตรงไหน
และจะไปได้อย่างไร
เมื่อศึกษาแผนที่แล้ว
อ่านแผนที่แล้ว ก็จะรู้ว่าจะไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างไร
แต่ถ้าไม่ออกเดินทางก็จะไม่สามารถไปถึงยังจุดหมายปลายทางได้
เมื่อได้ศึกษาทิศทางแล้ว
รู้ว่าสถานที่ที่จะต้องไปนั้น
อยู่ตรงไหน ไปอย่างไร
ขั้นต่อไป ต้องดำเนินการ
ก็คือขั้นปฏิบัติ
เราจะต้องออกเดินทาง
ไปด้วยรถไฟก็ดี
หรือขึ้นรถยนตร์ก็ดี
ก็ต้องไป ถ้าไม่ไปก็ไปไม่ถึง
ถ้าไปแล้วไม่หยุด
ในที่สุดก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
เมื่อเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ก็จะรู้ว่าที่
ที่ต้องการไปนั้นเป็นอย่างไร นี่ก็คือการบรรลุธรรม
สิ่งวิเศษต่างๆ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงเห็น เช่น มรรค ผล นิพพาน นรกชั้นต่างๆ พรหมโลก และสวรรค์ พระพุทธองค์ทรงได้สัมผัสผ่านมาแล้ว ได้ทรงเห็นมาแล้ว พระพุทธองค์จึงนำมาสอนพวกเรา บอกวิถีทางที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าพวกเราศึกษาแล้ว นำเอาไปประพฤติปฏิบัติตาม เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ที่พระพุทธองค์ได้ทรงรู้ ทรงเห็น แล้วก็เอามาบอกพวกเรา คือ มรรค ผล นิพพาน พระนิพพานคือ แดนแห่งความสุขสันต์ เป็นที่สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีความทุกข์ เป็นสถานที่ที่มีแต่บรมสุขอย่างเดียว เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นความสุขที่ไม่มีความสุขอื่นใดในโลกนี้ เสมอเหมือน เป็นสุขที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการสิ้นสุด เป็นสุขที่เรียกว่า บรมสุข ตามหลักของความเป็นจริง ใครได้ไปอยู่ตรงจุดนั้นแล้ว ถือว่าได้ประสบกับความสุขอย่างแท้จริง
ถ้าปรารถนาที่จะไปยังจุดหมายปลายทางนี้
จะต้องศึกษาและต้องปฏิบัติ
แล้วก็จะบรรลุถึงธรรมอันนั้นได้
ถ้าศึกษาอย่างเดียว
แล้วไม่ปฏิบัติ ก็จะไม่รู้
ไม่เห็น
เพราะว่าการเรียนรู้อย่างเดียวนั้น
มันไม่พอเพียง
เพราะว่าสิ่งที่จะไปนั้น
คือ ใจของเรา
แต่ในขณะนี้จิตใจของเรา
ยังมองไม่เห็น
เพราะจิตใจของเรามันมืดบอด
ยังต้องชำระด้วยธรรมะ
คือแสงสว่าง
ที่ใดมีแสงสว่าง
ที่นั่นก็จะไม่มีความมืด
ถ้าเราไม่มีแสงสว่าง
เราก็ต้องอยู่ในความมืด
ความมืดกับแสงสว่างไม่สามารถอยู่ในที่เดียวกันได้
ถ้ามีกลางวันก็ไม่มีกลางคืน
ถ้ามีกลางคืนก็ไม่มีกลางวัน
ถ้ามีแสงสว่างก็ไม่มีความมืด
ฉันใด จิตใจก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ชำระความมืดให้ออกไปจากจิตใจ
ความสว่างภายในใจก็จะไม่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกัน
ถ้าญาติโยมทั้งหลายยังไม่เคยมาที่วัดนี้
ก็จะไม่สามารถบอกได้ว่า
วัดนี้มีลักษณะอย่างไร
มีพระกี่รูป มีศาลากี่หลัง
มีโบสถ์แบบใด มีเจดีย์ทรงอะไร
มีเจดีย์อยู่กี่องค์
ถ้าไม่ได้มาถึงที่ก็จะไม่รู้
ต้องมาดูก่อน
เมื่อมาเห็นแล้ว
ถึงจะบอกผู้อื่นได้
และบอกได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ไม่ผิดพลาด แต่ถ้ายังไม่เคยมา
แล้วไปบอกผู้อื่น ก็จะบอกแบบผิดๆ ถูกๆ
ทำให้ผู้รับฟังหลงได้
ฉันใดตามหลักศาสนาก็เหมือนกัน
ก่อนที่จะไปสอนบอกผู้อื่นนั้น
ต้องศึกษา
ต้องประพฤติปฏิบัติจนบรรลุแล้ว
จึงจะไปสอนบอกผู้อื่นได้
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว
ก็จะสอนบอกแบบผิดๆ ถูกๆ
ทำให้คำสอนแบบผิดๆนั้น
เผยแผ่ต่อไปเรื่อยๆ
ต่อไปศาสนาก็จะหดหายไป
เพราะสิ่งที่สอนอยู่นั้นไม่ใช่ศาสนา
ไม่ใช่พระธรรมคำสอน
แต่เป็นการด้นเดาของผู้
ที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ
ยังไม่บรรลุธรรมนั่นเอง
ดังนั้น
พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย
ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส
ผู้เห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา ขอให้เรายึดแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงให้กับพวกเราไว้
ให้สืบทอด ถ่ายทอดมรดกอันล้ำค่าอันนี้
ด้วยการศึกษา
ปฏิบัติ บรรลุธรรม
แล้วจึงค่อยนำไปเผยแผ่
ถ้าเราสามารถประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ได้แล้ว พระพุทธศาสนาก็จะอยู่กับโลกของเราไปอีกยาวนาน
แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติตาม
ศาสนาของเราก็จะค่อยหดหายไป
ในที่สุดก็จะไม่มีศาสนาเหลืออยู่ในโลกนี้อีกต่อไป