กัณฑ์ที่ ๑๕๐       ๑๐ มกราคม ๒๕๔๖

เข้าวัดทำบุญ

 

เป็นปกติของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ที่จะเข้าวัดกันในวันพระเป็นประจำ  เพราะมีศรัทธา ความเชื่อ ว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีเพียงแต่ภพนี้ชาตินี้เท่านั้น   แต่เป็นภพหนึ่งในหลายๆภพ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ที่มีขึ้น มีลง  ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน ในแต่ละภพแต่ละชาติ   ถ้าทำบุญทำกุศล ก็จะเป็นภพชาติที่ดีตามมา มีแต่ความสุข ความเจริญ มีโอกาสที่จะได้บำเพ็ญสะสมบุญกุศล ให้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้นไป จนถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่อาศัยการประกอบคุณงามความดี ทำบุญทำกุศล อย่างต่อเนื่องในแต่ละภพในแต่ละชาติ เป็นเหตุปัจจัย  ถ้าทำแต่บาปกรรมอกุศลทั้งหลาย  ภพชาติก็จะเวียนสู่ภพชาติที่ต่ำ  โอกาสที่จะได้มีโอกาสสะสมบุญ สะสมกุศล ก็จะมีน้อย  โอกาสที่จะเดินไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็แทบจะไม่มีเลย  เพราะเกิดจากความไม่เชื่อ  ไม่มีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าภพชาติมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  กรรมมีจริง  ทำดีย่อมมีความสุข  และเมื่อตายไปย่อมได้ไปเกิดที่ดี เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญบารมีต่อไป 

เมื่อไม่เชื่อก็จะทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน โดยเชื่อว่าภพนี้ชาตินี้มีเพียงชาติเดียวภพเดียว  เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ควรตักตวงหาความสุขให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีใดก็ได้  ถ้าหาได้ด้วยวิธีที่สุจริตก็จะหา  ถ้าหาไม่ได้ด้วยวิธีสุจริต หาด้วยวิธีทุจริตก็เอา  เพราะไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาต่อไปในภพหน้าชาติหน้า  เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้วจะต้องสูญ  คือทุกสิ่งทุกอย่างจะจบกัน เมื่อร่างกายแตกดับสลายไปแล้ว  จึงกล้าทำบาปทำกรรม  เมื่อตายไปก็ต้องไปเกิดในที่ต่ำ ไปเสวยทุกข์  ภพชาติในอบายเป็นภพชาติที่ไม่มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศล เพราะเป็นภพชาติที่มีแต่ความทุกข์  มีแต่ความต่อสู้ แก่งแย่งกัน  เช่นภพของเดรัจฉาน เมื่อเกิดเป็นเดรัจฉาน โอกาสที่จะได้ทำบุญทำกุศลจะเป็นไปได้ยาก  เพราะจะต้องต่อสู้รักษาชีวิตของตน ด้วยการทำร้ายชีวิตของผู้อื่น 

แต่ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีศรัทธา มีความเชื่อ ว่าภพชาติแต่ละภพเป็นเพียงสถานที่ไว้สะสมบุญ สะสมกุศล หรือบาปกรรม  ถ้าอยากให้ชีวิตของเราไปสู่ความสุข ความเจริญ ความไม่มีทุกข์ทั้งหลาย  เราก็จะมุ่งมั่นประกอบแต่คุณงามความดี  สะสมบุญกุศล  อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันอย่างต่อเนื่องทุกๆวันพระ  นี่เป็นวิธีสะสมบุญ สะสมกุศล  ทำให้การมาเกิดในภพชาติของมนุษย์ไม่ขาดทุน  เพราะจะได้บุญเพิ่มขึ้นจากเก่า  ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็อาศัยบุญเก่าที่ได้ทำไว้ในอดีต  และเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ควรเติมบุญให้มากขึ้นไปอีก เพราะว่าชีวิตของมนุษย์ ก็เปรียบเหมือนกับยานพาหนะ  เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ที่มีไว้เพื่อพาผู้โดยสาร ให้ไปจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง  ชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้น ชีวิตมนุษย์ก็เป็นเหมือนกับพาหนะ เป็นรถยนต์ที่จะนำพาจิตของแต่ละคนไปสู่การสิ้นทุกข์ สู่บรมสุข ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ดำเนินไปถึง  ด้วยการสะสมบุญบารมี สะสมกุศล  ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์  เมื่อตายจากมนุษย์ไปแล้ว  ผลบุญก็จะส่งให้ไปเสวยสุขในสวรรค์  เมื่อหมดบุญจากสวรรค์ก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เมื่อได้กลับเป็นมนุษย์ก็ได้สะสมบุญบารมีอีก  ทำอย่างนี้ไปหลายภพหลายชาติ วนไปเวียนมา แต่วนเวียนอยู่ในสุคติ อยู่ในภพชาติที่ดี  ที่มีแต่ความสุข ความเจริญ 

น้อยครั้งที่จะวนไปสู่อบายหรือทุคติ เป็นภพชาติที่มีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน  แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมทำทั้งบุญและทำทั้งกรรม  เมื่อต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ก็ต้องใช้กรรมที่ตนเองได้ทำมา   แต่ก็พยายามรักษาไม่ให้ตกไปต่ำกว่านั้น  ถึงแม้จะเป็นเดรัจฉานก็เป็นเดรัจฉานที่ดี มีความกตัญญูกตเวที  ไม่เบียดเบียนผู้อื่นถ้าไม่จำเป็น นอกจากรักษาชีวิตของตนไว้  เมื่อตายไป กรรมที่ไม่ดีนั้นหมดไป บุญที่เคยทำไว้ในอดีต ก็จะส่งให้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก  และเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโชควาสนาที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา  พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนความจริงเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราทุกคน ก็เกิดศรัทธา แล้วปฏิบัติตาม ด้วยการใช้ร่างกายหรือภพชาติของมนุษย์นี้ ให้เป็นคุณประโยชน์กับตัวเรา  คือสะสมบุญกุศลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  จนได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี หรือพระอรหันตสาวกก็ดี ก็เกิดจากการสะสมบุญบารมีในแต่ละภพในแต่ละชาติ ด้วยความเชื่อในกรรม เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด  เชื่อว่ามีการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการทำบุญทำกุศลเท่านั้น 

นี่แหละทำไมเราจึงต้องมาที่วัดกันทุกๆวันพระ  เพื่อจะได้เติมน้ำมันรถยนต์ ที่จะพาไปสู่ความสุข ความเจริญ ไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สู่ความสิ้นทุกข์นั่นเอง  เราจึงต้องมาที่วัด เพราะเมื่อมาที่วัดแล้วจะได้เติมน้ำมันหลายอย่างด้วยกัน  จริงอยู่คนบางคนบอกว่าไม่ต้องมาวัดก็ทำบุญได้  ก็ทำได้เพียงบางส่วน เหมือนกับคนที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บ อยู่ที่บ้านก็รักษาได้ ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลก็รักษาได้เหมือนกัน   แต่รักษาไม่ได้ทุกโรค ไม่เหมือนกับไปที่โรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลมีหมอ  มีเครื่องมือ มียา พร้อมที่จะรักษาโรคได้ทุกโรค  ฉันใดการมาวัดก็เป็นเช่นนั้น  การมาวัดจะได้ทำบุญหลายชนิดด้วยกัน  ได้เติมน้ำหลายชนิด เพราะรถยนต์ต้องใช้น้ำหลายชนิด ทั้งน้ำมันเบนซิน  น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่อง  น้ำมันเบรก  น้ำกลั่น น้ำที่เติมในหม้อน้ำ  อยู่ที่บ้านอาจจะไม่มีครบทุกชนิด  ถ้าไม่ไปที่ปั๊มน้ำมัน ก็จะไม่สามารถเติมให้ครบได้ทุกชนิด เพื่อให้รถยนต์วิ่งไปอย่างไม่มีปัญหา 

ฉันใดการทำบุญที่วัดจึงได้ประโยชน์มากกว่าการทำบุญที่บ้าน   เพราะที่บ้านอาจจะทำได้ในบางสิ่งบางอย่าง  แต่ไม่ทำได้ทุกอย่างเหมือนกับมาที่วัด  มาที่วัดนี้ได้ทั้งการทำบุญตักบาตร  ได้ทั้งการสมาทานศีลรักษาศีล  ได้ทั้งการบูชาพระรัตนตรัย  ได้ทั้งการฟังเทศน์ฟังธรรม  และถ้าอยู่ที่วัดค้างคืนก็จะได้ปฏิบัติธรรม  ได้บำเพ็ญจิตตภาวนา  มีการไหว้พระสวดมนต์  นั่งสมาธิ  และเจริญวิปัสสนา  ซึ่งเป็นบุญที่มีความจำเป็น ต่อการทำให้การเวียนว่ายตายเกิดของเราอยู่ในภพที่ดี  อยู่ในสุคติ  และพาไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในลำดับต่อไป พระพุทธเจ้าจึงทรงกำหนดให้มีวันพระขึ้นอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง  เพื่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะได้ปล่อยวางภารกิจ การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มาเข้าวัด เพื่อจะได้เติมน้ำมัน เติมบุญเติมกุศลที่จะส่งชีวิต คือจิตวิญญาณของเรา ไปสู่ที่ดีต่อไป ในเวลาที่ตายไปแล้วจากภพนี้ชาตินี้  

เรามักจะได้ยินเสมอเวลาคนตายไป มักจะพูดกันว่า ขอให้ไปสู่สุคติเถิด  แต่การขอคือความปรารถนาดีนั้น ไม่สามารถพาให้ผู้ที่ตายไปแล้ว ได้ไปเกิดในสุคติได้  ต้องเกิดจากการกระทำของแต่ละคน ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  เวลาตายไปแล้วจะนิมนต์พระมาสวดกุสลา มาทำบุญทำกุศลให้ก็ไม่เกิดประโยชน์กับคนที่นอนอยู่ในโลง เพราะคนตายไปแล้วไม่สามารถทำบุญได้  ไม่สามารถฟังธรรมะได้  ที่เขานิมนต์พระมาสวดนั้น ความจริงเขานิมนต์มาให้สวดให้คนเป็นมากกว่า  คือญาติพี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ไปในงานศพนั้น เพื่อจะได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม  ถ้าฟังด้วยความตั้งใจ จิตก็จะสงบ เมื่อมางานศพของเพื่อน ก็จะได้มีโอกาสเจริญปัญญา คือได้ปลงสังขาร  ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ถ้าเราระลึกถึงว่าเพื่อนของเราคนนี้ เมื่อก่อนเขาก็เป็นเหมือนเรา  เขาก็มีลมหายใจ  เขาก็มีความสามารถที่จะทำอะไรได้  แต่ในวันนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว  เขามีแต่รอให้นำเอาเข้าไปในเตาไฟ เพื่อที่จะเผาให้หมดสิ้นซากไป  แต่เรายังมีชีวิตอยู่  เรายังมีโอกาสที่จะทำอะไรได้  และต่อไปไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องเป็นเหมือนเขาเช่นกัน  เราก็จะต้องไปนอนในโลงให้เขานิมนต์พระมาสวด แล้วก็นำเข้าเตาเผา เพื่อที่จะเผาร่างกายนี้ให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปเหมือนกัน  

ถ้าเข้าวัดไปงานศพในลักษณะนี้ เราก็จะไม่ขาดทุน  เพราะได้เข้าไปเติมบุญเติมกุศล ได้ปลงสังเวช ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  สร้างสติให้เกิดขึ้น สร้างปัญญาให้เกิดขึ้น ว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง  มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วต้องดับไปในที่สุด เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  เราจึงควรขวนขวายสะสมบุญบารมี เพราะว่าเมื่อตายไปแล้ว คนอื่นสะสมบุญบารมีให้เราไม่ได้  บุญที่เขาอุทิศให้นั้น เป็นเพียงเศษบุญ  เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของบุญที่เขาทำเท่านั้น  ถ้าเปรียบก็เปรียบเหมือนกับเงินที่ให้ขอทาน  หรือให้คนที่ไม่มีค่ารถ เพื่อเดินทางไปข้างหน้าเท่านั้นเอง   ไม่มากมายเท่าไรเลย  เราจึงต้องไม่ประมาท ไม่ไปหวังบุญจากผู้อื่น ที่จะอุทิศให้เราหลังจากที่เราตายไปแล้ว  เราควรสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเรา ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  อย่างน้อยที่สุดก็ควรเข้าวัดอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ถ้ามีพระเดินผ่านบ้านทุกๆวัน ก็ควรใส่บาตรทุกๆวัน  แล้วก็รักษาศีล ๕ ให้ได้ทุกๆวันเป็นอย่างน้อย  ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ เชื่อได้ว่าเมื่อตายไปแล้ว เราจะได้ไปสู่สุคติอย่างแน่นอน  โดยไม่ต้องให้ใครมาขอให้เราไปสู่สุคติ  เพราะสิ่งนี้ขอกันไม่ได้  เป็นสิ่งที่จะต้องทำกันเอง ตัวใครตัวมัน  พ่อแม่ก็ทำให้เราไม่ได้  พี่น้องก็ทำให้เราไม่ได้  ลูกหลานก็ทำให้เราไม่ได้  เพื่อนฝูงก็ทำให้เราไม่ได้  พระสงฆ์องค์เจ้าก็ทำให้เราไม่ได้  มีตัวเราเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้กับตัวของเราได้ 

ถ้าเราไม่ทำ แต่กลับไปหลงระเริงกับการหาความสุขในโลก ซึ่งเปรียบเหมือนกับความสุขของผู้ที่ติดยาเสพติด  เป็นความสุขที่จะสร้างความอยากให้มีเพิ่มมากขึ้นไป ไม่ใช่เป็นความสุขที่จะทำให้เกิดความอิ่ม เกิดความพอ  เราก็จะต้องขวนขวายหาความสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ และจะไม่สามารถอยู่เฉยๆ อยู่เป็นสุขได้  เมื่อหาความสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะต้องไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดศีลผิดธรรม  เพราะเมื่อมีความอยากที่จะทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  แต่ไม่มีปัญญา คือไม่มีทรัพย์สินเงินทองของตัวเอง  ก็ต้องหาทรัพย์สินเงินทองด้วยวิธีต่างๆ  ถ้าไม่สามารถหามาได้ด้วยความสุจริต ก็จะต้องหาด้วยความทุจริต  ดังที่เราได้ยินได้ฟังในข่าวคราวอยู่เสมอ  เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการปล้นเงินไปสิบกว่าล้านบาท  เพราะต้องการจะเอาเงินไปหาความสุข  แต่ในที่สุดก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับเข้าคุกเข้าตะราง ความสุขที่คิดว่าจะได้รับ ก็เลยกลายเป็นความทุกข์เพิ่มขึ้นมากกว่า  ถ้าเป็นคนฉลาดรู้จักวิธีระงับดับความอยากต่างๆได้ ก็จะไม่ต้องไปกระทำบาปกรรม  

ความอยากต่างๆที่มีอยู่ในใจของเรานี้ สามารถระงับดับได้  หรืออย่างน้อยก็สามารถควบคุม ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมได้ ถ้าเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วนำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างเกราะคุ้มกัน สร้างอาวุธไว้ต่อสู้กับความอยาก  ใจของเราก็จะมีกำลังที่จะฝืนความอยาก ฝืนความโลภได้  แต่ถ้าไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม  ไม่เคยปฏิบัติธรรม  ไม่เคยทำบุญใส่บาตร  ไม่เคยเสียสละ  ไม่เคยรักษาศีล  โอกาสที่จะต่อสู้กับความอยากที่จะฉุดลากให้ไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อน ย่อมเป็นไปได้ยาก  แล้วในที่สุดก็จะต้องพบกับความหายนะ   อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง  ถ้ามากกว่านั้น ก็จะต้องถูกเขาฆ่าตาย ไม่เช่นนั้น ก็ต้องฆ่าตัวเอง เพราะกลัวจะต้องถูกผู้อื่นมาทำร้าย เนื่องจากไปกระทำความไม่ดีไว้กับผู้อื่นนั่นเอง  นี่ก็เป็นเพราะว่าชีวิตขาดธรรมะ ขาดแสงสว่าง   มีแต่ความมืดบอดนำพาไป  ความมืดบอด ก็จะบอกว่าความสุขของชีวิต อยู่ที่การเสพกามคุณ  คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  เช่น คนที่ต้องออกไปเที่ยว ไปกิน ไปดื่ม ก็เป็นเพราะว่ามีความหลงครอบงำอยู่  ถูกความหลงหลอกให้ไปหาความสุขเหล่านี้  ซึ่งเป็นเหมือนกับความสุขของผู้ที่เสพยาเสพติด  เพียงแต่ว่าไม่รุนแรงเท่ากับยาเสพติด  ซึ่งมีฤทธิ์ที่จะทำร้ายชีวิตและร่างกายอย่างรุนแรงและรวดเร็ว กว่าความสุขที่เกิดจากการออกไปเที่ยวดื่ม เที่ยวกิน เที่ยวเตร่ 

เราจึงควรคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้  เวลาที่จะทำอะไร  ควรใช้สติใช้ปัญญา  เวลาคิดจะทำอะไร ถามตัวเองก่อนว่า สิ่งที่จะทำนี้ มีผลดีผลเสียอย่างไร   ทำไปแล้วทำให้มีบุญมีกุศลเพิ่มขึ้นหรือเปล่า  หรือทำไปแล้วทำให้มีบาปมีกรรมเพิ่มขึ้นมา  ถ้าทำไปแล้วเป็นบุญเป็นกุศล  อย่างคิดว่าจะมาวัดทุกๆวันพระ  เพื่อมาทำบุญ มาฟังเทศน์ฟังธรรม  มาปฏิบัติธรรม  ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็ควรจะทำไปเลย   เพราะเมื่อทำไปแล้ว จะสร้างบุญ สร้างกุศล สร้างความสุข สร้างความเจริญให้กับเรา  แต่ถ้าคิดว่าจะไปเที่ยว ไปเล่นการพนัน ไปกินเหล้าเมายา ไปหาความสุขจากการดื่ม จากการกิน  ก็ต้องคิดดูว่ามันมีประโยชน์หรือไม่  ประโยชน์ก็มีอยู่บ้างเพียงชั่วในขณะที่เราเสพ เราเที่ยว  แต่หลังจากนั้น แล้วเงินทองของเราก็จะร่อยหรอลงไป เวลาก็ผ่านไป แทนที่จะเอาเวลาที่ไปเที่ยว ไปเสพสิ่งเหล่านี้  มาทำงานทำการ ทำมาหากิน  เพื่อหาเงินทองเพิ่มขึ้น กลับทำให้หมดไป  เมื่อทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  ไม่ช้าก็เร็ว เงินทองที่มีอยู่ก็จะต้องหมดสิ้นไป  แล้วก็จะต้องตกทุกข์ลำบากต่อไป  ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็จะระงับดับความอยากได้  บอกตัวเองว่าอยู่บ้านดีกว่า  ถึงแม้จะหงุดหงิดบ้างก็ไม่เป็นไร  เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแก้ดีกว่า  ลองมานั่งไหว้พระสวดมนต์ไปเรื่อยๆ  สักครึ่งชั่วโมง สักชั่วโมงหนึ่ง  ใจจะเย็น ใจจะสงบ  แล้วความรู้สึกหงุดหงิด ความว้าเหว่  ความอยากจะออกไปหาเพื่อน ออกไปเที่ยว จะเบาบางลงไป  และจะไม่มีอำนาจพอที่จะผลักดัน ให้ต้องออกไปเสียเงินเสียทอง เสียเวลา 

เมื่อจิตได้รับการอบรมจากการไหว้พระสวดมนต์ จากการนั่งสมาธิ  จิตก็จะสงบ  ความอยากต่างๆ ก็จะระงับลงไปชั่วระยะหนึ่ง  ทำให้มีความเบาอกเบาใจ มีความสบายใจ  ทำให้ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งต่างๆ มาดับความรู้สึกที่ไม่ดีภายในใจ  นี่เป็นวิธีดับความทุกข์ ความอยากในใจที่ถูกต้อง  เพราะไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่เสียเวลา  และยังเป็นวิธีสร้างนิสัยที่ดี สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ ความอยาก  ให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น  ต่อไปความทุกข์ความอยากจะไม่มีอิทธิพล บังคับส่งให้เราต้องไปแสวงหาสิ่งต่างๆ ภายนอกได้  ชีวิตของเราก็จะเป็นชีวิตที่สุขสบาย โดยที่ไม่ต้องมีอะไรเลย  อย่างชีวิตของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย  ท่านได้สร้างเกราะคุ้มกัน และทำลายความทุกข์ความอยากภายในใจให้หมดสิ้นไป  เมื่อไม่มีความทุกข์ความอยากมาเป็นตัวคอยผลักดัน ให้ต้องไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้  ก็ไม่ต้องไปทำอะไร  ก็ตั้งอยู่ในความสงบระงับ  ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร จึงกลายเป็นคนที่น่าเคารพ น่าเลื่อมใส  เพราะเป็นผู้ให้โดยถ่ายเดียว  ถ้าจะทำอะไร ก็ทำเพื่อผู้อื่น  เพราะสำหรับตัวท่านเองนั้น  ท่านมีพร้อมบริบูรณ์แล้ว   คือใจมีความอิ่มแล้วนั่นเอง  ใจไม่หิว ใจไม่อยาก  ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น 

นี่แหละคือสิ่งที่วิเศษ  สิ่งที่ดีที่งาม ที่มีอยู่ในตัวของเรา อยู่ในใจของเรา  เพียงแต่รอให้เรามาดูแล มาทำให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง  แล้วจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  ในเบื้องต้นก็พยายามเข้าวัดอย่างต่อเนื่องทุกๆวันพระ  และเมื่อได้ปฏิบัติมากขึ้นไป  จิตใจจะมีความสงบเย็นลงมาก  ความหิว ความอยากน้อยลงไป  เวลาที่จะต้องออกไปหาความสุขภายนอก ก็จะมีเหลือมาก ไว้สำหรับนำมาปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น  ก็จะเข้าวัดบ่อยขึ้น  แทนที่จะมาเพียงทุกๆวันพระ ก็จะมาบ่อยขึ้น คือนอกจากวันพระแล้ว ก็จะมาวันโกนด้วย  มาวันหลังวันพระด้วย  คือแทนที่จะมาเพียงวันเดียว  มาเพียงช่วงระยะตอนเช้าเท่านั้น ก็จะมาอยู่วัด ๓ วัน  ดังมีโยมบางท่านได้ปฏิบัติมา  คือมาอยู่ตั้งแต่วันโกนจนถึงวันหลังวันพระแล้วค่อยกลับบ้าน  เมื่อได้ปฏิบัติมากขึ้นๆไปแล้ว  ต่อไปก็จะมาอยู่วัดมากเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ   บางทีในช่วงเวลาเข้าพรรษาก็จะมาอยู่วัดตลอดพรรษาเลย  หรืออาจจะบวชเป็นพระไปเลยก็เป็นได้  

เพราะว่าเมื่อมีการปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่องแล้ว  ความสุข ความสบายใจ ก็จะมีมากขึ้น  ความอิ่ม ความพอ ก็จะมีมากขึ้น  เลยทำให้ไม่มีความอยากที่จะต้องออกไปหาความสุขภายนอก   เพราะรู้ว่าการหาความสุขภายนอกเป็นภาระมาก  ต้องมีเงินทอง   และเงินทองก็ไม่ได้งอกขึ้นมาจากตัวเรา  เป็นสิ่งที่จะต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก  ต้องทำมาหากินถึงจะได้เงินทองมา เมื่อใช้ไปเงินทองก็หมดไป  ความสุขที่ได้จากการใช้เงินทองก็หมดไปเช่นกัน  แต่ความอยากความหิวที่จะต้องออกไปหาความสุขข้างนอกกลับมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก  ก็เลยต้องไปหาเงินทองเพิ่มขึ้นอีก  จนกลายเป็นวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุด  แต่ถ้าได้ปฏิบัติธรรม  ได้ต่อสู้กับความอยาก จนความอยากเบาบางลงไป  ใจจะมีความอิ่ม มีความสุขในตัวของมันเอง  ก็เลยไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง  เงินทองที่เมื่อก่อนรู้สึกว่าไม่ค่อยพอใช้ก็เริ่มมีเหลือ  เริ่มมีมากขึ้นเพราะไม่ได้ใช้นั่นเอง  ถ้าใช้ก็ใช้กับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น คือปัจจัย ๔ ใช้สำหรับซื้ออาหารมารับประทาน  ซื้อเสื้อผ้ามาใส่  ซื้อยามารักษา  แล้วก็จ่ายค่าเช่าบ้านถ้าไม่มีบ้านของเราเอง   ก็มีเท่านั้นสำหรับความจำเป็นต่อการใช้เงินใช้ทอง  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้