กัณฑ์ที่ ๑๖๓       ๑๖ เมษายน ๒๕๔๖

คบคนดี

 

วันนี้มีญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้มาที่วัดเพื่อประกอบคุณงามความดี ตามคำสอนอันประเสริฐของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผู้ทรงรู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมความจริงทั้งหลาย ความจริงที่เป็นเหตุและเป็นผล  ความจริงที่เกี่ยวกับความดี ความสุข ความเจริญ  ความจริงที่เกี่ยวกับความชั่ว ความทุกข์ ความเสื่อม ความหายนะ  เมื่อมีความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  เราก็ตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามกำลังแห่งสติปัญญา ศรัทธาความเชื่อ วิริยะความพากเพียร  เมื่อได้ปฏิบัติตามแล้ว จะได้สัมผัสกับผลที่เกิดจากการปฏิบัติ เมื่อได้สัมผัสกับผลแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีศรัทธา ฉันทะ วิริยะ เพิ่มมากขึ้นไปอีก ทำให้อยากจะปฏิบัติให้มากยิ่งๆขึ้นไปอีก 

ในเบื้องต้นของการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะค่อนข้างยากลำบากสักหน่อย  เพราะ ๑. บางทีก็ปฏิบัติไม่ถูก   ๒. แรงต่อต้านที่มีอยู่ภายในใจก็มีมาก จึงทำให้รู้สึกว่าปฏิบัติยาก  ปฏิบัติแล้วไม่ค่อยได้ผลเท่าไร วิธีที่จะแก้ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติแบบผิดๆถูกๆ ก็ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างสม่ำเสมอ  อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มาที่วัดกันทุกๆวันพระ  ก็เพื่อมาฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า  เมื่อได้ฟังบ่อยเข้าๆ ก็จะเกิดความเข้าอกเข้าใจ  แล้วก็จะสามารถนำความเข้าใจนี้ไปใช้ในการปฏิบัติ   เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักธรรมแล้ว   ผลอันดีงาม ไม่ว่าจะเป็นความสุขภายในใจ หรือความเจริญภายนอก ก็จะค่อยๆปรากฏขึ้นมา  แล้วเมื่อปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็จะทำให้มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น ที่จะปฏิบัติต่อไป  ส่วนวิธีที่จะแก้แรงต้านที่มีอยู่ภายในใจ  ก็ให้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า  ศึกษาประวัติของพระอริยสาวกทั้งหลาย  ที่ได้ต่อสู้กับสิ่งกีดขวางภายในใจ ที่ทำให้การปฏิบัติของท่านเป็นไปด้วยความยากเย็น  เป็นไปด้วยความล่าช้า  แต่อาศัยความอดทน ความกล้าหาญ ความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ก็จะสามารถเอาชนะแรงต้านทานที่มีอยู่ภายในใจได้ ทำให้เบาบางลงไปได้ จนไม่มีแรงต้านทานหลงเหลืออยู่ภายในใจเลย 

ดังนั้นการเข้าหาผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆสาวก พระเกจิอาจารย์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย  กัลยาณมิตรทั้งหลาย   ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านเหล่านี้  ก็จะทำให้เกิดกำลังใจ  เพราะเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดคนดี ที่ปฏิบัติแต่ความดี ก็จะทำให้มีความอยากที่จะปฏิบัติตาม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้คบกับคนดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย ท่านได้ผ่านไปแล้ว  เราก็ได้แต่เพียงศึกษาพระประวัติของท่าน  แต่ไม่ได้เห็นกับตา  แต่ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนดี คนที่ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีที่งาม  เมื่อเห็นเขาทำได้  ก็จะทำให้เกิดศรัทธาที่อยากจะทำตาม  เมื่อทำตาม ก็จะเห็นผลที่ปรากฏขึ้นมา สิ่งที่รู้สึกว่ายากแสนยาก  เวลาปฏิบัติตามลำพังคนเดียว ก็กลับเป็นสิ่งที่ไม่ยากจนเกินไป   เช่นเห็นคนอื่นถือศีล ๕ ได้ตลอดเวลา  ก็ทำให้เกิดมีกำลังที่อยากจะรักษาศีล ๕ ให้ได้เหมือนกับเขา  เห็นเขารักษาศีล ๘ ได้ เห็นเขานั่งสมาธิ เดินจงกรมได้  เห็นเขาอยู่วัดจำศีลได้ครั้งละหลายๆวัน ๓ วันบ้าง ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง  เห็นเขาปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็จะทำให้มีกำลังใจที่อยากจะปฏิบัติเหมือนเขา  เพราะเห็นว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา  ในเมื่อเขายังกินข้าวเหมือนเรา  ทำไมเราจะทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ 

นี่คือลักษณะของการได้คบคนดี  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง  เพราะคนดีย่อมทำแต่ความดี  เหตุที่เรามาวัดนี้ก็เป็นเพราะว่ามีคนดีชวนเรามา  มีคนดีบอกว่าควรมาวัด มาทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรม  รักษาศีล ปฏิบัติธรรม  ถ้าไม่ได้คบคนดีแล้ว  รับรองได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่ได้ยิน จะไม่ได้เห็น  ถ้าไปคบกับคนโง่เขลาเบาปัญญา คนพาล คนที่ไม่รู้จักเรื่องผิดถูกดีชั่ว ไม่รู้จักเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ ไม่รู้จักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เขาจะไม่สามารถสอนเรา แนะนำเราเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้  ถ้าคบกับคนที่ชอบเล่นการพนัน เขาก็จะชวนเราไปเข้าบ่อน  ถ้าคบกับคนที่ชอบเสพสุรายาเมา เขาก็จะชวนเราไปกินเหล้าเมายา  ถ้าคบกับคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน เขาก็จะชวนเราไปเที่ยวกลางคืน  เพราะนั่นเป็นนิสัยของเขา เป็นชีวิตจิตใจของเขา  เป็นสิ่งที่เขาทำเป็นปกติ  เมื่อไปเกี่ยวข้องกับเขา  เวลาที่เขาจะไปทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็ต้องชวนเราไปด้วย  เมื่ออยากจะคบกับเขา เป็นมิตรเป็นเพื่อนกับเขา ก็ต้องไปกับเขา  เพราะกลัวจะเสียเพื่อน  แต่ไม่รู้ว่าเสียตัวจะรุนแรงร้ายกาจกว่ามากน้อยเพียงไร ก็ไม่คิดกัน มีแต่ตามเพื่อนไป   เพื่อนเสพยาเสพติด ก็เสพไปกับเขา  นี่ก็เป็นเพราะการคบคนพาลเป็นมิตรนั่นเอง ซึ่งเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ความหายนะทั้งหลาย 

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอย่างยิ่ง   เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าคนใดเป็นคนพาลแล้ว  ถ้ายังจำเป็นจะต้องคบค้าสมาคมกับเขา  ก็ต้องขีดเส้นไว้  คือคบได้ รู้จักกันได้ คุยกันได้  แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาชวนไปทำในสิ่งที่ไม่ดี  เราต้องหยุด ต้องบอกเขาว่า ทำไม่ได้ ไปไม่ได้  ถ้าเขาจะไม่คบกับเรา ก็ไม่ต้องไปเสียดาย ไม่ต้องไปเสียใจ  เพราะคบกับคนพาล คบกับคนชั่วก็เหมือนคบกับอสรพิษนั่นเอง  ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องถูกอสรพิษกัด  เพราะเมื่อไปทำตามสิ่งที่เขาทำ  ไม่ช้าก็เร็วการกระทำเหล่านั้นก็จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ความหายนะ ให้กับเรา  เราจึงต้องเลือกคบคน  คบคนดีอย่าไปคบคนไม่ดี  คนดีหรือคนไม่ดีไม่ได้อยู่ที่ว่ารวยหรือไม่รวย  มีตำแหน่งสูงหรือไม่สูง  มีคนยกย่องสรรเสริญมากน้อยเพียงไรหรือไม่  เพราะในสมัยนี้มีคนอยู่ ๒ ฝ่ายด้วยกัน  คนที่ไม่ดีกับคนที่ดี  คนที่ไม่ดีก็ยกย่องสรรเสริญคนที่ไม่ดีด้วยกัน  เพราะมีความรู้สึกนึกคิดไปในทำนองเดียวกัน  แต่คนดีจะไม่ยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี  อย่างพระพุทธเจ้าไม่ทรงยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี  แต่ทรงตำหนิ ทรงประณามอยู่เสมอ 

ดังนั้นเราอย่าไปดูที่ฐานะเงินทอง ตำแหน่ง  เพราะคนร่ำรวยก็อาจรวยมาได้จากความไม่ดี  รวยมาจากการกระทำผิด คือโกงเขามา ปล้นเขามา หลอกลวงเขามา ก็เป็นคนรวยได้  มีตำแหน่งสูงๆได้ก็เช่นเดียวกัน  ไม่จำเป็นว่าจะต้องรวยด้วยความสุจริต  หรือมีตำแหน่งสูงขึ้นมาด้วยความสุจริต  เรื่องร่ำรวยเรื่องมีตำแหน่งจึงไม่ใช่เครื่องวัดความดีของคนหรือความชั่วของคน  ความดีชั่วของคนต้องวัดด้วยพฤติกรรม คือการกระทำของคนๆนั้น ว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไร  ถ้าเขายังเกี่ยวพันกับอบายมุขทั้งหลาย  ทำผิดศีลผิดธรรม  โกหกพูดปดมดเท็จ  ประพฤติผิดประเวณี  เสพสุรายาเมา  ฉ้อโกง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ถ้าเขากระทำในสิ่งเหล่านี้ ก็ให้ตัดสินใจได้เลยว่าเป็นคนไม่ดี  ถึงแม้จะไม่ได้ติดคุกติดตะรางก็ตาม  แต่ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้ศาลตัดสินเสียก่อน ว่าผิดแล้ว ถูกจำคุกต้องโทษติดคุกติดตะรางแล้ว  ทางพระพุทธศาสนาถืออยู่ที่การกระทำ ก็พอแล้ว  จะถูกตำรวจจับหรือไม่ก็ไม่สำคัญ   สำคัญว่าถ้ากระทำบาปทำกรรมแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนไม่ดี  เพราะคิดว่าถ้าเขาทำกับคนอื่นได้ ทำไมจะทำกับเราไม่ได้  ถ้าวันดีคืนดีเราไปทำอะไรผิดใจเขา ไปขัดใจเขา ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจ  ทำไมเขาจะทำร้ายเราไม่ได้  เขาต้องทำได้ เพราะคนแบบนี้จะไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น  แต่จะคำนึงถึงความรู้สึกของเขาเท่านั้น 

จิตใจของเขาถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับจิตใจของสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง  สัตว์เดรัจฉานถึงแม้เราจะเลี้ยงดูเขาดีอย่างไร  ถ้าวันไหนเผลอไปเหยียบหางเขาเข้า เขาก็จะแว้งกัดเราได้  เพราะเป็นสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉาน  ที่จะทำอะไรไปตามความรู้สึกนึกคิด ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจในขณะนั้น  ถ้าโกรธก็จะโมโห จะด่า จะว่าทุบตีทันที ถ้าทำได้  แต่ถ้ามีอารมณ์ดี ก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี  แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะมีอารมณ์อย่างใดเมื่อใด   เวลาอารมณ์ดีก็รอดตัวไป  แต่ถ้าอารมณ์ร้ายขึ้นมา เราก็ต้องเจ็บตัว ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นคนดี เป็นมนุษย์  ซึ่งถือว่าเป็นคนดี  มนุษย์จะมีศีล ๕  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย  มีสติคอยดูแลอารมณ์ของตน  ยามที่มีอารมณ์โกรธขึ้นมา ก็จะต้องระงับอารมณ์โกรธ  จะไม่ระบายไปสู่บุคคลที่ตนเองมีความโกรธอยู่  เพราะนี่คือวิสัยของมนุษย์นั่นเอง มนุษย์จะรู้จักผิดถูกดีชั่ว รู้จักหักห้ามจิตใจ มีหิริโอตตัปปะ  มีความกลัวบาป มีความละอายในการกระทำบาป 

คนเราจะน่ารักน่าเอ็นดู น่าชื่นชม ก็อยู่ที่การกระทำนั่นเอง   ถ้าการกระทำเป็นการกระทำที่ไม่ดี เช่นกระทำบาปแล้ว  คนๆนั้นต่อให้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามขนาดไหน ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงๆขนาดไหน   ก็ไม่มีความสวยงามหลงเหลืออยู่ภายในใจแล้ว  เหลืออยู่แต่ความสวยงามที่ร่างกาย ซึ่งไม่ใช่เป็นความสวยงามที่แท้จริง  ร่างกายนี้สักวันหนึ่งก็ต้องแก่ชราลงไป  หนังก็ต้องเหี่ยวย่น  ผมก็ต้องขาวลงไป  ทรวดทรงก็จะหมดไป  อย่างนี้เป็นเรื่องปกติของร่างกาย    ถ้าคิดว่าความสวยงามอยู่ที่ร่างกาย  ก็หลงผิด ไปผิดทาง  จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากร่างกาย  แต่ถ้ารู้ว่าความสวยงามของคนอยู่ที่จิตใจ จิตใจที่ดี ที่มีความเมตตากรุณา มุทิตา  อุเบกขา  นั่นแหละคือความสวยงามของคนเรา อยู่ที่ภายในใจ  เพราะคนที่มีจิตใจที่ดีที่งามนั้น อยู่กับเขาก็จะมีแต่ความสุขใจ  เพราะเขาจะไม่แสดงอาการอะไร ที่สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับเรานั่นเอง  อยู่กับเขาที่ไหน เมื่อไร เวลาใด ก็จะมีแต่ความสุข  เวลาที่ไม่ได้อยู่กับเขา ก็อดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้ เพราะเขามีความสวยงามที่แท้จริงอยู่ในตัวของเขานั่นเอง 

คนที่มีความสวยงามทางร่างกาย แต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้  มีความโลภโมโทสัน จะทำให้ความสวยงามของร่างกายหายไปในพริบตาเดียว เมื่อปล่อยให้อาการของความโลภโมโทสันแสดงออกมา  เช่น เวลาเห็นอะไรแล้วอยากจะได้ ก็จะรีบแย่งกับเขาทันที   อย่างนี้พอใครเห็นเข้า ก็ไม่อยากจะคบด้วยแล้ว  หรือเวลาเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาก็พูดจาดุร้าย พูดคำหยาบออกมา  อย่างนี้ความสวยงามของร่างกายก็จะหมดความหมายไปในทันที  เพราะไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้คนที่มีความโลภโมโทสัน เราจึงต้องดูตัวเราเอง ว่าเรามีความสวยงามอยู่ตรงไหน  เราให้ความสำคัญกับความสวยงามในตัวของเราที่ตรงไหน  ถ้ายังให้ความสำคัญที่ร่างกาย ที่เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่เครื่องสำอางแต่งหน้าตา มากกว่าให้ความสำคัญต่อความสวยงามภายในจิตใจ  ก็แสดงว่ากำลังหลงทาง  กำลังพาตัวเองไปสู่ความไม่สวยงาม  ไปสู่ความน่ารังเกียจ  เราจึงควรรีบแก้ไข  เรื่องความสวยงามของร่างกายก็ไม่ปฏิเสธ  มีได้ รักษาได้ตามอัตภาพ ตามฐานะ

คนเราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อเสื้อผ้าราคาแพงๆ ใส่ถึงจะสวย  หรือต้องใช้เครื่องสำอางราคาแพงๆใช้ ถึงจะหน้าตาดี  เพียงแต่อาบน้ำอาบท่า หวีเผ้าหวีผม ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด  เท่านี้ก็สวยงามแล้ว  ถ้ามีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอยู่ในใจ  รับรองได้ว่าจะทำให้คนเขาเห็นความสวยงามของเรา  แม้จะไม่ได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม  ไม่ได้แต่งหน้าทาปากแต่อย่างไร  เพราะความจริงเป็นอย่างนี้  ความสวยงามที่น่าดึงดูดใจอยู่ที่ความประพฤติของคนเรา   จึงขอให้หันมาให้ความสนใจกับความประพฤติของเรา  หันมาสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้น  ถ้ายังมีความโลภโมโทสันอยู่  ขอให้ชำระกำจัดเสีย ด้วยการเข้าวัดเข้าวา ทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม  ฟังเทศน์ฟังธรรม  เพราะนี่คือวิธีที่จะแต่งใจให้สวยงาม  ไม่ต้องเสียเงินทองมากมาย เหมือนกับการแต่งกายให้สวยงาม  ถ้าไม่มีเงินทองที่จะซื้อข้าวของมาทำบุญใส่บาตรก็ไม่เป็นไร  มีข้าวเปล่าๆมาใส่บาตรก็เป็นบุญแล้ว มีมากน้อยอย่างไร ก็ขอให้ทำไปตามกำลังฐานะ ก็พอแล้ว  เพราะบุญไม่ได้อยู่ที่การให้ข้าวของเงินทองเท่านั้น  บุญยังเกิดจากการรักษาศีล  เกิดจากการละเว้นจากอบายมุขทั้งหลาย  เกิดจากการนั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์  เกิดจากการฟังเทศน์ฟังธรรม  ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง  เพียงแต่ต้องเสียเวลา  เราต้องสละเวลาที่เคยเอาไปใช้กับกิจกรรมอย่างอื่น  แบ่งเวลามาสร้างคุณงามความดี สร้างความสวยงาม ให้กับจิตใจของเรา 

เมื่อมีคุณงามความดีอยู่ภายในใจแล้ว  ความโลภโมโทสันต่างๆ ก็จะเบาบางลงไป  ความอยากจะมีนั่นมีนี่ก็จะน้อยลงไป  ความอยากที่จะให้คนนั้นคนนี้รักเรา ชอบเรา ยกย่องสรรเสริญเรา ก็จะน้อยลงไป  ต่อไปเราจะสามารถอยู่ตามลำพังได้ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาให้ความสุขกับเรา ไม่ต้องมีวัตถุข้าวของต่างๆมาให้ความสุขกับเรา  เพราะความดีที่มีอยู่ในใจของเรานี่แหละ เป็นผู้ที่จะให้ความสุขกับเรา  เป็นสมบัติของเราอย่างแท้จริง  ไม่มีใครสามารถที่จะแย่งจากเราไปได้  ความสุขที่เกิดจากสมบัติภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน  เราไม่รู้ว่าสามีของเรา ภรรยาของเรา จะจากเราไปเมื่อไรวันใด  และจากไปแบบไหนก็ไม่รู้  จากไปแบบตายไปก็ยังพอจะทำใจได้  แต่ถ้าจากไปเพราะไปมีเมียใหม่ ไปมีผัวใหม่ อย่างนี้อาจจะทำใจไม่ค่อยได้  เพราะใจไม่มีธรรมะ ไม่มีคุณงามความดีไว้หล่อเลี้ยง  จึงต้องยึดติดกับบุคคลภายนอก  ยึดติดกับสิ่งของภายนอก  เมื่อเกิดสูญเสียสิ่งของหรือบุคคลเหล่านั้นไปก่อนเวลาที่ควร ก็ต้องเกิดความเสียใจ  เกิดความโกรธแค้นขึ้นมา  แล้วก็จะนำพาไปสู่ความทุกข์ สู่การกระทำที่ไม่ดีไม่งามต่อไป 

นี่ก็เป็นเพราะความหลงผิดนั่นเอง มัวไปสร้างความสุขอยู่กับสิ่งภายนอก  สร้างความสุขอยู่กับการรักษารูปร่างหน้าตา  การแต่งกาย หาสิ่งต่างๆมาให้ความสุขกับเรา  หาบุคคลต่างๆมาให้ความสุขกับเรา  ก็เลยต้องออกไปหาสิ่งเหล่านี้อยู่เรื่อยไป  เมื่อเสียสิ่งนี้ไปก็ต้องหาสิ่งใหม่มาทดแทน  เสียบุคคลนี้ไปก็ต้องหาบุคคลใหม่มาทดแทน  เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น  นั่นก็เป็นเพราะไม่ได้สร้างคุณงามความดี  ไม่ได้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นอยู่ภายในใจ  ถ้ามีคุณงามความดีแล้ว ใจจะมีความอิ่ม มีความพอ   ถ้ามีความอิ่ม มีความพอแล้ว ก็ไม่อยากจะได้อะไรจากภายนอก  เพราะรู้ว่าธรรมชาติของสิ่งต่างๆภายนอก ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน  ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถไปควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความต้องการได้  เมื่อไม่สามารถควบคุมบังคับได้  เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงไป ก็จะนำมาซึ่งความทุกข์นั่นเอง  เช่นร่างกายของเรา เราก็ไม่สามารถรักษาให้สวยงาม ให้รูปร่างหน้าตาดีไปได้ตลอด  เพราะร่างกายก็ต้องค่อยๆเสื่อมลงไป ค่อยๆแก่ลงไป  และในที่สุดก็ต้องแตกสลายไป 

เวลาที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม เราก็เริ่มไม่สบายใจแล้ว  เช่นผมเริ่มขาว  หนังเริ่มเหี่ยวเริ่มย่น ก็เริ่มมีปมด้อยขึ้นมาแล้ว  เริ่มมีความกังวล มีความทุกข์แล้ว  เพราะเอาร่างกายเป็นจุดขาย  เรามีร่างกายสวยงาม จึงมีคนรักเรา ชอบเรา  แต่เมื่อร่างกายไม่สวยงามแล้ว   ก็จะต้องกลัวว่าคนที่เขาเคยรักเรา ชอบเรา ก็จะไม่ชอบเรา รักเราอีกต่อไป  เพราะไปฝากความสุขไว้กับสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง   สิ่งที่ต้องมีการเสื่อมไปเรื่อยๆนั่นเอง  ความสุขที่เคยมีก็จะกลายเป็นความทุกข์ในลำดับต่อไป   ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็ควรพยายามเปลี่ยนทิศทางการดำเนินชีวิตของเรา  แทนที่จะฝากความสุข ผูกความสุขของเราไว้กับบุคคล ไว้กับสิ่งของต่างๆ  เราควรจะฝากความสุขไว้กับความดี  อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้ มาทำบุญให้ทาน  รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม  กลับไปที่บ้านก็ปฏิบัติธรรมต่อ  ฝึกนั่งทำสมาธิ  ทำจิตใจให้สงบ แล้วก็เจริญปัญญา  ให้เห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งพาอาศัยให้ความสุขกับเราได้อย่างแท้จริง

มีสิ่งเดียวเท่านั้นคือความสุขภายในใจที่เราจะพึ่งได้  และความสุขนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่การทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม  ขอให้กระทำอย่างสม่ำเสมอ  ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับการรับประทานอาหาร  อย่าไปคิดว่าฟังธรรมในวันนี้ครั้งเดียว ทำบุญครั้งเดียว แล้วผลอันประเสริฐ อันเลิศ จะปรากฏขึ้นมา   เพราะการทำบุญทำทานก็เปรียบเหมือนกับการรับประทานอาหาร  เรารับประทานอาหารมื้อเดียว ร่างกายจะไม่เจริญเติบโตขึ้นมาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ในทันทีทันใด  แต่ต้องรับประทานอาหารไปทุกๆวัน  รับประทานไปเรื่อยๆ  ร่างกายก็จะค่อยๆเจริญเติบโต  ฉันใดการประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม  ทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม  ละเว้นการกระทำชั่วทั้งหลาย  ก็จะเป็นสิ่งที่จะค่อยๆสร้างความเจริญให้กับจิตใจของเรา  สร้างความสุขภายในใจของเราให้มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดก็จะเป็นจิตที่มีแต่ความสุขล้วนๆ  เช่นจิตของพระพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย  มีแต่ความสุขล้วนๆ  ท่านจึงเรียกสุขนี้ว่าบรมสุข  ปรมังสุขัง  เป็นสุขที่ไม่มีการพร่อง ไม่มีการหมด  เพราะเป็นสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม  ทำคุณงามความดี  เป็นสุขที่ไม่มีใครจะสามารถพรากจากใจเราไปได้  ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลา  หรือบุคคลต่างๆ  

ไม่เหมือนกับสมบัติภายนอก  ปล่อยทิ้งไว้ก็เสื่อมไปตามกาลตามเวลา เช่นเงินทอง ถ้ามีทิ้งไว้เฉยๆ  อีก ๑๐ หรือ ๒๐ ปีข้างหน้า  ค่าของเงินจะลดน้อยลงไป  สมัยก่อนมีเงิน ๑๐๐ บาท สามารถซื้อข้าวของอะไรได้มากมาย  แต่สมัยนี้เงิน ๑๐๐ บาท กลับไม่สามารถซื้อข้าวของได้มากเหมือนสมัยก่อน  นั่นก็เป็นเพราะความเสื่อมของค่าของเงิน ตามกาลตามเวลานั่นเอง  ส่วนเรื่องของคนก็เช่นกัน  คนก็ต้องแก่ ต้องตายไปในที่สุด   ความสุขที่ผูกไว้กับคนๆนั้นก็จะหมดไป  กลายเป็นความทุกข์ไป  จึงขอให้เห็นให้เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริง ต้องอยู่ภายในใจของเรา  เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำคุณงามความดี  อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้  จึงขอให้ท่านจงมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน   แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้