กัณฑ์ที่
๑๗๐
ชาร์จแบตเตอรี่
ต่อไปนี้จะแสดงพระธรรมเทศนา
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
ต่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ขณะที่ฟังก็ขอให้ตั้งสติให้มั่น
สงบกาย วาจา ใจ
เพื่อประโยชน์อันสูงสุดที่จะเกิดขึ้นจากการฟังเทศน์ฟังธรรมในครั้งนี้
ทุกๆวันพระเมื่อถึงเวลานั้น
ศรัทธาญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาแน่วแน่ต่อพระพุทธศาสนา
ก็จะมารวมตัวกันตามวัดต่างๆ
เพื่อประกอบศาสนกิจ
ที่พระบรมศาสดาได้ทรงประทานไว้กับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม
เพื่อประโยชน์และความสุขที่จะตามมาต่อไป
การเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการเข้ามาเติมพลังให้กับจิตใจ
เติมแสงสว่างให้กับจิตใจ
จิตใจนี้ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับหม้อแบตเตอรี่
ที่ใช้บรรจุไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ
เช่น ให้แสงสว่าง
หรือไปขับเคลื่อนเครื่องจักรชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้สามารถทำงานได้
แต่หลังจากที่ใช้งานไปสักระยะหนึ่ง
ไฟฟ้าที่บรรจุไว้ในหม้อแบตเตอรี่ก็จะต้องค่อยๆหมดไป
และในที่สุดก็จะไม่มีไฟฟ้าหลงเหลืออยู่เลย
ถ้าไม่นำไปบรรจุกระแสไฟเข้าไปใหม่
แบตเตอรี่ใบนั้นก็ไม่สามารถให้แสงสว่างหรือพลังงาน
ที่จะนำไปใช้ประโยชน์กับเครื่องจักรได้อีก
ฉันใดจิตใจของเราก็เป็นคล้ายๆกับหม้อแบตเตอรี่
ที่หลังจากได้เติมพลังด้วยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
ด้วยการปฏิบัติธรรม
ทำบุญทำทาน
รักษาศีลอย่างต่อเนื่องแล้ว
ก็เอาไปใช้งานในชีวิตประจำวัน
หลังจากใช้ไปสักระยะหนึ่งพลังจิตพลังใจก็จะเริ่มอ่อนลง
แสงสว่างแห่งธรรม
คือความเห็นชอบ ปัญญา
ความฉลาด
ก็จะค่อยๆอ่อนลงไปๆ แล้วความมืดบอด
ความหลง ความเห็นผิด
ก็จะค่อยๆคืบคลานเข้ามา
ถ้าไม่รีบเติมกระแสไฟฟ้าคือธรรมะ
เพื่อให้แสงสว่างกับดวงจิตดวงใจ
จิตใจก็จะต้องดำเนินชีวิตไปอย่างมืดบอด
ไม่มีแสงสว่าง ย่อมไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างหน้า
หรืออยู่รอบตัวได้
เลยไม่รู้ว่าสิ่งไหนเป็นอะไร
มีคุณมีโทษอย่างไร
ก็จะทำอะไรไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ผิดบ้างถูกบ้าง ผลที่ตามมาจึงเป็นความสุขบ้าง
ความทุกข์บ้าง เจริญบ้าง
เสื่อมบ้าง
ส่วนใหญ่ก็มักจะไปในทางที่ไม่ปรารถนากัน
คือไปสู่ทางแห่งความเสื่อมเสีย
ทางแห่งความทุกข์
แต่ถ้าได้หมั่นเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งก็สักครั้งหนึ่ง
เพื่อมาเติมพลัง
เติมแสงสว่างแห่งธรรมะ
ชีวิตของเราก็จะสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี
เพราะมีแสงสว่างนำทาง
แสงสว่างนี้ก็คือปัญญาหรือความเห็นที่ถูกต้องนั่นเอง
ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข
อะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์
เมื่อรู้แล้วว่าเหตุอันใดเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ
ก็ดำเนินไปตามเหตุนั้นๆ
ความสุขความเจริญซึ่งเป็นผลก็ย่อมเป็นสิ่งที่จะตามมาต่อไป
ถ้ารู้ว่าเหตุอันใดเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ความเสื่อมเสีย
ก็หลีกเลี่ยงเสีย
ไม่ไปกระทำเหตุนั้นๆ
ผลที่ไม่ปรารถนาคือความทุกข์ความเสื่อมเสียก็ย่อมไม่ปรากฏขึ้นมา
แต่ถ้าไม่มีแสงสว่าง
ขาดปัญญา สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
ก็จะเห็นผิดเป็นชอบได้
เห็นสุขเป็นทุกข์ได้
เห็นทุกข์เป็นสุขได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น
ก็จะไปคว้าสิ่งที่ไม่ปรารถนามาใส่ตัวทั้งๆที่ปรารถนาอีกสิ่งหนึ่ง
เพราะความมืดบอดของจิตใจ
ที่ไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ
ไม่เป็นคุณ เนื่องจากถูกอำนาจของความหลงครอบงำอยู่
ทำให้เห็นกลับตาลปัตรไป
เห็นเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ขึ้นมา
เช่นพวกอบายมุขทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการเสพสุรายาเมา
เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน
คบคนชั่วเป็นมิตร ความเกียจคร้าน
ล้วนเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียทั้งนั้น
แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ในสังคมในประเทศ
จึงยังมีความหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับสิ่งเหล่านี้
นั่นก็เป็นเพราะว่าใจของเขามืดบอด
ขาดแสงสว่างแห่งธรรม
คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวา ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เลยไม่รู้ ก็เลยเห็นผิดเป็นชอบ
เห็นว่าเป็นสิ่งที่ให้ความสุข
แต่หารู้ไม่ว่าเป็นความสุขที่มีโทษมหันต์ตามมา เวลาที่ได้เสพก็มีความสุข
แต่เมื่อเสพไปแล้วก็กลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นไป
ยามใดเวลาใดที่ไม่ได้เสพ
ก็จะเกิดความทุกข์ความทรมานขึ้นมา
และเมื่อได้เสพก็จะทำลายร่างกายและจิตใจของตน
เช่น
สุรายาเมาถ้าเสพไปเรื่อยๆ
ก็จะทำให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรม
อวัยวะต่างๆก็จะค่อยๆ
ถูกทำลายไป อายุก็จะสั้นลง โรคภัยก็จะเบียดเบียน
นอกจากเสียทางด้านสุขภาพแล้ว
ยังเสียเวลาอันมีค่า
แทนที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งที่เกิดคุณเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ก็ต้องมาเสียเวลาอยู่กับการเสพสุรา
เมื่อเสพไปแล้วเกิดอาการมึนเมา
ก็ไม่สามารถทำอะไรให้ปลอดภัยได้
ถ้าไปขับรถก็จะต้องไปประสบอุบัติเหตุ
ไปทำอะไร ไปคุยอะไรกับใคร
ก็จะต้องเกิดการทะเลาะวิวาท
ทำร้ายร่างกายกันและกัน
นี่เป็นผลเสียที่ตามมาจากการเสพสุรายาเมา
แต่ทำไมคนเราจึงไม่คิดถึงผลเสียกัน
คิดแต่ผลดี เวลานั่งดื่มก็ยกแก้วชนกัน
ยิ้มแย้มแจ่มใส
แสดงความดีอกดีใจ
ร้องไชโยโห่ฮิ้ว
ยังกับว่าจะขึ้นสวรรค์
ทั้งๆที่กำลังจะส่งตัวเองไปสู่นรก
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่คนไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ขาดปัญญา
จะไม่สามารถมองเห็นได้
เพราะถูกอำนาจของความมัวเมาครอบงำจิตใจ
และเมื่อติดสิ่งเหล่านี้แล้ว
จะเห็นว่ามีคุณมีประโยชน์
ถ้าไม่ได้เสพก็เหมือนกับคนที่ขาดลมหายใจ
จะตายเสียอย่างเดียว
ลองสังเกตดูคนที่ติดสุรามากๆ
ถ้าต้องงดดื่มสุรา
จะมีอาการทุรนทุราย
อย่างที่ชาวบ้านพูดกันว่าลงแดง
คือจะตายให้ได้
ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
นี่แหละคือพิษของอบายมุขทั้งหลาย
ถ้าเป็นคนไม่มีปัญญา
ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็จะไม่รู้ถึงภัย
เมื่อไม่รู้ก็จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้
เมื่อเกี่ยวข้องแล้วก็เป็นเหมือนกับปลาที่ไปติดเบ็ด
เมื่อติดเบ็ดแล้ว
ก็จะดิ้นออกจากเบ็ดนั้นยาก
เวลาจะเอาเบ็ดออกก็ต้องทรมาน
ฉันใดเวลาที่ติดอบายมุขแล้ว
เวลาจะเลิกอบายมุข ก็จะต้องทุรนทุราย
ทรมาน ทุกข์อย่างแสนสาหัส
แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อลองไปติดเข้าแล้ว
ก็ยากที่จะดิ้นให้หลุดจากบ่วงของมาร
คืออบายมุขนี้ได้
แต่ถ้าได้เข้าวัดเข้าวา
ได้ยินได้ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ
จะได้ยินถึงพิษภัยของอบายมุขทั้งหลาย
เมื่อได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ
แล้วนำไปพินิจพิจารณา
ดูตัวอย่างของผู้ที่ติดอบายมุข
ดูผลที่เกิดขึ้น
ก็จะทำให้เกิดความกลัว
เพราะรู้ว่าเมื่อทำอย่างนั้นก็จะต้องเป็นเหมือนกับเขา
เมื่อเป็นเหมือนกับเขา
ก็รู้ว่าเป็นสภาพที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
ก็จะไม่กล้าทำ นี่คืออานิสงส์ผลบุญที่เกิดขึ้น
เวลามาวัดแล้วได้ยินได้ฟังธรรม
ได้แสงสว่าง สามารถเห็นเหตุและผลของการกระทำต่างๆ
ทั้งเหตุที่ดีและเหตุที่ไม่ดี
เหตุที่ดีก็นำไปปฏิบัติต่อไป
เช่นการไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำทุกๆวัน
ทุกเช้าทุกเย็น
เป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการเติมแสงสว่างให้กับจิตใจ
ตอนเช้าก่อนที่จะออกไปข้างนอกทำมาหากิน
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว
ล้างหน้าล้างตา
ทำธุระอะไรเสร็จ
ก็ไหว้พระสวดมนต์สักระยะหนึ่ง
เสร็จแล้วก็ทำจิตให้สงบ
บำเพ็ญภาวนา
เจริญสมาธิและปัญญา
ถ้ากระทำอย่างนี้แล้ว
จิตใจจะอยู่ในสภาพที่พร้อมจะออกไปเผชิญกับสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน
เปรียบเหมือนกับการเตรียมสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนที่จะออกจากบ้าน
ดูว่าน้ำเติมหรือยัง
น้ำมันมีหรือยัง
ลมมีอยู่ในยางหรือเปล่า
ถ้าทุกอย่างพร้อมก็ขับรถออกไป
รถก็จะพาไปยังสถานที่ต่างๆที่ต้องการไป
โดยไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าไม่ตรวจเตรียมสภาพรถยนต์ไว้
ไม่รู้ว่าน้ำมันมีอยู่ในถังมากน้อยเท่าไร
ไม่รู้ว่าน้ำในหม้อน้ำมีมากน้อยเพียงไร
ถ้าหม้อน้ำเกิดรั่วขึ้นมา
ขับไปสักประเดี๋ยว
เครื่องก็จะร้อน
แล้วก็จะไหม้เสียไปในที่สุด
นี่ก็เกิดขึ้นเพราะไม่ได้เตรียมรถยนต์ไว้ให้พร้อมกับการใช้งาน
จิตใจก็เหมือนกัน
ทุกๆวันเวลาออกไปทำภารกิจการงานต่างๆ
เราก็เอาจิตใจไปใช้งานใช้การ
ถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมสภาพของจิตใจให้พร้อม
วันที่ออกไปวันนั้นจิตใจก็อาจจะว้าวุ่นขุ่นมัว
มีเรื่องมีราวมีปัญหาต่างๆ
ก็ไม่รู้จักแก้
มีแต่ความวุ่นวายใจ
แต่ถ้าก่อนออกจากบ้านได้เตรียมจิตเตรียมใจไว้
ให้พลังให้อาหารกับจิตใจ
ด้วยการไหว้พระสวดมนต์
นั่งทำสมาธิให้จิตสงบสักระยะหนึ่ง
เมื่อจิตมีความสงบแล้วจิตจะมีความอิ่ม
มีความสงบ มีปีติ
หลังจากนั้นก็ให้เจริญธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน
คือการเตือนตนให้รู้ว่า เมื่อเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา
ย่อมมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา
ย่อมมีการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวงเป็นธรรมดา
เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น
เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน
ใครก็ตามที่มาเกิดในโลกนี้แล้ว
จะต้องเจอกับสภาพเหล่านี้
ถ้าเจริญธรรมบทนี้แล้ว
ก็จะมีอาวุธไว้ป้องกันตัว
เพราะเมื่อไปเจอในสิ่งที่ไม่คาดฝัน
แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น
อยู่ๆอาจจะไปประสบอุบัติเหตุ
ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
หรือไปสู่ความตายเลย
ก็จะไม่เสียหลัก
ถ้าได้เจริญธรรมบทนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
จะไม่เสียหลัก จิตใจจะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัว
เพราะรู้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นธรรมดา
ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้รับกับเหตุการณ์นั้นๆแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น
ก็จะไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันเวลาออกไปทำมาหากิน
ก็จะไม่หลงจนเกินไป คือรู้ว่าที่ออกไปทำมาหากินนี้
ก็เพื่อไปหาปัจจัย ๔
มาดูแลรักษาชีวิตของตนให้อยู่ไปวันๆหนึ่ง
เพื่อจะได้ประกอบคุณงามความดี
สะสมบุญบารมี
ที่จะเป็นเหตุนำให้ไปสู่การสิ้นทุกข์ในลำดับต่อไปเท่านั้นเอง
ไม่ได้อยู่เพื่อสะสมเงินทองทรัพย์สมบัติ
ให้มากมายก่ายกอง จนใช้ไปอีก
๑๐ ชาติก็ใช้ไม่หมด
ไม่ทราบว่าจะสะสมไปทำอะไร
เวลาตายไปก็เอาไปไม่ได้เลยแม้แต่บาทเดียว
นี่เป็นลักษณะของคนที่ไม่มีปัญญา
ไม่ได้เจริญธรรมบทที่สอนว่า
คนเราเกิดมาแล้วต้องแก่
ต้องเจ็บ ต้องตาย
ต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง
ก็เลยมัวหลงอยู่กับการสะสมวัตถุข้าวของสมบัติต่างๆ
ในขณะที่ออกไปแสวงหา
ก็มีอาการเคร่งเครียด
เพราะความอยากมาก ความโลภมาก
เมื่อมีความโลภความอยากอยู่มาก
ก็ต้องพยายามหามาให้ได้ตามความปรารถนา
ถ้าไปเจออุปสรรคหรือไปเจอปัญหา
ก็จะเกิดอาการเครียด
เกิดความทุกข์ขึ้นมา
เกิดความโกรธ ความแค้น
ความอาฆาตพยาบาท
นำไปสู่การต่อสู้จองเวรจองกรรมกัน
นี่ก็เป็นเพราะไม่เคยคิดเลยว่า
วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้
ออกไปทำมาหากินในวันนี้
อาจจะไม่ได้กลับบ้านก็ได้
ถ้าเตือนสติว่าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ความโลภความอยากจะเบาบางลงไปเยอะ
แต่ก็ยังต้องทำภารกิจต่อไป
เพราะยังต้องดูแลรักษาอัตภาพร่างกายของตนและของคนที่เกี่ยวข้องด้วย
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
เมื่อเกิดมาแล้ว
ก็ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ควรจะรู้จักขอบเขต
ว่าทำไปเพื่ออะไร
ควรจะหามามากน้อยเพียงไร
ไม่ใช่ปล่อยให้ความโลภ
ความอยากหลอกให้ไปหามา
และสิ่งที่หามาก็ไม่เป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
กลับเป็นโทษเสียมากกว่า
แต่ก็ไม่รู้เพราะขาดปัญญา
ขาดความเห็นชอบ เพราะไม่ได้เข้าวัดเข้าวา
ไม่ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ
จึงมองเห็นว่าทรัพย์สมบัติเงินทอง
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทั้งหลายเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
เป็นสิ่งที่ควรสะสมให้มีมากๆ
แต่หารู้ไม่ว่าลาภ ยศ
สรรเสริญ สุขนี้
ในสายตาของผู้มีปัญญา มีแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว
จะรู้ว่าเป็นทุกข์
ไม่ใช่เป็นสุข
เพราะโดยธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้
มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่
แต่คนที่ไม่มีปัญญาจะมองไม่เห็น
เหมือนกับคนที่มองเหรียญเพียงด้านเดียว
เพราะคิดว่าเหรียญทั้ง ๒
ด้านเหมือนกัน เห็นด้านนี้ก็คิดว่าอีกด้านก็จะเป็นเหมือนกัน นี่คือลักษณะของคนที่มองเหรียญเพียงด้านเดียว
แต่ถ้าเป็นคนฉลาด
ก็จะพลิกเหรียญกลับขึ้นมาดู
ว่าด้านนี้กับด้านโน้นเหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าพลิกเหรียญดู
ก็จะรู้ว่ามีอยู่ ๒ ด้าน
มีหัวมีก้อย ฉันใดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็เป็นเหมือนกับเหรียญ
มีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย
ถ้ามองแต่ส่วนดีส่วนเดียว
ก็จะเห็นผิดเป็นชอบไปได้
เพราะเมื่อผลเสียปรากฏขึ้นมา
จะทำใจไม่ได้
จะต้องมีแต่ความทุกข์
เช่นสิ่งของต่างๆ
ไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญ
สุข พิจารณาดู
ก็จะรู้ว่าเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน
หามาได้วันนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาให้อยู่ไปได้นานสักเท่าไร
พรุ่งนี้จะมีใหม่มาเพิ่มหรือไม่ก็ไม่รู้
แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามีแล้วดี
มีแล้วจะต้องอยู่กับเราไปนานๆ
ก็เลยพยายามหากันไป
เมื่อหามาได้มากก็ทำตนเองให้เป็นคนพิการไป ด้วยการใช้สิ่งเหล่านี้มาให้ความสุขกับตนเอง
ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้เวลาที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้
ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เลย
แต่เพราะความหลง
เห็นคนอื่นเขามีเงินทอง
มีทรัพย์สมบัติข้าวของมากมาย
ก็คิดว่าเขามีความสุข
ก็เลยพยายามไปหามา
เมื่อหามาได้แล้วก็ต้องเอาเงินเหล่านี้ไปใช้สอย เมื่อใช้ไปก็เกิดการติดพันกับการใช้เงินใช้ทอง
วันไหนถ้าเงินทองเกิดขาดมือไป
ก็จะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
แทนที่จะปรับตนเองให้อยู่กับฐานะของตน
ก็ไม่ยอมเสียแล้ว
ต้องดิ้นรนหาเงินมาใช้อีก
ถ้าฉลาดก็จะใช้เงินให้เกิดประโยชน์
ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตก็มีแค่ปัจจัย
๔ ถ้ามีปัจจัย
๔ ก็พอแล้ว
เงินทองที่เกินไปกว่านั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าใช้ไม่เป็น
ก็จะเกิดโทษ เช่นเอาไปซื้อของฟุ่มเฟือยมาใช้
ก็จะติดนิสัย จะซื้อของอะไรก็ต้องซื้อของแพงๆ
ซื้อของฟุ่มเฟือย
ทำให้เงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก
ก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมดไปก็ต้องออกไปหามาใหม่
ก็เลยทำให้ชีวิตมีแต่ความดิ้นรนแสวงหาเงินหาทอง
เมื่อไม่ได้มาดังใจ
ก็เกิดความวุ่นวายใจ
เกิดความโกรธ เกิดความแค้น
เกิดความอาฆาตพยาบาท
ทำให้ต้องไปทำในสิ่งที่จะต้องเสียใจต่อไป
เช่นไปทำร้ายผู้อื่น
ไปกล่าวร้ายผู้อื่นเป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากจิตใจที่ขาดแสงสว่างนั่นเอง เมื่อไม่มีแสงสว่าง
ก็ทำให้เกิดความโลภ ความอยาก
เมื่อไม่ได้ตามความโลภความอยาก
ก็เกิดความโกรธ ความแค้น
อาฆาตพยาบาท จองเวรจองกรรม
สร้างเวรสร้างกรรมให้ต่อกันและกัน
ชีวิตก็เลยต้องดำเนินไปกับความวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น
แต่ถ้ามีแสงสว่างแห่งธรรม
อย่างที่พระบรมศาสดาทรงสอนให้เจริญทุกๆวัน
ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน
เตือนตนสักหน่อยว่า วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเรานะ
ที่ออกไปนี้ก็เพียงแต่ไปทำมาหากิน
เพื่อมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ให้ชีวิตได้อยู่ต่อไป
จะได้ทำคุณทำประโยชน์
ปฏิบัติธรรมรักษาศีล
สะสมบุญบารมี
อันเป็นเหตุที่จะพัฒนาจิตใจ
ชำระขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ต่อไป
ถ้าได้ทำอย่างนี้แล้ว
ชีวิตในแต่ละวันจะไม่วุ่นวาย
ออกไปหากินตามปกติ แต่จะไม่ผ่าไฟแดง
คือจะไม่ทำบาปทำกรรม
ถ้าหามาได้ด้วยความสุจริต
ก็หามา ถ้าไม่ได้ก็ไม่หาด้วยการทุจริต
ต้องเบรกตัวเอง
ทุกครั้งที่จะทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม
จะเบรกได้ ถ้ารู้ว่าชีวิตมีขอบมีเขต
ไม่ตายวันนี้ก็จะต้องตายพรุ่งนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความโลภ
ความอยากต่างๆ
จะไม่มีอำนาจฉุดลากให้ไปกระทำในสิ่งที่จะต้องเสียใจภายหลัง
เมื่อเป็นเช่นนั้นชีวิตในแต่ละวันก็จะดำเนินไปได้ด้วยความราบรื่นดีงาม
ได้เท่าไรก็ยินดีกับสิ่งที่ได้มาในวันนั้น ถ้าไม่ได้เลยหรือจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
ก็จะไม่เสียอกเสียใจ
เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องปกติของโลก
มีมาก็ต้องมีไป
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ในโลกนี้ไป
แต่สิ่งที่จะไม่จากไป
ที่จะติดตัวไปก็คือแสงสว่างแห่งธรรม
คือปัญญานี้เอง
ถ้ามีแสงสว่างแห่งธรรมก็จะนำพาไปสู่สุคติ
จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์
เป็นเทพ เป็นพรหมอีก
เพื่อจะได้ประกอบคุณงามความดี
สะสมแสงสว่างแห่งธรรมให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป
จนกลายเป็นแสงสว่างที่มีอยู่ในใจตลอดเวลา
เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มีอยู่ในใจของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระอรหันตสาวกทั้งหลาย
ซึ่งในแต่ละภพแต่ละชาติท่านก็ไม่ได้ทำอะไร
นอกจากสะสมแต่แสงสว่างแห่งธรรมนี้
ด้วยการประกอบคุณงามความดี
เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้
มีการทำบุญทำทาน รักษาศีล
ฟังเทศน์ฟังธรรม
และเมื่อกลับไปที่บ้านก็นำไปปฏิบัติต่อ
เช้าเย็นก็มีการไหว้พระสวดมนต์
ทำจิตให้สงบ
พิจารณาธรรมอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าทำอย่างนี้แล้วแสดงว่าได้ชาร์จแบตเตอรี่ทุกวัน
เหมือนกับที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ
ถ้าวันไหนไม่ได้รับการชาร์จแบตเตอรี่
รับรองได้ว่าวันนั้นคงจะไม่ได้ใช้โทรศัพท์
คนมีโทรศัพท์มือถือจึงต้องชาร์จแบตเตอรี่อยู่เสมอๆ
เพราะโทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อชีวิต
จะทำมาหากินติดต่อการค้ากับใคร
ติดต่อธุระกับใคร
ก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือนี้
ถ้าเกิดไฟแบตเตอรี่หมดก็ไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้
วันนั้นชีวิตก็จะรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่าง
เช่นเดียวกับผู้ที่เคยไหว้พระสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
ทุกเช้าทุกเย็น
วันไหนถ้าตื่นสายไม่มีเวลาพอ
ที่จะไหว้พระสวดมนต์
ทำกิจวัตรประจำวันได้ เวลาออกไปจากบ้านในวันนั้นจะมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
รู้สึกว่าขาดเครื่องไม้เครื่องมือสักอย่างหนึ่งไป
ทำอะไรก็จะรู้สึกว่าขัดข้องไปเสียหมด
ดังนั้นจึงขอให้เห็นความสำคัญ
ในการอัดพลังแสงสว่างแห่งธรรม
ให้กับจิตใจ เหมือนกับการให้ความสำคัญต่อการชาร์จแบตเตอรี่ของเครื่องโทรศัพท์มือถือ
ถ้าทำทั้ง ๒ อย่าง ก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือครบบริบูรณ์ คือมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้กับจิตใจ
และก็มีเครื่องไม้เครื่องมือไว้สำหรับสื่อสารติดต่อกับบุคคลต่างๆที่ต้องทำธุรกิจด้วย
ถ้ามีทุกอย่างพร้อมชีวิตในวันนั้นก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี
มีแต่ความสงบ ความเย็น
ความสบาย แม้จะต้องไปประสบกับปัญหาต่างๆมากมายก่ายกองขนาดไหน
ถ้ามีมรณานุสติอยู่กับใจ
จะไม่กังวลกับปัญหาต่างๆเลย
เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วปัญหากับเราก็ต้องจากกันอยู่ดี
ถ้าเราตายก่อน
ปัญหานั้นก็หมดไปโดยปริยาย
ถ้าแก้ได้ ปัญหาก็หมดไป
ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้
ถ้าแก้ไม่ได้
ก็ปล่อยไว้เฉยๆ
จะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป
อะไรจะเกิดก็เกิด เพราะอย่างมากก็แค่ตายเท่านั้นเอง
เมื่อตายแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่กับตัว
ก็หมดไปเหมือนกัน
นี่คือสิ่งที่จะได้จากการหมั่นชาร์จแบตเตอรี่ของจิตใจอย่างสม่ำเสมอ
จะมีแต่ความสุข ความเย็นใจ
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งหนตำบลใด
จิตใจจะไม่มีความว้าวุ่นขุ่นมัว
จะอยู่ในสภาพสันโดษ
ยินดีตามมีตามเกิด
ได้ก็ได้
ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เสียก็ไม่เสียใจ
เพราะพร้อมที่จะเสียอยู่แล้ว
เพราะรู้อยู่ว่าเวลามาก็มาตัวเปล่าๆ
ไม่ได้เอาสมบัติชิ้นใดมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เวลาไปก็ไม่ได้เอาสมบัติไปแม้แต่ชิ้นเดียว
สิ่งที่จะเอาไปกับตัวก็คือความสงบหรือความว้าวุ่นเท่านั้นเอง
ถ้าเอาความสงบไปก็ไปด้วยความสุข
ไปด้วยความเจริญ
ไปด้วยความสว่าง
ถ้าเอาความว้าวุ่นขุ่นมัวไป
ก็ไปด้วยความทุกข์
ไปด้วยความมืด ภพชาติที่จะตามมาก็ต่างกัน
ไปด้วยความสว่างก็ไปสู่สุคติ
ไปด้วยความมืดก็ไปสู่ทุคติ
นี่แหละคือเรื่องราวของชีวิตของพวกเรา
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้