กัณฑ์ที่ ๒๐๑    ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๗

ชีวิตมีไว้ทำความดี

 

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนเราทุกๆคนเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายไปด้วยกันทั้งสิ้น ต่างกันตรงที่จะตายก่อนตายหลังเท่านั้นเอง บางคนมีอายุยืนยาวนาน บางคนอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาย บางคนอยู่ได้ถึงร้อยปีก็มี แต่ในทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่า การมีอายุสั้นหรือมีอายุยืนเป็นเรื่องสำคัญ  สำคัญอยู่ว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ ได้ทำอะไรกับชีวิตของตน ถ้าอยู่ ๑๐๐ ปีแต่ไม่ได้ทำความดีเลย ก็เปล่าประโยชน์ อยู่ไปเปล่าๆ  ถ้าอยู่เพียงวันเดียวแต่ได้ทำคุณงามความดี อย่างนี้ถือว่าดี เพราะได้กำไรนั่นเอง การทำความดีนี้เรียกว่าเป็นการสร้างผลกำไรให้กับตน ส่วนการทำบาปทำกรรมเป็นการสร้างหนี้สร้างสิน คนที่ไม่ทำบาปทำกรรมไม่ทำบุญ ก็เป็นคนที่ไม่ได้และไม่เสีย

คนเราจึงควรทำความดีไว้  เพราะความดีเป็นเหตุของความสุขและความเจริญ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่จะตามมา ชีวิตของเราไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะเมื่อความตายมาถึงแล้ว จิตที่อยู่กับร่างกายก็ต้องเดินทางต่อไป จิตจะไปดีกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม ก็อยู่กับบุญกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าได้สะสมความดีไว้ ไปข้างหน้าชีวิตก็จะดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าสะสมบาปกรรมไว้ชีวิตก็จะแย่ลง และตราบใดที่ยังไม่ได้สะสมบุญบารมีถึงขั้นสูงสุดแล้ว ชีวิตก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ เราจึงต้องพยายามสร้างความดี ทำความดีอยู่เสมอ วันๆหนึ่งไม่ควรปล่อยให้เวลาอันมีค่าผ่านไป โดยไม่ทำความดีเลย เพราะความดีมีคุณ ไม่มีโทษ อย่าปล่อยให้เวลาหมดไปกับการกระทำที่ไม่เป็นคุณ ไม่เป็นประโยชน์ เพราะชีวิตมีแต่จะหดลงไปเรื่อยๆ  วันเวลาจะค่อยๆกลืนกินชีวิตไป ถ้าไม่รีบตักตวงทำความดีแล้ว ไปข้างหน้าก็จะลำบากลำบน

การเกิดของพวกเราที่ถือว่าดี ก็เป็นเพราะในอดีตเราได้เคยทำความดีมา จึงทำให้เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แทนที่จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ได้มาเกิดมีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะไม่ได้ไปทำบาปทำกรรมไว้ ได้มาเกิดมีรูปร่างหน้าตาสวยงามเพราะได้ทำบุญทำทานมา ได้มาเกิดมีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะได้ปฏิบัติธรรมมาในอดีต นี่เป็นเหตุที่ทำให้ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างนี้  และถ้าหมั่นทำต่อไป ภพหน้าชาติหน้าก็จะดีขึ้นกว่าเดิมตามลำดับ  รูปร่างหน้าตาก็จะดีขึ้นกว่าเดิม สติปัญญาความรู้ความฉลาดก็จะมีมากขึ้นกว่าเดิม ภพชาติก็จะมีน้อยลงไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็จะไม่มีหลงเหลืออยู่เลย  เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ก็แสดงว่าได้ถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ได้ถึงจุดที่มีแต่ความสุขล้วนๆ ที่เรียกว่าปรมังสุขัง ได้หลุดพ้นแล้วจากความทุกข์ทั้งหลาย ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด  นี่คือสิ่งที่ความดีจะมอบให้กับเรา

แต่ถ้าไม่สนใจทำความดี มัวแต่หาความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่มีอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กับการแสวงหาตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ  แสวงหาความสรรเสริญเยินยอ หาทรัพย์สินเงินทอง ก็จะมีแต่ความสุขแบบสุกเอาเผากิน  สุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่เมื่อจะต้องไปเผชิญกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งต่างๆแล้ว จิตใจก็จะมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจ มีความทุกข์ มีความวุ่นวายใจ แต่ถ้าหมั่นทำความดีตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ดังที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันอย่างต่อเนื่องทุกๆวันพระก็ดี หรือวันเสาร์วันอาทิตย์ก็ดี ท่านจะมีภูมิต้านทานความทุกข์ทั้งหลาย ที่จะโหมกระหน่ำใส่จิตใจ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน  เมื่อมีภูมิคุ้มกันแล้ว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาแก่ลงไป เวลาตายไป เวลาพลัดพรากจากสิ่งต่างๆไป จิตใจจะมีที่ยึดที่เกาะ มีความแน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว

นี่แหละทำไมเราจึงต้องมาทำความดีกัน เพราะเราทุกคนปรารถนาความสุขความเจริญ ไม่มีใครต้องการความทุกข์ความวุ่นวายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ ไม่ควรปล่อยให้เวลาอันมีค่านี้ผ่านไป โดยไม่ได้สะสมคุณงามความดี เหมือนกับคนที่รู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเตรียมหยูกเตรียมยาไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเวลามีความเจ็บไข้ได้ป่วย ก็สามารถหยิบยาขึ้นมารับประทานได้ทันทีโรคภัยก็จะไม่รุมเร้า จะหายขาดจากร่างกายไป แต่ถ้าไม่เตรียมหยูกเตรียมยาไว้  ก็ต้องถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน สร้างความทุกข์ ความปวดร้าวให้กับชีวิต เราจึงต้องหมั่นทำบุญทำทาน หมั่นรักษาศีล หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรม หมั่นปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เจริญปัญญาวิปัสสนาอยู่เสมอ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ว่า ล้วนเป็นของไม่เที่ยงทั้งสิ้น ล้วนเป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด ไม่เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา สักวันหนึ่งก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป สิ่งที่จะเอาติดตัวไปได้ก็คือบุญกุศล ที่จะทำให้เรามีความสุข มีความมั่นคง ไม่มีความหวั่นไหว ถ้าไม่ได้สะสมบุญ สะสมแต่บาปแต่กรรม เวลาไปก็จะไปด้วยความร้อนรน ไปด้วยความว้าวุ่นขุ่นมัว ไปด้วยความหวาดกลัว

เกิดมาควรรู้ว่าหน้าที่ที่แท้จริงของเราคืออะไรกันแน่ จริงอยู่คนเราต้องทำมาหากิน หาเงินหาทอง แต่หามาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงชีวิต อย่าหาเงินหาทองมาเลี้ยงกิเลสตัณหาความอยากต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ต่อการสร้างบุญสร้างกุศล  อย่าไปเลี้ยงกิเลสตัณหา เช่นอยากจะมีเงินทองไว้เยอะๆ เพื่อจะได้ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ เพื่อจะได้มีรถราคาแพงๆ เพื่อจะได้มีข้าวของต่างๆ ราคาแพงๆไว้ใช้ไว้เก็บ มีเพชรนิลจินดาเอาไว้ใส่ เอาไว้โชว์คนอื่น เหล่านี้ไม่ใช่เป็นสมบัติที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของจิตใจ มีมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะสร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจให้มีมากขึ้นไปเท่านั้น ไม่ได้สร้างความสงบความสุข ความมั่นคงให้แก่จิตใจเลย แต่จะคอยสร้างความหวาดความกลัวอยู่เสมอ กลัวว่าสักวันหนึ่งสิ่งต่างๆที่ได้สะสมไว้ จะต้องสูญเสียไป จะต้องหมดไป จะต้องจากกันไป

การทำงานทำการเป็นหน้าที่ของเรา แต่ทำเพื่อดูแลร่างกายและจิตใจ ร่างกายก็ให้มีปัจจัย ๔ คืออาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่มให้พอเพียง ไม่จำเป็นต้องเป็นของที่มีราคาแพงๆ มีไว้เท่าที่จำเป็น แล้วก็ไม่ต้องให้หรูหราจนเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้เขามีหน้าที่ของเขา จะถูกหรือจะแพงเขาก็ทำหน้าที่ของเขาได้เหมือนกัน บ้านสิบล้านกับบ้านหนึ่งแสนบาท ก็หลบแดดหลบฝนได้เหมือนกัน อาหารมื้อละ ๕๐ บาทกับอาหารมื้อละ ๕๐๐ บาท ก็อิ่มเหมือนกัน เสื้อผ้าชุดละ ๒๐๐ กับชุดละ ๒,๐๐๐ หรือ ๒๐,๐๐๐ ก็ใส่ปกปิดร่างกายได้เหมือนกัน ยารักษาโรคก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้ากินแล้วหายจากโรค จะถูกหรือจะแพง ก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่โรคภัยไข้เจ็บหายหรือไม่ ถ้าหายก็ใช้ได้แล้ว นี่คือส่วนของร่างกายที่ต้องดูแล

อีกส่วนหนึ่งที่จะต้องดูแลก็คือจิตใจ ด้วยการทำความดี ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม ขัดเกลาจิตใจอยู่เสมอ ชำระกิเลสตัณหา ความโลภความโกรธความหลงความอยากทั้งหลายให้หมดสิ้นไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุที่จะสร้างความทุกข์ สร้างความวุ่นวายให้กับใจอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ภพชาติที่จะตามมาก็เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ กิเลสตัณหาทั้งหลายเท่านั้น ที่เป็นต้นเหตุของการเกิด ถ้าได้ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน กิเลสตัณหาต่างๆก็จะค่อยๆหมดไป ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับสิ่งสกปรกที่ชำระด้วยน้ำนั่นแหละ ค่อยๆชำระไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เช่นศาลาหลังนี้ถ้าอยู่คนเดียว ต้องทำความสะอาด ก็ค่อยๆกวาดค่อยๆถูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็สะอาด สะอาดจากความพากเพียร ที่พยายามทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ท้อแท้ ไม่บ่นและไม่มองไปมากกว่าขอบเขตที่กำลังทำอยู่ อย่าไปมองว่าโอ้โฮกว่าจะไปถึงนิพพานได้ มันไม่ไหวแล้ว มันเกินความสามารถของเรา ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว จะเกิดความท้อแท้ แล้วจะไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติเหมือนกับคนที่เดินทาง ถ้าต้องเดินทางสัก ๕ กิโล ๑๐ กิโล พอมองระยะทางก็จะรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน คงจะเดินไม่ไหว แต่ถ้าบอกว่าเราเดินไปทีละก้าวก็พอ เอาแค่นี้แหละ ขอให้ได้ก้าวไปทีละก้าว เดินไปเรื่อยๆทีละก้าว ก้าวหนึ่งมันไม่ยากหรอก ถ้าเดินไปทีละก้าว ในที่สุดก็จะไปถึง ๕ กิโล  ๑๐ กิโล ของมันเอง

ฉันใดมรรคผลนิพพานอันประเสริฐเลิศโลกนั้น ถึงแม้จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับพวกเราก็ตาม แต่มันก็เกิดจากการกระทำวันต่อวันนั่นแหละ วันๆหนึ่งถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ทุกวันถ้าได้ทำบุญใส่บาตร ทุกวันถ้าได้รักษาศีล ทุกวันถ้าได้ไหว้พระสวดมนต์ ได้นั่งทำสมาธิ ได้ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆสะสมขึ้นไปเอง จนถึงจุดที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกได้ไปถึง ก็คือพระนิพพาน แดนแห่งความเกษมสำราญ แดนแห่งบรมสุข แดนแห่งการสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด มันไม่เป็นสิ่งสุดวิสัยของพวกเราเลย ถ้าสุดวิสัยแล้วพระพุทธเจ้าจะไม่เสียเวลามาประกาศธรรมสอนพวกเรา เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า พวกเรากับพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าโดยอัตโนมัติ พระพุทธเจ้าเกิดมาก็เป็นปุถุชนเหมือนเรา มีกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในใจเหมือนๆกันทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ก็เพราะมีวิริยะ ความพากเพียรที่จะทำแต่ความดี ละการกระทำความชั่วทั้งหลาย มีความขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลา ชำระกิเลสตัณหา  ความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลาย ให้ออกไปจากจิตจากใจนั้นเอง จนกลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

พวกเราก็เหมือนกับพระพุทธเจ้า คือได้เกิดเหมือนกับพระพุทธเจ้า มีอาการ ๓๒ ครบบริบูรณ์เหมือนกับพระพุทธเจ้า  แต่กลับโชคดีกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก ตรงที่มีคนสั่งสอน มีคนคอยชี้ทาง คอยบอกว่าควรจะไปทางไหน พระพุทธเจ้าทรงลำบากกว่าพวกเรามาก เพราะไม่มีใครสอน ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามาประสูตินั้น ไม่มีพระพุทธศาสนาหลงเหลืออยู่แล้ว จึงไม่มีใครรู้เรื่องของการดับทุกข์ การตัดภพตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าจึงต้องลำบากลำบนมากกว่าพวกเราอีก เป็นร้อยๆเท่า พันๆเท่า แต่ก็ไม่ทรงท้อแท้ ถ้าเป็นกับการเดินทาง พระพุทธเจ้าก็ต้องเดินทางไกลกว่าเราเป็นร้อยเป็นพันเท่า เราเดินทางใกล้นิดเดียว เพราะมีแผนที่ ไม่ต้องวกไปเวียนมา ไม่ต้องหลงไปผิดทางเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าต้องหลงไป เรามีคนเขียนแผนที่บอกเราแล้วว่า จากที่นี่ไปถึงที่นั่นไปอย่างไร ทางตรงเป๊ะเลย ไปอย่างนี้  ไปทางนี้เถิด แล้วเดี๋ยวเดียวก็ถึง แล้วก็ง่ายด้วยไม่ยากไม่ลำบาก

การที่จะไปถึงหรือไม่ถึงนั้น อยู่ที่ตัวเรา ว่ามศรัทธาความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือไม่ มีวิริยะความขยันหมั่นเพียร ที่จะดำเนินตามแนวทาง ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือไม่ มีขันติความอดทนอดกลั้นหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว แต่ไม่เอาออกมาใช้เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เราจะใช้ไปกับสิ่งที่ผิด เราจะมีความขยันถ้าไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ถูกใจเรา เช่นเวลาโกรธใคร เกลียดใคร เราจะมีความขยันหมั่นเพียรที่จะทำลายล้างเขาให้ได้ นี่แสดงว่าเรามีความพากเพียร มีความอดทน เราจะรอจ้องทำร้ายเขาจนกว่าจะได้ทำร้ายเขา  แต่เรามีความขยัน มีความอดทน ไปในทางของกิเลส ของตัณหาเท่านั้นเอง แทนที่จะเอาความขยันความอดทนมาใช้ในทางที่ถูกที่ดี ในทางที่จะนำพาไปสู่ความสุขและความเจริญ แต่กลับไม่ใช้กันเท่านั้นเอง

แต่วันนี้เราโชคดีที่ได้มาเกิด ในขณะที่ยังมีพระพุทธศาสนาหลงเหลืออยู่ในโลก มีการสอนมีการปฏิบัติธรรม มีผู้นำพา มีเพื่อนที่คอยจะชวน คอยจะดึงให้ไปในทิศทางที่ดี จึงไม่ควรปล่อยโอกาสอันดีงามนี้ให้ผ่านไป อย่าไปหลงกับการสะสมทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง สะสมความสุขทางโลกนี้มากจนเกินไป หามาเท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว เพื่อจะได้มีเวลามากๆเอาไว้ทำบุญทำทาน รักษาศีลปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากัน จะดีเสียกว่า เพราะนี่เป็นทรัพย์สมบัติที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นมาภายในใจของเรา เป็นทรัพย์ที่จะทำให้เรากลายเป็นมหาเศรษฐี เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลายได้กลายเป็นเศรษฐีกัน ท่านเป็นเศรษฐีธรรม  ซึ่งมีความสุขมากกว่าเศรษฐีทางโลกทางเงิน ซึ่งมีความสุขก็ชั่วขณะที่ได้เอาเงินไปใช้เท่านั้นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องกลายเป็นทาสของเงิน ต้องอาศัยเงินเป็นผู้ให้ความสุข ถ้าวันไหนไม่มีเงินไม่มีทอง วันนั้นก็จะมีแต่ความทุกข์ เวลามีเงินก็ต้องคอยดูแลรักษา มีความกังวล กลัวจะสูญหายไป กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาอีก

เศรษฐีเงินจึงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  แต่เศรษฐีธรรมนี้เป็นความสุขที่แท้จริง เพราะเมื่อมีธรรมแล้ว กิเลสตัณหา ความโลภความอยากทั้งหลาย ก็จะไม่มีอยู่ในใจ เมื่อไม่มีความโลภ ความอยาก ความอิ่มความพอ ก็จะปรากฏขึ้นมา อยู่เฉยๆก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครจะมาแย่งความสุขในใจของตนไป ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครมาขโมยธรรมะที่มีอยู่ในใจไป เพราะเป็นสมบัติที่อยู่ภายใน ไม่ได้อยู่ภายนอก  ไม่มีใครจะมาฉุดกระชากลากไปจากใจได้ เป็นสมบัติที่แท้จริง และไปกับเราด้วยเมื่อตายไป อยู่กับใจ ใจไปที่ไหนธรรมะก็จะไปกับใจ ไม่เหมือนกับสมบัติข้าวของเงินทองทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ มันเป็นของโลกนี้ เราเพียงยืมมาใช้ เมื่อตายไปก็ต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับโลกนี้ไป ใครจะเอาไปก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามเขาได้ เวลาเราตายไปแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิแล้ว กลายเป็นคนขอทานไปก็ว่าได้  เพราะไม่มีสมบัติข้าวของเงินทองหลงเหลืออยู่เลย

แต่ถ้าได้สะสมบุญกุศลไว้ ได้สะสมธรรมะไว้ นี่แหละคือทรัพย์ที่แท้จริง เราจะเป็นเศรษฐีทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่ และในขณะที่ตายไป ถ้ายังไม่ถึงการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติที่รออยู่ข้างหน้าก็จะเป็นภพชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม ร่ำรวยกว่าเดิม โอกาสที่จะสิ้นทุกข์ก็มีมากกว่าเดิม การทำความดีจึงไม่มีส่วนเสียเลย มีแต่กำไรทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จึงไม่ควรปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้ผ่านไป เพราะการได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แต่ละครั้งนั้นเป็นของยาก ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้สะสมไว้ ถ้าสะสมมาก โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีมาก โอกาสที่จะได้กลับมาสะสมบุญบารมีก็มีมาก บุญบารมีก็จะมีมากยิ่งๆขึ้นไป ทำให้ภพชาติลดน้อยถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่ใช้โอกาสอันดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มาสะสมคุณงามความดีกัน มัวแต่ไปหาความสุขทางโลกแล้ว ชาติหน้าอาจจะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก หลายภพหลายชาติเลยทีเดียว อาจจะต้องไปใช้เวรใช้กรรมเป็นเดรัจฉานบ้าง หรือไปตกในนรก ก็ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่ได้ทำไว้  จึงอย่าประมาทในเรื่องของเวลา

คนเราเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตาย ไม่มีใครรู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ว่า จะมีอายุยืนยาวนานสักเพียงไร แต่เราไม่ต้องไปกังวล ขอให้เอาวันต่อวันนี่แหละเป็นตัวสำคัญ ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยให้เวลาที่มีคุณค่าอย่างยิ่งนี้หมดไป กับการสะสมสิ่งที่ไม่มีสาระเลย  ขอให้พยายามสะสมสิ่งที่เป็นสาระ เป็นคุณเป็นประโยชน์ คือบุญกุศล คุณงามความดี ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้พวกเราศึกษาและปฏิบัติกัน พยายามทำให้มากๆ ทุกวันทุกเวลา เวลาใดที่มีเวลาว่างก็ขอให้หันเข้าหาธรรมะกัน แทนที่จะไปเปิดฟังเรื่องราวที่สร้างความวุ่นวาย  เรื่องราวที่ไม่มีสาระกับจิตใจ เปิดหาธรรมะฟังกัน หาเทปมาฟังก็ได้ หาหนังสือธรรมะมาอ่านก็ได้ หรือหาห้อง หาสถานที่สงบสงัด นั่งทำจิตใจให้สงบ หาความสงบให้มากๆ เพราะมีความสงบมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าเรามีธรรมะมากเท่านั้น เมื่อมีธรรมะมากแล้ว กิเลสตัณหาก็จะน้อยลงไป  ความทุกข์ความวุ่นวายใจก็จะน้อยลงไป

อย่าไปดับทุกข์ด้วยการหาความทุกข์มาเพิ่ม ด้วยการหาเงินทอง หาตำแหน่งหน้าที่ หาบริษัทบริวาร หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย  เพราะมีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่พ่วงมาด้วย ไม่เชื่อลองพิจารณาดูเอาก็แล้วกัน คนที่เสพยาเสพติดนั้นมีความสุขหรือไม่ มีความสุขแต่มีความทุกข์หรือไม่ มีมากกว่าความสุขเสียอีก คนที่เสพสุรายาเมาก็เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้มีความทุกข์ซ่อนอยู่ แต่คนที่ไม่ฉลาด คนที่ไม่ใช้โยนิโสมนสิการ คือใคร่ครวญพิจารณาด้วยความรอบคอบ ทั้งเหตุและผลแล้ว จะไม่เห็นความทุกข์ จะไม่เห็นโทษของอบายมุขทั้งหลาย จะเห็นแต่คุณอย่างเดียว เพราะเวลาได้เสพอบายมุขแล้วมีความสุข แต่เป็นความสุขที่ได้ในขณะที่เสพเท่านั้นเอง แต่โทษหรือทุกข์ที่จะตามมานั้นมองไม่เห็น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้ว่ามาจากการเสพสิ่งต่างๆนั่นเอง จึงขอให้พยายามศึกษาให้เห็นซึ้งแก่ใจว่า อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นคุณ เพราะเมื่อรู้แล้ว จะได้แยกแยะได้ถูก สิ่งใดที่เป็นโทษจะได้ละเว้น ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย สิ่งใดเป็นคุณเป็นประโยชน์ ก็ทำให้มากๆยิ่งๆขึ้นไป เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วโทษที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีก็จะไม่ปรากฎ มีแต่ความสุขความเจริญอย่างเดียว  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้