กัณฑ์ที่
๒๐๔
มันเป็นอย่างนี้แหละ
วันนี้พวกเราได้มารวมตัวกัน
เพื่อประกอบคุณงามความดี ทำบุญทำทาน
รักษาศีล ปฏิบัติธรรม
ฟังเทศน์ฟังธรรม
หลังจากนั้นแล้ว
เราก็แยกกันไป
คราวหน้าก็มารวมตัวกันอีก
แล้วก็แยกกันอีก
นี่คือลักษณะของสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้
มีการรวมตัวกันเข้ามา
แล้วก็แยกกันออกไปอยู่เสมอ
ศาลาหลังนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน
เป็นที่รวมของอิฐ หิน ปูน
ทราย เหล็ก กระเบื้อง
และสิ่งต่างๆ ทิ้งไว้สักระยะหนึ่งอาจจะสัก
๕๐ ปี ๑๐๐ปี
ก็ต้องแยกจากกันไป
สิ่งต่างๆที่ติดตั้งไว้ในนี้
ก็จะเสื่อมสภาพลงไป หล่นลงมา
ถูกทิ้งไป ถ้าไม่มีการบูรณะซ่อมแซม
ทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง
ก็จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่
เพราะเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติ
ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
ที่จะต้องเป็นไปอย่างนี้
มีการรวมตัวกันเข้ามาแล้วก็แยกตัวกันออกไป
ร่างกายของเราก็เหมือนกัน
ของคนอื่นก็เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น
ต้นไม้ภูเขาก็เป็นแบบเดียวกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการรวมตัวกัน
แล้วก็แยกออกจากกัน เป็นปกติ
ผู้ที่รู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว
ย่อมไม่หลงยึดติด
ไม่คิดว่าสิ่งต่างๆจะต้องอยู่รวมตัวกันไปตลอด
เมื่อเกิดมีการแยกตัวกัน
ผู้รู้ ผู้ที่ไม่ยึดติด
ก็จะไม่ทุกข์
ก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจ
ส่วนผู้ที่ไม่รู้
ผู้ที่ยังมีความหลงอยู่
ยังมีความยึดติดอยู่
ยังต้องการให้สิ่งต่างๆรวมตัวกันอยู่ไปตลอดเวลา
เมื่อสิ่งต่างๆ
เกิดการแยกตัวกันขึ้นมา
ก็จะเศร้าโศกเสียใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับ
รับไม่ได้กับความเป็นจริง
ที่เกิดขึ้นกับตนเอง
นี่คือความแตกต่างระหว่างบุคคล
๒ คน คนที่รู้กับคนที่ไม่รู้
คนที่รู้ย่อมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติอะไร
ย่อมไม่เห็นว่าจะต้องมาเศร้าโศกเสียใจ
ร้องห่มร้องไห้ไปทำไม
แต่คนที่ไม่รู้นั้น
เมื่อเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว
ก็อดรนทนใจไม่ได้ ทำใจไม่ได้ ก็ต้องร้องห่มร้องไห้
เศร้าโศกเสียใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ถ้าเป็นชนิดที่รุนแรง
ก็ถึงกับต้องทำลายชีวิตของตนไปด้วย
เพราะมีความรู้สึกว่า
ไม่รู้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
นี่ก็เป็นเพราะความหลงนั่นเอง
ความไม่รู้
ไม่เคยศึกษาธรรมชาติรอบตัวของตนเอง
ว่าเป็นอย่างไร มัวแต่ปล่อยให้ความหลงหลอก
ให้หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาครอบครอง
เพราะเมื่อได้มาครอบครองแล้ว
จะมีความสุข แต่ไม่เคยคิดถึงด้านเสีย
คือด้านความทุกข์บ้างเลย
ที่มีอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพลัดพรากจากกันไป
นี่คือความทุกข์ที่จะตามมาต่อไป
คนที่ไม่รู้
คนที่ไม่เคยสำเหนียก
รับฟังคำสอนของนักปราชญ์
อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้สนใจศึกษาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตน
แล้วเวลาเกิดสิ่งต่างๆที่ไม่ปรารถนาขึ้นมา
ก็จะต้องมีความเสียใจ
มีความทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนพวกเรา
จงอย่าประมาท จงพิจารณาอยู่เนืองๆว่า
สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
สังขารก็คือสิ่งต่างๆที่รวมตัวกันเข้ามานั่นเอง
เช่นร่างกายของเรา
ก็เป็นสังขารชนิดหนึ่ง
เป็นการรวมตัวกันเข้ามาของดิน
น้ำ ลม ไฟ คือธาตุ ๔
มาในรูปแบบของอาหาร
เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป
ร่างกายก็เจริญเติบโตขึ้นมา
ทำให้มีอวัยวะครบบริบูรณ์ ๓๒
ประการด้วยกัน
ร่างกายนี้
ถ้าไม่มีอาหาร จะเจริญเติบโต
เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้หรือไม่
ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการทำนุบำรุงด้วยอาหาร
คือธาตุ ๔ แล้ว
ร่างกายนี้ย่อมอยู่ไม่ได้ ย่อมต้องดับไป
แตกสลายไปก่อนเวลาอันควร
แต่ถ้าได้รับการทำนุบำรุงดูแลรักษาด้วยอาหาร
คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ที่มาในรูปของอาหารแล้ว ก็จะสามารถอยู่ไปได้
จนกว่าจะถึงวัยอันสมควร
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว
อาหารคือธาตุ ๔
ก็จะไม่สามารถดูแล
เยียวยารักษา
ให้ร่างกายอยู่รวมตัวกันต่อไปได้
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว
ธาตุทั้ง ๔
ก็ต้องแยกสลายออกจากกันไป
เอาไปเผาก็กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป
นี่ก็คือการรวมตัวแยกตัวของธาตุ
๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
รวมตัวกันเข้ามาก็กลายเป็นบุคคลต่างๆ
เป็นหญิง เป็นชาย เป็นนก
เป็นแมว เป็นสุนัข
เป็นอะไรต่างๆ
ที่เห็นกันอยู่
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อรวมตัวกันแล้ว
ไม่ช้าก็เร็ว
ก็ต้องแยกออกจากกันเป็นธรรมดา
ถ้าเราพยายามสอนใจเราอยู่เสมอ
ให้รู้ ไม่ให้ลืม
เวลาได้อะไรมา
ก็ต้องเตือนสติตนเองว่า
ได้มาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สักวันหนึ่งก็ต้องแยกจากกันไป
เขาไม่จากเราไป
เราก็ต้องจากเขาไป
ถ้าคอยพร่ำสอนคอยเตือนอยู่เรื่อยแล้ว
จะไม่หลง จะมีภูมิคุ้มกัน
คือมีปัญญา มีความรู้ ที่จะทำลายอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
ทำลายความอยาก
ที่จะให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามความต้องการ
เพราะรู้ด้วยปัญญาว่า
สิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้
เขาไม่ได้อยู่เพื่อเรา
เขาไม่ได้เป็นเพื่อเรา
เขาอยู่เขาเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ถ้ามีเหตุปัจจัยทำให้เขาตั้งอยู่ได้
เขาก็จะตั้งอยู่ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เขาอยู่ได้
เขาก็ต้องล้มลงไป ต้องสลายไป
นี่คือความจริง
ถ้ารู้ความจริงนี้แล้ว
จะไม่ยึดไม่ติด
จะไม่อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้
เป็นไปตามความต้องการ
แต่จะพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง
กับการล้มหายตายจาก เมื่อใจพร้อมแล้ว
รับรองได้ว่าจะไม่มีความทุกข์เลย
จะไม่มีความหวั่นไหวเลย
นี่เป็นสิ่งที่ใจของแต่ละคนสามารถทำกันได้
อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
ขณะที่ฟังนี้บางทีใจยังรับไม่ได้เลย
จะคิดว่าทำไมมาสอนให้ปลงให้วาง
เพราะใจของเราส่วนใหญ่ยังไม่อยากปลง
ยังไม่อยากวาง ยังอยากได้
ยังอยากมี ยังอยากเป็น
ยังอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นไปตามความต้องการ
ตามความอยาก
ซึ่งเป็นการฝืนความจริงแท้ๆ
เห็นอยู่แท้ๆ
แต่กลับมองไม่เห็น
เพราะถูกอำนาจของความหลงครอบงำอยู่
ซึ่งจะพยายามป้องกันไม่ให้คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้
โดยให้คิดว่าไม่เป็นมงคล
นี่ก็เป็นความเห็นผิดอีกอย่างหนึ่ง
เพราะทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น
ล้วนเป็นมงคลทั้งสิ้น
ไม่เป็นอัปมงคลเลย
เพราะจะทำให้ฉลาด
ให้อยู่เหนือความทุกข์ได้นั่นเอง
ถ้าไม่คิดนั่นแหละ
จะเป็นอัปมงคลที่แท้จริง
ถ้าไม่คิดถึงความแก่
ความเจ็บ ความตาย
ถึงการพลัดพรากจากกัน ที่รออยู่ข้างหน้า
แสดงว่ากำลังสะสมความอัปมงคลทั้งหลายให้กับตน
เหมือนกับสะสมลูกระเบิดไว้ให้กองเท่าภูเขา
พอถึงเวลามีใครไปจุดชนวนระเบิดเข้า
ก็จะระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรง
สร้างความทุกข์อย่างหนักหนาสาหัส
จนถึงกับรับไม่ได้
ถึงกับจะต้องฆ่าตัวตายไป
ก็มีอยู่หลายรายด้วยกัน
นั่นก็เป็นเพราะไม่ยอมสะสมความคิดที่เป็นมงคลนั่นเอง
คิดแต่สิ่งที่เป็นอัปมงคล
คือคิดว่าขอให้อยู่ไปนานๆ
ขอให้ร่ำขอให้รวย
ขอให้มีตำแหน่งสูงๆ
ขอให้คนรักอยู่กับเราไปนานๆ อยู่กับเราไปตลอด
ไม่ให้ทิ้งจากเราไป
เหล่านี้ล้วนเป็นความคิดที่เป็นอัปมงคลทั้งสิ้น
เพราะเกิดจากความหลง
เมื่อคิดแบบเหล่านี้แล้ว
จะสร้างความเครียดสร้างความทุกข์ให้กับตน
เมื่อไม่เป็นไปตามความปรารถนา
จึงต้องทำความเข้าใจว่า
ความคิดส่วนใหญ่ของเรานั้น
เป็นความคิดที่ฝืนความจริง
ความคิดอันใดที่ฝืนความจริง
ต้องถือว่าเป็นอัปมงคลทั้งสิ้น
ความคิดที่เป็นมงคลนั้น
ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง
คืออะไรจะเกิด
ก็ให้มันเกิดไปเถิด
ถ้าแก้ไขไม่ได้
หักห้ามไม่ได้ ป้องกันไม่ได้
ก็ให้มันเกิดไปเถิด
เพราะไม่มีใครต้านความจริงของธรรมชาติได้
อาจจะดูแลรักษาสิ่งต่างๆได้ชั่วระยะหนึ่ง
ในระดับหนึ่ง
แต่จะไม่สามารถดูแลรักษาสิ่งต่างๆไปได้ตลอด
เพราะไม่อยู่ไปได้ตลอดนั่นเอง
ทำยังไง
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหมดไป
เสื่อมไป จากไป
เสื้อผ้าที่เราใส่ก็เหมือนกัน
เราเปลี่ยนมากี่ชุดแล้ว
เพราะมันเก่าบ้าง มันขาดบ้าง
เล็กลงไปบ้าง
เพราะร่างกายใหญ่ขึ้นบ้าง แต่เราจะไม่ค่อยเศร้าโศกเสียใจกับเสื้อผ้าเท่าไร
เพราะอะไร
ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น
มีไม่มากนั่นเอง
ไม่เหมือนกับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอื่นๆ
ดังนั้นจงดูว่า
เรายึดอะไรมาก เราติดอะไรมาก
ก็ขอทำความเข้าใจไว้ว่า
เรากำลังสะสมลูกระเบิดไว้มากนั่นเอง
ถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นมากเพียงไร
ก็เท่ากับสะสมลูกระเบิดให้มีมากขึ้นมาในหัวใจ
เพราะเมื่อถึงเวลาระเบิดแล้ว
จะระเบิดด้วยความรุนแรง
คือความทุกข์จะมีมากมีน้อย
ก็อยู่ที่อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนี่เอง
ถ้ายึดมากก็ทุกข์มาก
ถ้ายึดน้อยก็ทุกข์น้อย
ถ้าไม่ยึดไม่ติดเลยก็ไม่ทุกข์เลย
จะเลือกเอาอะไร
ความทุกข์หรือความไม่ทุกข์
เป็นสิ่งที่จะต้องตัดสินใจ
พระพุทธเจ้าตัดสินใจให้เราไม่ได้
พระอรหันตสาวกทั้งหลายตัดสินใจให้เราไม่ได้
ครูบาอาจารย์ต่างๆ
ตัดสินใจให้เราไม่ได้
แม้แต่คนที่รักเรา
ก็ตัดสินใจให้เราไม่ได้
เราต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง
จะตัดสินใจได้ไม่ได้
ก็อยู่ที่ว่า
เห็นความจริงนี้หรือไม่
ถ้าเห็นความจริงของการรวมตัวกัน
แล้วก็แยกตัวกัน
อย่างชัดเจนแล้ว
รับรองได้ว่าจะต้องเลือกทางที่ไม่ทุกข์อย่างเด็ดขาด
เพราะไม่มีใครอยากจะทุกข์หรอก
ความทุกข์ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเลย
เวลาทุกข์แล้ว
มันทรมานจิตใจมาก
เหมือนกับไฟที่เผาผลาญหัวใจนั่นแหละ
อยู่อย่างไร มีฐานะอย่างไร
จะรวยจะจนอย่างไร
ก็ทุกข์ทรมานด้วยกันทั้งสิ้น
ความรวยก็ดับความทุกข์ไม่ได้
ความจนก็ดับความทุกข์ไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะดับความทุกข์ได้ก็คือปัญญา
คือธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่น้อมเอาเข้ามาปฏิบัติ
ทำให้กลายเป็นธรรมะของเรา
ทำให้กลายเป็นปัญญาของเรา
ด้วยการใคร่ครวญพิจารณาอยู่อย่างสม่ำเสมอ
วันๆหนึ่งอย่าลืมคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้
ตื่นขึ้นมาก็บอกตนเองว่า
วันนี้ก็อีกวันหนึ่งของชีวิต
แต่จะจบอย่างไรก็ไม่รู้ จะมีพรุ่งนี้หรือไม่ก็ไม่รู้
ถ้าคิดอย่างนี้เรียกว่าเป็นมงคล
เพราะไม่ยึดไม่ติดนั่นเอง
ต้องเตือนสติอยู่เสมอว่า
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
วันนี้จะออกไปทำอะไร
ก็ไม่รู้ว่าจะได้ดังใจหรือไม่
ได้ก็ดีไป ไม่ได้ก็แล้วไป
ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
จะได้ไม่ต้องมากังวล
เพราะใจสามารถอยู่ได้กับทุกสภาพ
ทุกเหตุการณ์
ส่วนร่างกายอาจจะอยู่ได้
หรืออาจจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไปเจอเหตุการณ์ที่ทำร้ายร่างกาย
ร่างกายก็อาจจะตายได้ ขาดสิ่งต่างๆมาเยียวยา
ก็ตายได้เหมือนกัน
แต่ยังไงๆในไม่ช้าก็เร็ว
ก็ต้องตายอยู่ดี เรื่องความตายของร่างกายไม่ใช่ปัญหาสำคัญ
ปัญหาสำคัญคือความรู้สึกของใจ
ว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ต่างๆ
ถ้าใจนิ่งเฉยไม่วุ่นวาย
ไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
แสดงว่าใจสบาย ใจไม่ทุกข์
ใจจะไม่ทุกข์ใจจะสบายได้
ก็ต้องมีปัญญานั่นเอง
คือต้องยอมรับความจริงของชีวิตว่า
มันเป็นอย่างนี้แหละ
วันนี้มันเป็นอย่างนี้
จะให้มันเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
วันนี้ออกไปหาเงินแทบเป็นแทบตาย
หาไม่ได้เลยสักบาทหนึ่ง
ก็ช่างมันปะไร
เมื่อทำดีที่สุดแล้ว
มันหาไม่ได้ มันก็หาไม่ได้
มาร้องห่มร้องไห้
มาเศร้าโศกเสียใจ
มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
จะไปหาแบบทุจริตมันก็ไม่ดี
เพราะมันเป็นโทษ
ทำไปแล้วไม่ช้าก็เร็ว
ก็ต้องใช้กรรม
ต้องติดคุกติดตะราง
จิตใจมีแต่ความว้าวุ่นขุ่นมัว
อย่าไปหาเงินหาทองด้วยวิธีที่ทุจริตเลย
หาไม่ได้ก็ยอมอดเอาดีกว่า
อดข้าววันหนึ่งไม่ตายหรอก
พระพุทธเจ้าเคยอดมาแล้วถึง
๔๙ วันด้วยกัน
ตราบใดไม่งอมืองอเท้าแล้ว
รับรองได้ว่าไม่อดตาย
ในโลกนี้มีอาหาร
มีอะไรทุกอย่าง
ที่หาได้ด้วยลำแข้งลำขา
ขอให้อย่าขี้เกียจเท่านั้น
เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความอดความอยาก
อย่าไปกลัวความเป็นความตาย
เพราะเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะเวลากลัวแล้วมันสร้างความทุกข์
นอกจากนั้นแล้วยังจะผลักให้ไปสร้างความไม่ดี
ไปสร้างบาปสร้างกรรม
สะสมความทุกข์ให้มีมากยิ่งขึ้นไปใหญ่
แต่ถ้าไม่กลัวความอดความอยาก
ไม่กลัวความยากความลำบาก
ไม่กลัวงานกลัวการแล้ว
รับรองได้ว่าชีวิตจะไม่ถูกความทุกข์รุมเร้าอย่างแน่นอน
นี่คือหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิต
จะต้องมีความกล้าหาญ
มีความอดทน มีความเข้มแข็ง
มีความขยันหมั่นเพียร
อย่าไปหวังพึ่งผู้อื่น
อย่าไปหวังพึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้
มาให้ความสุขกับเรา
เพราะความสุขที่แท้จริงนั้น
อยู่ที่ใจที่ปล่อยวางต่างหาก
อยู่ที่ใจไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ
ใจสามารถอยู่ได้ด้วยความสุขอย่างยิ่ง
ถ้าไม่ไปแบกไปหาม
ไม่ไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ
ยิ่งมีมากยิ่งมีความทุกข์มาก
ยิ่งมีน้อยยิ่งมีความทุกข์น้อย
พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยปัญญาแล้ว
จึงได้ปฏิบัติดังที่ได้ทรงปฏิบัติ
คือได้ทรงสละราชสมบัติ
สละความเป็นราชกุมาร
ที่พร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง
พร้อมด้วยความสุข
ที่เกิดจากสิ่งของต่างๆ
แต่ทรงเห็นความทุกข์ที่มีอยู่ติดกับสิ่งเหล่านั้น
ทรงเห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นล้วนเป็นของไม่เที่ยงทั้งสิ้น
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆเหล่านั้นไป
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะต้องเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างแน่นอน
จึงมีความกล้าหาญที่จะตัด
ที่จะละในสมบัติต่างๆ แล้วออกแสวงหาความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ
นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง
จิตจะสงบได้ก็ต้องปล่อยวางนั่นเอง
ต้องไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆทั้งหลาย
ถ้ายังมีความผูกพัน
ก็ยังต้องมีความกังวลใจ
ถ้ามีสามี มีภรรยา
แล้วมีความผูกพันกับสามีกับภรรยา
ก็ต้องมีความกังวลกับสามีกับภรรยาอย่างแน่นอน
แต่ถ้าไม่มีสามีไม่มีภรรยา
จะไปเอาความกังวลกับสามีกับภรรยาได้อย่างไร
หรือถ้ามี
แต่อยู่แบบไม่ผูกพัน
ไม่ยึดไม่ติดแล้ว
จะมีความทุกข์
มีความกังวลกับสามีกับภรรยาได้อย่างไร
มันไม่มี
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะขาดความเมตตากรุณาต่อกัน
ยังอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้อยู่เสมอว่า
สักวันหนึ่งก็ต้องไปกันคนละทิศคนละทาง
นี่คือวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
ขอให้ทำความเข้าใจว่า
ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีมากมีน้อย
แต่อยู่กับการปล่อยวาง
ว่ามีมากน้อยเพียงใด
มีความยึดมั่นถือมั่นมากน้อยเพียงไร
ถ้าปล่อยวางหมดไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย
ก็จะไม่มีความทุกข์เลย
จะมีแต่ความสุข
เพราะจิตใจสงบนั่นเอง
จิตใจจะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับเรื่องราวต่างๆ
กับคนต่างๆ กับสิ่งต่างๆ
เพราะยอมรับความเป็นจริงของเขานั่นเอง
เขาจะดีก็ดีไป
เขาจะชั่วก็ชั่วไป
เขาจะอยู่ก็อยู่ไป
เขาจะตายก็ตายไป
แต่จะไม่หวังไม่ปรารถนา
ไม่ต้องการอะไรจากเขาเลย
เพราะสามารถหาความสุขได้ในตัวเราเอง
ความสุขมีอยู่แล้วในใจของเรา
เพียงแต่รอให้เราทำให้มันเกิดขึ้นมาเท่านั้น
และวิธีที่จะทำให้เกิดขึ้นมา
ก็คือการปล่อยวางนั่นเอง
ปล่อยวางด้วยปัญญา
เพราะเห็นแล้วว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น
เราไปควบคุมบังคับ
ให้เป็นไปตามความต้องการของเราไม่ได้นั่นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ช้าก็เร็ว
ก็จะต้องมีการจากกันไปเป็นธรรมดา
นี่คือสิ่งที่จะต้องคอยสอนใจอยู่เสมอ
ถ้าสอนแล้ว
ต่อไปใจจะหดเข้ามาข้างใน
ไม่นึกอยากมีอะไรเหมือนเมื่อก่อนนี้
เพราะเวลามีความหลง
เห็นอะไรก็อยากจะได้ไปหมด
เห็นอะไรก็อยากจะมีไปหมด
นี่คือเป็นผลของความหลง
คือขาดปัญญานั่นเอง
แต่ถ้ามีปัญญาแล้วพอเกิดความอยากจะได้อะไร
มันก็จะกระซิบเตือนบอกว่า
ระวังนะได้มาแล้วเดี๋ยวจะต้องทุกข์กับมันนะ
เดี๋ยวจะต้องร้องห่มร้องไห้
เศร้าโศกเสียใจ
เพราะจะไม่เป็นไปตามความต้องการของเราเสมอไป
แล้วมันก็จะต้องจากเราไปในที่สุด
ถ้าคอยกระซิบคอยเตือนอยู่ทุกเวลาแล้ว
ไม่ว่าจะเห็นอะไร
จะได้ยินอะไร จะต้องการอะไร
เราจะไม่กล้า จะไม่อยาก
เพราะรู้ว่าความจริงนั้น
เราอยู่เฉยๆเราก็มีความสุขแล้ว
ไม่เห็นจะต้องไปหาอะไรมาสร้างความทุกข์ให้มันเพิ่มขึ้นไปอีกเลย
นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง
ถ้าสามารถชนะใจได้
ชนะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น
ชนะความอยากต่างๆที่มีอยู่ในใจได้แล้ว
จะอยู่ได้ด้วยความสงบ
ด้วยความสบาย
ถึงแม้จะไม่มีอะไรเลย
แต่จะสบาย เพราะไม่เป็นภาระ มีรถยนต์คันหนึ่ง
มันก็เป็นภาระแล้ว
ต้องคอยดูแลรักษา
ต้องคอยหาน้ำมันมาเติมอีก
นี่ก็เป็นภาระแล้ว
แต่ถ้าไปไหนมาไหนด้วยเท้า ๒
เท้าของเรา ภาระมันก็ไม่มาก
เพราะต้องดูแลร่างกายนี้อยู่แล้ว
ทำไมไม่ใช้ร่างกายให้เกิดประโยชน์
ทำไมต้องไปหาภาระมาเพิ่ม
เพิ่มความทุกข์ให้กับเราไปทำไม
นี่แหละคือปัญหาของพวกเรา
คือขาดปัญญาความรู้นั่นเอง
ถูกความหลงครอบงำ
ถูกความหลงสั่งสอน
ให้มีมากๆแล้วจะมีความสุข
แต่เป็นความสุขที่มีความทุกข์ซ่อนตัวอยู่
แต่มองไม่เห็น
จะมาเห็นก็ตอนที่ต้องสูญเสียสิ่งต่างๆที่ได้มา
แต่ตอนนั้นมันก็สายไปเสียแล้ว
เพราะตอนนั้นก็เหมือนกับไฟที่ไหม้บ้านไปแล้ว
ไม่มีทางที่จะดับมันได้ จึงขอให้พยายามพร่ำสอนตนอยู่เสมอ
ทุกวี่ทุกวันทุกเวลา
เวลาเห็นอะไรก็พยายามมองว่ามันไม่เที่ยง
มองตั้งแต่เริ่มต้นจนจบไป
อย่างที่เมื่อสักครู่ได้พูดถึงเรื่องศาลาหลังนี้
เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ตรงนี้ก็ไม่มีศาลาหลังนี้ตั้งอยู่
แต่เมื่อมีการเอาหิน เอาทราย
เอาปูน เอาอิฐ เอาเหล็ก
เอาน้ำ เอาอะไรมารวมตัวกัน
มาก่อมาสร้าง
ก็กลายเป็นศาลาขึ้นมา
ถ้าพวกเราอีกสัก ๑๐๐ ปี ๒๐๐
ปีกลับมาที่นี่อีก
ศาลาหลังนี้อาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่แล้วก็ได้
นี่คือสภาพของทุกสิ่งทุกอย่าง
ร่างกายของเราก็เริ่มจากหยดน้ำสองหยดในครรภ์ของมารดา
แล้วก็ก่อตัวขึ้นมาจากอาหารของมารดาที่หล่อเลี้ยงก็คือเลือดนั่นเอง
เลือดของมารดาที่หล่อเลี้ยงทารกที่อยู่ในท้อง
ให้ค่อยๆเจริญเติบโต
เมื่อเต็มที่แล้วก็ต้องคลอดออกมา
ก็ต้องมีการให้อาหารเพิ่มเติมขึ้นไปอีก
ให้นม ให้ข้าว ให้ปลา ให้น้ำ
ให้ผัก ให้สิ่งต่างๆ
ร่างกายก็เจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วต่อไปก็จะเริ่มแก่ลงไป
แก่ลงไป
ผมเผ้าก็จะกลายเป็นสีขาว
หนังก็จะเหี่ยวย่น
หลังก็จะโก่ง
แล้วในที่สุดก็เดินไม่ไหว
ต้องนอนอยู่บนเตียง
จนในที่สุดลมหายใจก็จะหมดไป
ก็จะถูกจับใส่ไปในโลง
ตั้งไว้บนเมรุ
แล้วก็จุดไฟเผา
กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไปในที่สุด
นี่คือลักษณะของร่างกายของเรา และของทุกๆคน ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาดูอยู่เรื่อยๆ เพราะถ้าไม่พิจารณาแล้วจะเผลอ จะลืม เมื่อเผลอลืม ก็จะเกิดความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่ออยากแล้วก็ต้องไปขวนขวาย ไปแบกความทุกข์ความวุ่นวายใจ ชีวิตจึงไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร มีแต่ความเครียด มีแต่ความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา เพราะความหลงครอบงำจิตใจ ทำให้เกิดความอยาก เกิดอุปาทาน แต่ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาอย่างที่สอนไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดาแล้ว จะไม่อยากจะได้อะไรอีกต่อไป เพราะรู้ว่าสิ่งต่างๆที่ได้มานั้นจะต้องสร้างความทุกข์ให้กับเราอย่างแน่นอน ถ้าไม่ต้องการความทุกข์แล้ว ไปเอามาทำไม ในเมื่ออยู่เฉยๆ ไม่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้ เราก็อยู่ได้ พระพุทธเจ้าก็อยู่แบบนี้มาแล้ว พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็อยู่แบบนี้มาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็อยู่แบบนี้มาแล้ว เอามาทำไม การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้