กัณฑ์ที่
๒๑
ธรรมโอสถ
การได้เข้าวัดนั้นถือเป็นโอกาสอันดี
เป็นบุญ เป็นกุศลอย่างหนึ่ง
เพราะการที่จะมาวัดได้นั้น
ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงจะมาได้
ผู้ใดไม่มีอุปนิสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จะมาวัดนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
เพราะจะเสียดาย เงินทอง
เสียดายเวลาทำมาหากิน
การเข้าวัดจะรู้สึกว่า
ไม่เกิดประโยชน์อะไร
นั่นเป็นเพราะไม่เข้าใจ
ถึงอานิสงส์ในบุญ ในกุศล
ในการมาวัดว่ามีคุณค่ามากมาย
ยิ่งกว่าเงินทองข้าวของทั้งหลาย
เพราะว่าการเข้าวัดนี้เป็นการสะสมบุญ
บุญนี้เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของคนเรา
มีความสุข มีความเจริญ
ถ้ามีความทุกข์ก็สามารถระงับดับทุกข์ได้ เหมือนกับเวลามีเพลิงไหม้
ถ้ามีรถดับเพลิง
มีน้ำเตรียมไว้
เราก็สามารถดับไฟได้
แต่ถ้าไม่มีน้ำ
ไม่มีรถดับเพลิงเตรียมไว้ก่อน
เวลาเกิดไฟไหม้ขึ้นมา
ก็ต้องปล่อยให้มันไหม้จนหมดไป
เงินทองไม่สามารถดับความทุกข์ของจิตใจได้ ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน
ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน
ก็ทุกข์ได้เหมือนกัน
ไม่ได้อยู่ที่เงินทอง
แต่อยู่ที่บุญกุศลหรือธรรมะ
การที่ได้มาวัด มาฟังเทศน์
ฟังธรรม มาทำบุญ ทำกุศล
เท่ากับการสะสมน้ำไว้ดับไฟนั่นเอง
เวลาเกิดความทุกข์ขึ้นมาจะได้มีเครื่องดับไฟ
บุญและกุศลจึงเปรียบเหมือนน้ำดับไฟ
คนที่เข้าวัดมาฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆนั้น
จะเป็นคนที่มีจิตใจสดชื่นเบิกบาน
มีแต่ความสบายใจ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่เข้าวัดจะเป็นคนที่มีแต่ความดำมืดอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง
มีเงินทองมากมาย มีปัจจัย ๔
ครบถ้วนบริบูรณ์
มีบ้านใหญ่โตมโหฬาร
มีรถคันใหญ่ ราคาแพงๆ
มีเพชรนิลจินดา
มีอะไรต่างๆ มากมายก็ตาม
แต่จิตใจนั้นเป็นจิตใจที่มีแต่ความรุ่มร้อน
เพราะว่าจิตใจนั้นไม่มีเครื่องมือ
ที่จะไปต่อต้าน
สิ่งที่สร้างความทุกข์ให้แก่จิตใจนั่นเอง
สิ่งที่สร้างความทุกข์ให้แก่จิตใจ
ก็คือ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ความอยากทั้งหลาย
ความยึดมั่นถือมั่น
สิ่งเหล่านี้นั้นเมื่อมีขึ้นมาในจิตใจแล้ว
จะทำให้เราไม่สบายใจ
เวลามีอะไรที่ถูกอกถูกใจ
ก็อยากจะให้มีไปนานๆ
อยากจะให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ไปนานๆ
อยากจะให้สิ่งที่มีอยู่นั้น
ให้ความสุขกับเราไปเรื่อยๆ
แต่คนเราไม่เข้าใจถึงหลักของความเป็นจริง
จะไปบังคับธรรมชาติ
ให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้อย่างไร
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้นั้น
เป็น อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา คือเป็นของไม่เที่ยง
เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดทุกข์แก่จิตใจ
เป็นอนัตตา
เป็นของที่ไม่มีเจ้าของ
ไม่มีใครจะสามารถควบคุม
หรือบังคับให้สิ่งต่างๆนั้น
เป็นไปตามปรารถนาของจิตใจได้
ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเวียนไปตามเหตุ
ตามปัจจัย รวมกันเข้ามา
ตั้งอยู่ แล้วก็แยกสลายจากไป
การที่เราไม่มีธรรมะ
ไม่มีแสงสว่างแห่งปัญญา
จึงไม่ข้าใจถึงหลักธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้
เราชอบและอยากที่จะให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามความอยากของเรา
เช่นอยากจะอยู่ไปนานๆ
เป็นความอยากที่ผิดธรรมชาติ
เราอยากจะเป็นหนุ่มเป็นสาวไปเรื่อยๆ
ไม่อยากแก่ ก็เป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ
เราอยากจะมีสุขภาพร่างกายพลานามัยที่สมบูรณ์
ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
ก็เป็นสิ่งที่ฝืนกับหลักของความเป็นจริง เพราะตามหลักของความเป็นจริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนไว้เสมอว่า
คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว
ต้องมีความแก่
มีความเจ็บ
และมีความตายเป็นธรรมดา
นอกจากนั้นแล้ว
เรายังต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ
ทั้งหลายทั้งปวง
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆหรือบุคคลต่างๆ
และยังต้องพบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาทั้งหลาย
เช่นภัยพิบัติ ความล่มจม
ความสูญเสียต่างๆ
พบปะกับบุคคลหรือสิ่งต่างๆที่เราไม่ปรารถนา สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับตัวเรา
เพราะว่า นี่คือเรื่องของโลก
เรื่องของความเป็นจริงในโลกนี้
โลกนี้มีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเรา
ไม่เป็นไปตามความต้องการของเรา
โลกเขาดำเนินไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา
มีทั้งกลางวัน
มีทั้งกลางคืน มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้พวกเรา
ต้องทำความเข้าใจหลักธรรมชาติให้จงได้
ถ้าเราเข้าใจหลักธรรมชาติได้
แสดงว่าเรามีปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้ว
เราก็สามารถที่ประพฤติปฏิบัติ
ต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง
วิธีการที่จะปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง
คือต้องรู้จักปล่อยวาง
ไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ
ต้องเข้าใจว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น
มีมาแล้ว
สักวันหนึ่งก็ต้องไป
ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้กระทั่งร่างกายของเรานั้น
ในที่สุดก็ต้องแตกสลายไป
เมื่อร่างกายแตกสลายไป
จิตใจก็ต้องเดินทางต่อไป
ก่อนหน้านี้เราได้เดินทางมาจากภพก่อน
ชาติก่อน แล้วมาเกิดชาตินี้
ได้สะสมบุญ สะสมกรรมมามากมายก่ายกองในภพชาติต่างๆในอดีต
เมื่อมาเกิดจึงมีความแตกต่างกัน
มีฐานะต่างกัน เพราะมีบุญบารมีไม่เท่ากัน
บางคนมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม
บางคนมีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์
บางคนมีครบอาการ ๓๒ บางคนก็ไม่ครบ
บางคนมีโรคภัยเบียดเบียน บางคนเกิดมาบนกองเงินกองทองร่ำรวย
ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก
บางคนถูกแม่เอาไปทิ้งถังขยะ
เอาไปทิ้งตามห้องน้ำสาธารณะก็มี
บางคนฉลาด บางคนก็ไม่ค่อยฉลาด
สิ่งเหล่านี้ทำไมถึงมีความแตกต่างกัน
ก็เพราะว่าดวงจิตแต่ละดวงนั้น
ในแต่ละภพแต่ละชาติในอดีตนั้น
สะสมบุญบารมีมาไม่เท่าเทียมกัน
คนที่เกิดมาแล้วฉลาด
เป็นอัจฉริยะ
อายุเพียงแปดเก้าขวบก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้นั้น
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ก็เพราะจิตใจนั้นได้รับการพัฒนามาโดยตลอด
ทางด้านปัญญา ในแต่ละภพ
แต่ละชาติ
เคยศึกษาหาความรู้อยู่เรื่อยๆ
รู้จักคิด รู้จักไตร่ตรอง
รู้จักแยกแยะ
ในเรื่องต่างๆ
สามารถรู้ได้เอง
คนประเภทนี้เป็นอภิชาตบุตร
คือเป็นคนที่ฉลาดกว่าบิดามารดา
ไม่ต้องให้บิดามารดา
คอยสั่งสอน
เพราะฉลาดกว่าบิดามารดา
อย่างพระพุทธเจ้า
ท่านฉลาดกว่าพระราชบิดามารดา
พระราชบิดามารดาไม่สามารถจะสอนอะไรท่านได้
ถึงแม้จะหาครูบาอาจารย์มาสอนพระองค์ท่าน
พระองค์ท่านกลับทรงรู้มากกว่าครูบาอาจารย์เสียอีก นี่ก็เป็นเพราะว่า
พระพุทธองค์นั้นได้ทรงสะสมบุญบารมีในอดีตมามาก
นั่นเอง
บุญบารมีนั้น
เป็นสิ่งที่ไม่สูญหายไปไหน
เป็นสิ่งที่ติดไปกับจิตใจ
ไม่เหมือนกับทรัพย์สมบัติ
เงินทอง ข้าวของ ญาติพี่น้อง
สิ่งเหล่านี้นั้น
เมื่อเราตายไปแล้วมันไม่ไปกับเรา
ไม่ได้ติดไปกับจิตใจเรา
มันก็อยู่ในโลกนี้ต่อไป
กลายเป็นสมบัติของคนอื่นไป
ถ้าตายไปก่อนสามีหรือภรรยาเรา
คนที่อยู่ต่อไป
ก็อาจจะมีสามีหรือภรรยาใหม่
สามีหรือภรรยาเรา
ก็ไม่ได้เป็นของของเราแล้ว
หมดสิ้น ผ่านไป นี่เป็นเรื่องของความเป็นจริงในโลกนี้
ระหว่างจิตใจกับร่างกาย
ร่างกายนั้นเป็นสมบัติของโลกนี้
แต่จิตใจไม่ได้เป็นสมบัติของใคร
จิตใจนั้นจะไปเรื่อยๆตามภาวะ
ถ้ามีเหตุมีปัจจัยที่ผลักไสให้ไปเกิด
มันก็จะไปเกิดต่อไป
แต่ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยที่จะทำให้จิตใจนั้นไปเกิดแล้ว
จิตใจนี้ก็จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด
เหตุปัจจัยที่ทำให้พวกเราทุกคนนั้น
ต้องเวียนว่ายตายเกิด
เรียกว่า ตัณหา
มีกามตัณหา ความอยากในกาม
ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น
วิภวตัณหา ความอยากไม่เป็น
ความอยากไม่มี
ถ้ามีทั้ง ๓
สิ่งนี้อยู่ในจิตใจแล้ว
จะต้องเวียนว่ายตายเกิด
ตายจากภพนี้ ก็ต้องไปเกิดในภพหน้าต่อไป
จะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรม
ถ้าทำบุญไว้
เมื่อถึงเวลาที่บุญจะแสดงผลก็จะได้ไปเกิดที่ดี
ถ้าทำบาปทำกรรมไว้ก็จะไปเกิดในภพชาติที่ไม่ดีดังที่เราได้เห็นกันอยู่
ถ้าปรารถนาที่จะไม่เกิดก็ต้องพยายามทำลายอวิชชาความมืดบอด
โมหะความหลงที่เป็นต้นเหตุของตัณหาทั้ง
๓ คือ กามตัณหา
ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ให้หมดออกไปจากจิตจากใจ
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ได้ทำกัน
ชีวิตของท่านอยู่เพื่อตัดตัณหาทั้ง
๓ นี้เท่านั้น เพราะท่านเห็นว่า
ตราบใดถ้ายังมีการเกิด
ก็ยังมีความแก่ มีความเจ็บ
มีความตาย มีการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ
มีการประสบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาเป็นเงาตามตัว
ทุกภพทุกชาติที่เกิด
แม้จะเกิดสูงหรือต่ำขนาดไหนก็ตาม
เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
หรือเป็นพระมหากษัตริย์
หรือเป็นคนสามัญ
ก็ต้องประสบกับสิ่งเหล่านี้เท่าๆกัน
คนที่มีปัญญา
คนที่ฉลาดนั้น
เมื่อเห็นว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นเสมอ
ก็จะหาวิธีที่จะตัดภพตัดชาติออกไป
วิธีที่จะตัดภพตัดชาติได้นั้นก็คือการละตัณหาทั้ง
๓ คือกามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา การที่จะชำระสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องอาศัยธรรมะ
คำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่นั้นยังเป็นคนที่ไม่ฉลาดพอ
ไม่สามารถที่จะคิดค้นหาวิธีที่จะนำมาทำลายสิ่งเหล่านี้ได้
เหมือนกับเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย
เราไม่มีความรู้พอที่จะรักษาตัวเองได้
เราก็ต้องหาหมอผู้ที่รู้วิธีที่ปฏิบัติรักษา
สามารถวิเคราะห์วินิจฉัยได้ว่าจะให้ยาแบบไหน
แล้วก็เอาหยูกยานั้นมารักษาโรคนั้นให้หายได้
ฉันใดความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจนั้น
ก็เปรียบเหมือนเป็นโรคของจิตใจ
เรียกว่าโรคจิต ความอยากทั้ง
๓ ประการ ก็เป็นเหมือนเชื้อโรคของจิตใจ
ถ้าตราบใดที่เรามีเชื้อโรคทั้ง
๓ ประการนี้อยู่ในจิตใจ
มันก็จะสร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราไม่มีสิ้นสุด
แล้วยังจะผลักไสให้จิตใจนี้
หมุนเวียนไปเรื่อยๆ
ให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่
แต่ถ้าสามารถเอาธรรมะยารักษาโรคนี้เข้าสู่จิตใจได้
เราก็จะสามารถทำลายตัณหาทั้ง
๓ นี้
ให้หมดไปได้
เหมือนกับการไปหาหมอที่โรงพยาบาล
หมอก็ให้ยามารับประทาน
เมื่อรับประทานแล้ว
ก็จะทำให้ร่างกายหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
สำหรับโรคของจิตใจนั้น
ต้องหาหมออย่าง พระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์
คือพระรัตนตรัย
ไว้เป็นหมอรักษาโรคของจิตใจ
ท่านรู้จักวิธี
ทำลายเชื้อโรคคือความอยากทั้ง
๓ ให้หมดไปจากจิตใจ
พวกเราชาวพุทธควรเข้าหาพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์
แล้วศึกษาจากท่านถึงแนวทางต่างๆที่ทำให้จิตใจสะอาดหมดจด
ปราศจากความทุกข์ความเศร้าหมองทั้งหลาย
ให้เข้าวัดอย่างสม่ำเสมอ
อยู่บ้านเปิดหนังสือธรรมะอ่านก็ถือว่าได้เข้าวัด เพราะว่าการเข้าวัดก็คือการเข้าหาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง
อยู่ที่ไหนขอให้ระลึกถึง
พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
และนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น
มาประพฤติปฏิบัติ
ต่อสู้กับความอยากทั้งหลาย
อย่างนี้ถือว่ามีวัดอยู่ในตัวของเราแล้ว
ได้เข้าวัดแล้ว
ในทางตรงกันข้าม
ผู้ที่เข้าวัดแต่ไม่ได้แสวงหาพระธรรมคำสอนเลย
ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ทำอะไร
เข้ามาแบบงมงาย
มากราบพระ จุดเทียนธูป ๓
ดอก
แล้วอธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข
ความเจริญ เป็นใช้ได้แล้ว
คิดว่าได้เข้าวัดแล้ว
ถ้าคิดอย่างนี้
ถือว่ายังเข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนา
ผู้ที่เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้นั้น
ต้องเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอน
ให้ละความชั่วทั้งหลาย
ให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม
ให้ชำระตัณหาทั้งหลายให้ออกไปจากจิตจากใจ
ให้เป็นจิตใจที่สะอาดหมดจด
เมื่อเข้าใจในหลักสำคัญอันนี้แล้ว
และได้ประพฤติปฏิบัติทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงปรากฏขึ้นในจิตใจแล้ว
จึงถือว่าได้เข้าถึง พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
ได้พระรัตนตรัย เป็นสรณะ
ถ้าเรานำพระธรรมคำสอน
ที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้กับเราชาวพุทธไปประพฤติปฏิบัติแล้ว
ในที่สุดเราก็จะสามารถชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดได้
กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมา
เปรียบเหมือนกับคนไข้
เวลารับยามา จากหมอแล้ว
แต่ไม่รับประทานยาโรคก็จะไม่หาย
ถ้ารับประทานยาที่หมอสั่งแล้ว
โรคภัยที่มีอยู่ในร่างกายก็จะหายไป
ฉันใดการได้ยินได้ฟัง
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องเอามาประพฤติ
ปฏิบัติต่อ
เหมือนกับการไปรับยา
เมื่อรับมาแล้วก็ต้องเอามาใช้
เอามารับประทาน
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน
ต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ
แล้วจิตใจจะค่อยๆสะอาดขึ้นๆ
ความอยากทั้งหลายก็จะค่อยๆหมดไป
และหมดไปได้ในที่สุด
ถ้าไม่หมดในชาตินี้
ชาติหน้าเราก็ทำต่อไปได้
เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในจิตใจเรา
เมื่อเราไปเกิดในชาติหน้า
เราจะได้เปรียบคนอื่น
เวลาทีเราได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
ฟังเพียงครั้งเดียวจิตใจเราอาจจะบรรลุธรรมขึ้นมาก็ได้
เช่นเดียวกับกับบุคคลต่างๆที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าในชาตินี้
บางคนก็ได้บรรลุธรรม
บางคนก็ไม่ได้บรรลุ เป็นเพราะเหตุใด
เป็นเพราะว่าได้สะสมธรรมะมา
มากน้อยไม่เท่ากันในอดีตชาตินั้นเอง
เวลาฟังธรรม จึงมีความเข้าอกเข้าใจไม่เท่าเทียมกัน
ดังนั้นในชาตินี้อย่าปล่อยให้เวลาที่มีคุณค่านั้น
ผ่านไปโดยที่ไม่ได้สะสมบุญ
ไม่ได้สะสมธรรมะ
ไว้เป็นเครื่องมือตัดภพตัดชาติให้ออกไปจากจิตจากใจของเรา
เพราะนี่คือสมบัติอันประเสริฐที่แท้จริง
เป็นสมบัติที่จะติดไปกับเราตลอด
ไม่มีใครจะมาพรากจากเราไปได้
ไม่มีใครสามารถขโมย
หรือลักพาเอาไปจากเราได้
เราอยู่ที่ไหน
สิ่งเหล่านี้จะอยู่กับเราไปตลอด
เมื่อเรามีธรรมะอยู่กับเรา
เราก็มีสรณะ มีที่พึ่ง
ไปที่ไหนเราจะแต่มีความสุข
มีความสบายใจ
เราจะไม่มีทุกข์ติดอยู่ในใจ
เหมือนกับคนที่มีหยูกยาอยู่ใกล้ตัว
เราจะไม่กลัวความเจ็บไข้ได้ป่วย
เพราะเมื่อเกิดเจ็บไข้ขึ้นมา
เราก็รับประทานยาเข้าไป
ไข้ก็หาย ฉันใด
ถ้าเรามีธรรมะในจิตใจ
เวลาเรามีความทุกข์
เราก็สามารถเอาธรรมะเข้าไปเยียวยารักษาได้
ขอให้พวกเราทั้งหลายจงน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เข้าสู่จิตใจของเรา ด้วยการศึกษา ด้วยการอ่าน เมื่อได้ยินได้ฟังการเทศนาว่ากล่าวของพระสงฆ์องค์เจ้าแล้ว ขอให้เอาไปคิดทบทวนอยู่ในใจ อย่าฟังเสร็จแล้วพอออกจากวัดก็ทิ้งไป ลืมไปเลยว่าหลวงพ่อองค์นี้เทศน์อะไรไว้บ้าง เหมือนกับการท่องสูตรคูณ ถ้าไม่ท่องสูตรคูณอยู่เรื่อยๆเดี๋ยวก็ลืม เวลาจำเป็นจะเอาไปใช้ ก็ใช้ไม่ได้ เพราะลืม ธรรมะก็เหมือนกัน เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ควรเอาไปคิดอ่าน เอาไปใคร่ครวญ เอาไปท่องจำ ให้เกิดความเข้าใจ เมื่อถึงเวลาที่จะใช้ จะใช้ได้ทันที เวลาไม่สบายใจ ใช้ธรรมะดับทุกข์ได้ทันที แต่ถ้าไม่มีธรรมะอยู่ในใจเลย เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องทุกข์อยู่เรื่อยไป การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้