กัณฑ์ที่ ๒๔๓       ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๙ (เช้า)

 

ความดี

 

 

 

วันนี้ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปทำงานทำการ ไม่ต้องไปโรงเรียน จึงได้ใช้เวลาที่ว่างจากภารกิจการงานการเรียน มาทำนุบำรุงพัฒนาจิตใจเสริมสร้างความดีความสวยความงามให้กับจิตใจ   เพราะวัดก็เปรียบเหมือนกับร้านเสริมสวย เวลาที่เราต้องการทำรูปร่างหน้าตาของเราให้สวยงาม เราก็ไปที่ร้านเสริมสวย ไปให้เขาทำผม ตัดผม แต่งหน้า ทาปาก ทำเล็บ ทำอะไรต่างๆ แล้วก็ไปที่ร้านตัดเสื้อผ้า ให้เขาตัดชุดสวยๆงามๆมาใส่  วัดก็เป็นเช่นนั้น  เป็นเหมือนร้านเสริมสวยของจิตใจ   เพราะความสวยงามมีอยู่ ๒ ชนิดด้วยกัน  สวยกายกับสวยใจ  สวยกายก็ต้องอาศัยเสื้อผ้าอาภรณ์ อาศัยเครื่องสำอาง อาศัยช่างตัดผม ช่างทำผม ช่างทำเล็บ ให้ช่วยแต่งช่วยปรุงร่างกายให้สวยงาม  สวยใจก็ต้องอาศัยธรรมะ  อาศัยบุญกุศล ทำให้เราสวยงามทางด้านจิตใจ   เพราะคนที่ชอบทำบุญ ชอบฟังธรรมะ ชอบปฏิบัติธรรม มีบุญมีธรรมะอยู่ในใจ เป็นคนสวยงาม  เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง  อยู่ในตัวของคนใดก็จะทำให้คนนั้นมีสง่าราศี น่าเคารพยกย่องนับถือ  น่าคบค้าสมาคมด้วย 

 

ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรา  พระพุทธองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมความดีงามทั้งหลาย  ถึงแม้เราจะไม่เคยพบกับองค์ท่านมาก่อนเลย เพียงแต่ได้ยินกิติศัพท์อันดีงาม ก็ทำให้เรามีความศรัทธา มีความเลื่อมใส มีความเคารพนับถือ มีความอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า  เพราะความสวยงามของจิตใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เหมือนกับความสวยงามของร่างกาย ที่มีแต่จะค่อยๆเสื่อมไปตามกาลตามเวลา  ต่อให้เราแต่งหน้าทาปากใส่เสื้อผ้าสวยงามขนาดไหนก็ตาม  เมื่อเวลาที่หนังเริ่มเหี่ยว ผมเริ่มขาว มีอาการของคนชราปรากฏขึ้นมา  ต่อให้แต่งอย่างไรก็ไม่สวยงาม เพราะมันฝืนกับความจริงนั่นเอง  แต่จิตใจนี้ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็ยิ่งสวยงามมากขึ้นไป ยิ่งน่ารัก น่าชื่นชม น่ายินดีมากขึ้นไปเท่านั้น เพราะความดีเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครนั่นเอง 

 

อยู่กับคนดีแล้วจะรู้สึกสบายใจ  ทุกๆคนปรารถนาอยากจะได้คนดีทั้งนั้น  เวลาแต่งงานก็อยากจะได้สามีที่ดี ได้ภรรยาที่ดี  เวลามีลูกก็อยากจะได้ลูกที่ดี  เวลาคุณครูรับนักเรียนมาเรียนที่โรงเรียน ก็อยากจะได้นักเรียนที่ดี  นักเรียนก็อยากจะได้คุณครูที่ดี  เพราะความดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครทั้งนั้น  และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากเย็นที่จะหามาครอบครอง  พวกเราทุกคนมีสิทธิที่จะหามาเป็นสมบัติของเราได้  เพียงแต่เราต้องมีความพยายามบ้าง เพราะจิตใจของเรานั้นไม่ค่อยชอบทำความดีกันเท่าไร  อยากได้ดีแต่ไม่ชอบทำความดี ก็เป็นคนดีไม่ได้  คนเราจะดีได้ก็ต้องทำความดีกัน  ความดีซื้อไม่ได้  ไม่มีขายตามตลาด ตามร้านต่างๆ  ความดีต้องเกิดจากการกระทำของเรา

 

ความดีนี้อยู่ตรงไหน  พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความดีอยู่ที่ความกตัญญูกตเวที  รู้บุญคุณของผู้ที่ทำความดีให้กับเรา  รู้บุญคุณของผู้ที่มีพระคุณกับเรา  กตเวทีก็คือการทดแทนบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณแก่เรานั่นเอง   พวกเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีผู้มีพระคุณกับเราทุกๆคน เพราะถ้าไม่มีผู้มีพระคุณแล้ว พวกเราจะเกิดกันมาไม่ได้  และเมื่อเราโตขึ้นมา  เราจะโตเป็นคนดี  โตเป็นคนฉลาดไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้มีพระคุณกับเรา  ในเบื้องต้นผู้มีพระคุณที่สำคัญที่สุด ก็คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา  เพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ให้กำเนิด ให้ชีวิตนี้กับเรา  ร่างกายของเรานี้ ที่มีอยู่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากคุณพ่อคุณแม่ เป็นผู้สร้างเราขึ้นมา  เมื่อเราออกจากท้องคุณแม่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็คอยเลี้ยงดูเราด้วยอาหาร  เลี้ยงดูเราให้อยู่อย่างสุขอย่างสบาย หาเสื้อผ้าให้เราใส่ หาอาหารให้เรารับประทาน  เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็หาหยูกหายาหาหมอมาดูแลรักษา ให้เราหายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย 

 

พระคุณของคุณพ่อคุณแม่จึงเป็นสิ่งที่ใหญ่โตอย่างยิ่งทีเดียว  ลูกๆทุกคนจึงควรรำลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่อย่างสม่ำเสมอ  ทุกเช้าทุกเย็นควรจะกราบคุณพ่อคุณแม่กัน วันละสองครั้ง เช้าหนึ่งครั้งเย็นหนึ่งครั้ง  เวลาออกจากบ้านก็กราบลาคุณพ่อคุณแม่  เวลากลับมาที่บ้านก็กราบคุณพ่อคุณแม่ก่อน อย่าไปทำอะไรก่อน  ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว จะเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู น่าชื่นชม น่ายกย่อง  เพราะเรากำลังทำความดี  ทำตัวของเราให้เป็นคนดี  นี่คือวิธีปฏิบัติเบื้องต้นต่อคุณพ่อคุณแม่  ที่แสดงออกถึงความกตัญญู  ต่อจากนั้นเราก็ยังต้องแสดงออกต่อไปด้วยการเชื่อฟังคำสั่งคำสอนของคุณพ่อคุณแม่  เพราะไม่มีใครที่จะรักเรา หวังดีกับเราเท่ากับคุณพ่อคุณแม่ของเรา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่มีอยู่ ก็จะมอบไว้ให้กับเราทั้งหมด หลังจากที่คุณพ่อ คุณแม่จากเราไปแล้ว ของทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่มีอยู่นี้ จะเป็นของเราทั้งหมด  เพราะคุณพ่อคุณแม่รักเรามาก อยากจะให้เราได้ดี  อยากจะให้เรามีความสุข มีความเจริญ

 

เวลาที่คุณพ่อคุณแม่เห็นเรากำลังทำอะไรที่ไม่ดี  ที่จะสร้างความเสียหาย สร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเรา  คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องคอยห้ามปราม  เช่นเวลาเราไปทำอะไรผิด  ไปลักขโมยของๆคนอื่น  คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน  ต้องคอยห้ามไม่ให้ไปทำ  ของต่างๆนั้นมีเจ้าของ  เราอย่าไปหยิบมาโดยที่เจ้าของเขาไม่อนุญาตให้เราก่อน  ถ้าเราอยากจะได้อะไรก็ขอคุณพ่อคุณแม่   บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากจะได้สิ่งนั้นอยากจะได้สิ่งนี้  ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เสียหาย  เป็นสิ่งที่มีประโยชน์  คุณพ่อคุณแม่ก็จะหามาให้เรา  แต่สิ่งที่เราอยากได้แต่มันไม่มีประโยชน์  แล้วจะทำความเสียหายให้เกิดขึ้นกับเรา  คุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่ให้เรา  เราก็อย่าไปไปโกรธท่าน   เราต้องเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่รู้ดีกว่าเรา รู้อะไรผิดอะไรถูก  อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ  เมื่อเราอยากจะได้สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย  ความเสียหาย  ท่านก็จะไม่ให้เรา  เราก็อย่าไปเสียใจ  อย่าไปโกรธท่าน  กลับควรจะดีอกดีใจที่มีคนคอยดูแลเรา  คอยสอนเรา  คอยป้องกันเรา  เพราะถ้าเราไม่มีใครคอยดูแล คอยสอน คอยป้องกันเรา  เดี๋ยวเราจะไปทำในสิ่งที่เป็นโทษกับเรา   แล้วเราจะต้องเสียใจในภายหลัง 

 

เราจึงต้องมีความเชื่อฟังในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สั่งสอนเรา    เช่นเดียวกันกับคุณครู  ที่โรงเรียนคุณครูก็เป็นเหมือนตัวแทนของคุณพ่อคุณแม่   เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลาที่จะมาสอนเราทุกสิ่งทุกอย่าง  เพราะคุณพ่อคุณแม่ต้องไปทำงาน ต้องไปหาเงิน เพื่อจะได้เอาเงินมาเลี้ยงพวกเราให้อยู่กันอย่างสุขอย่างสบาย  คุณพ่อคุณแม่ก็เลยเอาเราไปฝากไว้ที่โรงเรียน ฝากคุณครูให้ช่วยสอนพวกเราอีกต่อหนึ่ง   เราก็ต้องเคารพคุณครูเหมือนกับเราเคารพคุณพ่อคุณแม่   คุณครูบอกให้ทำอะไรก็ควรจะทำตาม  คุณครูห้ามไม่ให้ทำอะไร ก็ไม่ควรทำ   ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วรับรองได้ว่าเราจะเป็นเด็กดี  มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ  มีคนชม  จะไม่มีใครว่าเรา ไม่มีใครตำหนิเรา 

 

เวลาที่เราถูกตำหนิ ถูกว่า ก็เพราะเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง  เช่นสมมุติเราอยู่ในห้องเรียน  คุณครูกำลังสอนหนังสืออยู่ คุณครูก็อยากจะให้เราตั้งใจฟัง  เราก็ควรตั้งใจฟัง  ไม่ควรไปเล่น ไปคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ  เพราะถ้าไปคุย ไปเล่นกับเพื่อนแล้ว สิ่งที่คุณครูคอยสอนเราจะไม่เข้าถึงตัวเรา  เราจะไม่รู้ว่าคุณครูสอนอะไรให้กับเรา  เราก็จะไม่ฉลาด เพราะไม่มีความรู้  เราจะฉลาดได้ ก็ต้องมีความรู้  เราจะมีความรู้ได้ ก็ต้องคอยฟังสิ่งที่คุณครูสอนเรา   หรือสิ่งที่ผู้ใหญ่เช่นคุณพ่อคุณแม่คอยสอนเรา   เวลาผู้ใหญ่พูดอะไรกับเรา เราจึงควรตั้งใจฟัง  ถึงแม้เราจะไม่ชอบฟังก็อย่าไปปฏิเสธ  ฟังไว้ก่อนแล้วลองเอาไปทำดู แล้วต่อไปเราจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณครูสอน  ในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณครูคุณพ่อคุณแม่สอนเรานั้น สอนให้เรารู้จักว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว  สอนให้เรารู้จักถึงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา  สอนให้เรารู้จักทำมาหากิน มีอาชีพที่สุจริต  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตให้เจริญก้าวหน้า มีแต่ความสุข มีแต่ความสบาย 

 

เราจึงต้องอดทน  อดทนตอนนี้ดีกว่า ยากลำบากตอนนี้ดีกว่า   เพราะเมื่อต่อไปเราเรียนจบแล้ว เราได้รับปริญญาแล้ว  เราจะสามารถไปทำงานหาเงินหาทองมาได้ เป็นจำนวนมากอย่างสบาย  ไม่ต้องไปลำบากลำบนเหมือนกับคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ที่เมื่อโตขึ้นจะไปทำอะไรได้นอกจากไปเป็นคนรับใช้  ไปซักเสื้อผ้าให้คนอื่น  ไปกวาดบ้านถูบ้านให้คนอื่น  ไปตัดต้นไม้ตัดหญ้าให้คนอื่น  ไปรับใช้คนอื่น  เพราะตนเองไม่มีความรู้ที่จะเอาไปทำมาหากิน หาเงินหาทองเลี้ยงชีพของตนได้  จึงต้องอาศัยคนอื่นให้เงินกับเราด้วยการแลกเปลี่ยน  เราก็รับใช้เขา  เขาก็ให้เงินเรา  แต่ถ้าเรามีความรู้ ก็สามารถนำความรู้นี้ไปหาเงินหาทองได้  ไม่ต้องเหนื่อยยาก ไม่ต้องออกกำลังกาย เพราะความรู้นี้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เรา หาเงินหาทองมาเลี้ยงชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย  

 

ขณะที่เป็นเด็กเราจึงต้องขวนขวาย มีความตั้งใจที่จะเรียนหนังสือ หาความรู้   เวลาไปโรงเรียนอยู่ในห้องเรียนก็ตั้งใจฟัง  เวลาคุณครูให้การบ้านกลับมาทำที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็อย่าไปทำอะไรก่อน  รีบทำการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยก่อน  เพราะการบ้านเป็นงานของเรา เป็นหน้าที่ของเรา  คนอื่นทำแทนเราไม่ได้  คุณพ่อทำให้เราไม่ได้  คุณแม่ทำให้เราไม่ได้  เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำให้เรา  เราก็จะไม่รู้  เพราะการทำการบ้านเป็นการฝึกให้เรารู้เรื่องราวต่างๆให้ดีขึ้นนั่นเอง  ให้เรามาทบทวน ให้เราเอามาใช้กับปัญหาต่างๆ   คุณครูเขาให้ความรู้เราแล้ว  เราก็ต้องเอาความรู้นี้มาทำประโยชน์  ความรู้นี้เราสามารถนำมาแก้ไขปัญหาต่างๆได้  เมื่อเรารู้จักแก้ไขปัญหาต่างๆแล้ว  ต่อไปเวลามีปัญหาในอนาคต  มีเรื่องมีราว เราก็จะรู้จักวิธีแก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้อง  วิธีที่ไม่มีโทษ ไม่มีความเสียหายตามมา 

 

หน้าที่ของเราตอนที่เป็นเด็ก ก็คือพยายามเรียนรู้ให้มากๆ เรียนรู้จากผู้ใหญ่  เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่  เรียนรู้จากคุณครู  เรียนไปเรื่อยๆ พยายามตั้งใจเรียนให้มากๆ อย่าไปสนใจกับเรื่องการดูโทรทัศน์มากจนเกินไป  ดูพอสมควรก็พอ  กลับมาบ้านดูสักครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว  ควรจะทำอย่างอื่น  ช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้างก็ได้  คุณแม่ทำอะไรอยู่ก็ถามคุณแม่ว่าขอให้ผม ขอให้หนูทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่บ้าง   คุณแม่ก็บอกว่าไหนลองไปจัดห้องที่หนูอยู่ให้เรียบร้อยซิ  เสื้อผ้าของหนูเอาไปพับ เอาไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย  ของเล่นของใช้อะไรต่างๆ  เอาไปเก็บใส่ตู้เอาไว้ให้เรียบร้อย อย่าวางไว้เกะกะตามที่ต่างๆ  ถ้ากวาดบ้านเป็นก็ช่วยท่านกวาดบ้านก็ได้  เวลารับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ช่วยกันล้างถ้วยล้างชาม  อย่างนี้เป็นการทำตัวของเราให้เป็นประโยชน์  ทำตัวของเราให้เป็นคนดี  ถ้าเรามัวแต่ไปเล่นเกมส์ เล่นคอมพิวเตอร์  ไปเล่นกับเพื่อนแล้วก็ไปทะเลาะวิวาทกัน  อย่างนี้ไม่ใช่เป็นความดีเลย  มีแต่เรื่องราว มีแต่ความเสียหายตามมา 

 

เราจึงควรสนใจฟังคำสอนของผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วพยายามปฏิบัติตามที่คุณครู คุณพ่อคุณแม่คอยสอนเรา  แล้วเราจะเป็นเด็กที่น่ารัก น่าชื่นชมยินดี  มีแต่คนคอยสนับสนุนส่งเสริม  เพราะไม่มีใครอยากจะสนับสนุนส่งเสริมคนไม่ดี  เพราะคนไม่ดีมักจะไปทำเรื่องราวเดือดร้อนให้กับคนอื่น  เช่นเป็นคนขี้เกียจ ไม่ชอบเรียนหนังสือ  ชอบเล่น ชอบลักเล็กขโมยน้อย ชอบโกหก อย่างนี้ถือว่าเป็นคนไม่ดี  เพราะการกระทำเหล่านี้นำความเสื่อมเสียมาให้กับตนเองและผู้อื่น  ถ้าเป็นคนแบบนี้ จะไม่มีใครยกย่องชมเชย  จะมีแต่ว่ากล่าวติเตียน  แต่เราก็ควรฟัง ถ้าสิ่งที่เขาบอกนั้นเป็นความจริง  เราก็ควรขอบใจเขา  เพราะเขากำลังทำหน้าที่เป็นกระจกส่องหน้าเรา  ธรรมดาเราจะไม่รู้ว่าหน้าของเราเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ สวยหรือไม่ สะอาดหรือไม่ เราจะไม่รู้ ถ้าเราไม่มีกระจกส่องหน้า   ก่อนจะออกจากบ้าน เราก็ต้องดูที่กระจกก่อนว่าเราแต่งตัวเรียบร้อยไหม  หวีเผ้าหวีผมเรียบร้อยไหม  ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยไหม  หน้าตาสะอาดสะอ้านหรือเปล่า  มีขี้ตาติดอยู่ที่ดวงตาหรือไม่ เราต้องอาศัยกระจก   ผู้ที่คอยตำหนิติเตียนเรา ก็เป็นเหมือนกับกระจกนั่นเอง  เป็นผู้สะท้อนความจริงของตัวเรา ให้เรารู้ว่าขณะนี้เรากำลังไม่ดีนะ  เรากำลังขี้เกียจนะ  แทนที่จะเรียนหนังสือ  แทนที่จะทำการบ้าน  เรากำลังดูหนังสือการ์ตูน เล่นเกมส์กันอยู่  ถ้าคุณพ่อคุณแม่บอกว่า หนูกำลังทำในสิ่งที่ไม่ดี ควรจะหยุด  ควรจะทำการบ้านก่อน ควรจะอ่านหนังสือก่อน  เมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว อ่านหนังสือแล้ว มีเวลาว่างจะไปเล่นบ้างก็ได้  แต่ควรจะรู้จักประมาณ รู้จักความพอดี มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี 

 

เวลาเล่นก็ช่วยผ่อนคลาย ทำให้จิตใจเราร่าเริงเบิกบาน  แต่ถ้าเล่นมากเกินไปก็จะทำให้เสียงานเสียการ  เสียหน้าที่ที่เราต้องทำ  เพราะนอกจากเล่นแล้วเราต้องทำอย่างอื่นอีก  เราต้องอาบน้ำอาบท่า ต้องนอน  เพราะจะต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน ต้องพักผ่อนหลับนอน ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความพอดี ต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูกต้อง  เวลาพักก็มี เวลาเรียนก็มี เวลารับประทานอาหารก็มี เวลาเล่นก็มี ให้รู้จักแบ่งเวลา  ถ้ารู้จักแบ่งเวลาแล้ว จะได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด  ชีวิตของเราจะได้ไม่มีปัญหา  ไม่มีเรื่องวุ่นวายใจตามมา  จะมีแต่ความสุขมีแต่ความสบายใจ จึงอยากจะให้ฝึกฝนตัวเราให้เป็นคนดี ด้วยการทำดี ด้วยการเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ มีความสำนึกในบุญคุณของผู้หลักผู้ใหญ่ เช่นคุณพ่อคุณแม่ คุณครูอาจารย์  ผู้ให้เงินให้ทอง ให้ความรู้ ให้ของดีๆแก่เราเสมอ  เราจึงควรให้ความเคารพนอบน้อม  เวลาเจอคุณครู เจอคุณพ่อคุณแม่ ก็ควรยกมือไหว้  เวลาจะจากท่าน เวลาจะไปไหน ก็ยกมือไหว้ลาท่าน ขออนุญาตก่อน ถ้าจะไปไหนตามลำพัง  คุณพ่อคุณแม่ คุณครูต้องรู้ว่าเราจะไปไหน  เพราะถ้าเราไปหลงทางกลับบ้านไม่ได้ก็จะลำบาก ต้องไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เป็นพ่อเป็นแม่เรา ไม่ทำสิ่งที่ดีเหมือนที่คุณพ่อคุณแม่ทำกับเรา 

 

ถ้าเราจะไปไหนคนเดียว ต้องขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ คุณครูก่อน  ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้ไปถึงจะไปได้  ถ้าไม่ให้ไปก็อย่าไป  พยายามอยู่ใกล้ๆ กับคุณพ่อคุณแม่คุณครูเสมอ เพราะเรายังเล็กอยู่ ยังดูแลตัวเราเองไม่ได้ ช่วยตัวเราเองไม่ได้ ยังต้องอาศัยผู้ใหญ่คอยดูแล คอยช่วยเหลือเรา  นี่คือสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติ เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ มีความขยันในการเรียนหนังสือ ในการทำการบ้าน  ให้รู้จักแบ่งเวลาให้ถูก  ทำทุกอย่างให้ครบถ้วนบริบูรณ์  อะไรที่เป็นหน้าที่ของเรา ก็ควรทำ  อย่าปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่มาทำให้กับเรา  อย่าให้คนอื่นเขาทำให้กับเรา  เช่นการบ้าน คุณครูให้กลับเอามาทำที่บ้าน เราก็ต้องทำของเราเอง อย่าไปลอกของเพื่อนเขา  ไม่ใช่ตอนเช้าไปโรงเรียนแล้ว ก็ไปขอลอกของเพื่อนเขา   เพื่อนเขาทำมาแล้วแต่เราไม่ได้ทำ  ถ้าเราไม่ทำเอง ต่อไปเราจะไม่รู้จักวิชาที่เราเรียน เราจะไม่เข้าใจ เราจะไม่มีความรู้ความฉลาด  แต่ถ้าเราทำการบ้านของเราได้ ก็แสดงว่าเราเก่ง เราฉลาด  แสดงว่าเรามีความรู้  นี่คือวิธีวัดผลการเรียนของเรา  คุณครูก็จะรู้ว่าเราฉลาด เราเก่งหรือไม่ อยู่ที่ว่าเราสามารถทำการบ้านของเราได้หรือเปล่า  ถ้าเราทำการบ้านได้ ต่อไปเวลาเราไปสอบเราก็จะสอบได้   แล้วเราจะสอบได้ที่ดีๆด้วย จะได้ที่หนึ่งกันทุกคนในห้องเลยก็ได้ ถ้าเราทุกคนขยันเรียนขยันทำการบ้าน ตั้งใจฟังเวลาคุณครูสั่งสอน  นี่คือวิธีการทำตัวของเราให้เป็นคนดี  ขอให้หนูทุกคนพยายามนำในสิ่งที่หลวงพ่อได้พูดได้สอนวันนี้ ให้นำไปปฏิบัติดู  แล้วชีวิตของหนูจะมีแต่ความสุข  มีแต่ความเจริญก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว  จึงขอฝากเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นคติสอนใจ การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้