กัณฑ์ที่ ๒๔๔ ๙ กันยายน ๒๕๔๙
เสริมสร้างบารมี
การบำเพ็ญบุญบารมี ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญเป็นการเสริมสร้างความสุข ความเจริญ ความก้าวหน้า ให้แก่ชีวิตจิตใจของเรา ชีวิตจะมีความร่มเย็นเป็นสุข มีความก้าวหน้าได้ ก็ต้องอาศัยบุญบารมี ซึ่งเปรียบเหมือนกับอาหารของต้นไม้ ต้นไม้จะเจริญเติบโตได้ก็ต้องมีน้ำ มีปุ๋ย มีการทำนุบำรุงดูแล ต้นไม้จึงเจริญออกดอกออกผลได้ ถ้าไม่ได้รับน้ำ ไม่ได้รับปุ๋ย ไม่ได้รับการดูแล ต้นไม้ก็จะไม่เจริญเติบโต ไม่ออกดอกออกผล ชีวิตของเราก็เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ต้องมีการทำนุบำรุงดูแลรักษา อาหารที่จะดูแลรักษาชีวิตจิตใจของเราให้เจริญรุ่งเรือง ก็คือบุญบารมี ที่จะส่งเสริมชีวิตของเรา ให้เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด คือมรรคผลนิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด ความวุ่นวายทั้งหลาย ดังที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันตสาวกทั้งหลายได้บำเพ็ญกันมา
นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถมอบให้กับตัวเราได้ สิ่งอื่นๆที่เราทำกันทุกวันนี้ ไม่สามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับเราได้ ถ้าเรายังแสวงหาลาภยศสรรเสริญ สุข ทางรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอยู่ เราจะไม่ได้ให้อะไรแก่ชีวิตจิตใจของเราเลย ได้แต่ความสนุกความเพลิดเพลิน ความดีอกดีใจเป็นระยะๆเท่านั้นเอง แต่ในที่สุดแล้วสิ่งต่างๆที่เราได้มานั้น ก็จะต้องเสื่อมต้องหมดไป ทิ้งให้เราอยู่กับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ปล่อยให้เราเป็นเหมือนกับคนขอทาน ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวติดใจ เมื่อเราเดินทางต่อไปในภพหน้าชาติหน้าไปเกิดใหม่ ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ไม่มีอะไรเป็นทุนเดิม ไม่เหมือนกับบุญบารมีที่เราบำเพ็ญกันอยู่นี้ ที่เปรียบเหมือนกับเงินฝากในธนาคาร ที่เราสามารถเอาติดตัวไปได้ เมื่อเราไปเกิดในภพหน้าชาติหน้า บุญบารมีที่เราได้ทำไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆก็จะมาสนับสนุนเรา ทำให้เรามีความแตกต่างจากผู้อื่น มีความเจริญก้าวหน้ารวดเร็วกว่าผู้อื่น มีฐานะที่ดีกว่าผู้อื่น มีรูปร่างหน้าตาที่ดีกว่าผู้อื่น ดังที่เราเคยได้ยินคนโบราณท่านพูดไว้ว่า แข่งรถแข่งเรือนั้นพอจะแข่งกันได้ แต่แข่งวาสนาบารมีนั้น เป็นสิ่งที่แข่งกันไม่ได้
ถ้าสังเกตดูเราจะเห็นว่า บางคนจะไปดีกว่าเรา ไปเร็วกว่าเรา ทั้งๆที่เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกัน ทำงานก็ทำงานที่เดียวกัน แต่ความเจริญของแต่ละคนจะไม่เท่าเทียมกัน เพราะบุญบารมีที่สะสมมานั้นไม่เท่ากันนั่นเอง ถ้าอยากจะมีบุญบารมีก็ต้องสะสม ต้องสร้างมันขึ้นมา ซื้อไม่ได้ ให้กันไม่ได้ ขอกันไม่ได้ ต้องทำกันเอง ต้องสร้างกันเอง เหมือนกับการรับประทานอาหาร รับประทานแทนกันไม่ได้ ต้องรับประทานกันเอง ถ้าไม่ทานก็จะผอมแห้งแรงน้อย มีแต่ความหิวโหย มีแต่ความกระหายอยู่ตลอดเวลา เราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องบุญบารมีไป ตลอดระยะเวลา ๕ วันที่ผ่านมา เราก็ไปแสวงหาสิ่งต่างๆทางโลก ที่เรียกว่าโลกธรรม หาลาภ หายศ หาสรรเสริญ หาความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่วันนี้เราจะมาหาบุญบารมีกัน ถ้าเราสร้างบุญบารมีได้มากน้อยเพียงไร รับรองได้ว่าชีวิตของเราจะดีขึ้นมากน้อยเพียงนั้น แต่ถ้าสะสมลาภยศสรรเสริญสุขมากน้อยเพียงไร ก็รับรองได้ว่าชีวิตของเราจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ ความอยากได้ในสิ่งต่างๆจะไม่ลดน้อยถอยลงไปตามสิ่งที่เราได้มา เพราะความอยากก็ดี ความต้องการก็ดี ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ ความห่วงใยกับสิ่งต่างๆก็ดี ล้วนเกิดจากการไม่สะสมบุญบารมีนั่นเอง มัวแต่ไปสะสมความอยาก ความกังวล ความวุ่นวายใจให้มีมากยิ่งขึ้น เพราะโดยธรรมชาติของลาภยศสรรเสริญสุขนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่อยู่คงเส้นคงวา มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มีการเจริญแล้วก็มีการเสื่อมไปเป็นธรรมดา แล้วมีการเจริญใหม่ แล้วก็เสื่อมไปใหม่ สลับกันไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เวลาเกิดความเจริญ ก็ดีอกดีใจกัน พอเกิดความเสื่อมขึ้นมา ก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ
แต่การสะสมบุญบารมีมีแต่จะเพิ่มความอิ่ม เพิ่มความพอ ให้กับจิตใจขึ้นไปตามลำดับ ตัดความทุกข์ ตัดความกังวลใจ ตัดความวุ่นวายใจไปตามลำดับ เพราะบุญบารมีเป็นเครื่องทำลายความทุกข์ ความกังวลใจ ความวุ่นวายใจทั้งหลายนั่นเอง เราจึงควรหันมาดูที่ใจเราเป็นหลัก เพราะใจเป็นตัวประกอบที่สำคัญที่สุด เป็นพระเอกเลยก็ว่าได้ ถ้าใจดีเราก็จะมีแต่ความสุขความสบาย ถ้าใจไม่ดีต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน มีตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังต้องวุ่นวาย ต้องทุกข์ ต้องกังวล ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะไม่รู้จักวิธีรักษาใจเรานั่นเอง ใจถูกอำนาจของความหลง หลอกให้เราไปหาสิ่งที่สร้างความทุกข์ สร้างความกังวลใจให้กับเรา เพราะไปหาแต่สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง ได้อะไรมาก็ต้องกังวลว่า จะอยู่กับเราไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ จะอยู่ไปนานสักเท่าไรเราก็ไม่รู้ สักวันหนึ่งอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับมันก็ได้ หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ได้
เพราะเราอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน สิ่งที่เราไปแสวงหามาเพื่อให้เป็นที่พึ่งของเรา ให้ความสุขกับเรา ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเหมือนกัน เมื่อเวลามันเปลี่ยนไปจากสิ่งที่เราเคยรักเคยชอบ กลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวขึ้นมา เราก็เสียอกเสียใจ เศร้าโศกเสียใจ เพราะเราไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆที่เราไปเกี่ยวข้อง ไปแสวงหากันนั่นเอง เรามองไม่เห็นความไม่เที่ยงที่มีอยู่ในสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือจะเป็นวัตถุ ก็อยู่ภายใต้ของความไม่เที่ยงแท้แน่นอนทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมีอะไร สักวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมต้องสลายต้องดับไปหรือเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็มี คนบางคนเวลารู้จักกันใหม่ๆก็ดีเหมือนกับนางฟ้า เหมือนกับเทวดา แต่พออยู่ด้วยกันแล้วก็กลายพันธุ์ไป กลายเป็นมารกลายเป็นปีศาจไป เพราะนี่คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของบุคคลนั่นเอง ถ้าเราไปฝากความหวังไว้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใด หวังว่าเขาจะให้ความสุข ให้ความดีกับเราไปตลอด แต่พอเขาเปลี่ยนแปลงไป จากเทพกลายเป็นปีศาจ เราก็จะต้องทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง นี่คือปัญหาใจของพวกเรา
เพราะใจของเราไม่ได้รับการทำนุบำรุงด้วยบุญบารมี เช่นปัญญาบารมีนั่นเอง ถ้าศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ แล้วนำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาใคร่ครวญ มาพิจารณา มาจดมาจำไว้สอนใจอยู่เรื่อยๆ เราก็จะมีแสงสว่างนำพาชีวิตของเรา ให้ไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริงได้ เพราะเราจะรู้จักหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่จะสร้างความทุกข์ สร้างความวุ่นวายใจให้กับเรานั่นเอง เวลาได้อะไรมาครอบครอง ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า จำเป็นไหม ที่จะต้องมีสิ่งนั้น ถ้าจำเป็นก็เอามาได้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเอามาจะดีกว่า เพราะเมื่อเอามาแล้วจะกลายเป็นภาระทางจิตใจ ไหนจะต้องทำนุบำรุงดูแลรักษา ไหนจะต้องมาห่วงมากังวลว่าจะอยู่คงที่หรือไม่ จะมีใครมาฉกชิงไปหรือไม่ จะเสื่อมเสียไปหรือไม่ ทั้งๆที่มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ถอยดีกว่า อย่าเอาความทุกข์มาใส่ใจ นี่คือวิธีคิดด้วยปัญญา
สิ่งที่จำเป็นก็คือสิ่งที่เราต้องอาศัยเลี้ยงชีพ เช่นอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เราต้องหามาด้วยวิธีการต่างๆ อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการทำมาหากินก็หามา แต่ต้องมีภูมิคุ้มกันอยู่ในใจเสมอว่า สิ่งต่างๆที่ได้มานั้น ๑. ไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริงกับเรา ๒. ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด สักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป หรือเราต้องจากมันไป ขณะที่อยู่กับเราๆก็ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในที่นี้ก็หมายถึง ๑. ให้ดูแลรักษาชีวิตของเราให้อยู่อย่างสุขอย่างสบาย ๒.ให้มีเวลา มีเงินทองไว้เสริมสร้างบุญบารมี แทนที่จะเอาเงินทองที่หามาด้วยความลำบากยากเย็น ไปใช้จ่ายกับสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดบุญบารมี ก็จะเป็นการเสียเวลาเสียโอกาสไปเปล่าๆ เพราะไม่ได้พัฒนาความสุขความเจริญ ให้กับชีวิตจิตใจของเรา มีแต่จะฉุดลากให้จิตใจของเราให้ตกต่ำไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าเอาเงินทองที่เหลือใช้ไปใช้กับพวกอบายมุขต่างๆ เช่นสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เป็นต้น
ถ้าเอาไปใช้แบบนี้แล้ว ไม่ว่าจะมีเงินทองมากน้อยเพียงไร ก็จะต้องหมดไปในที่สุด จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว นอกจากความติดในสิ่งเหล่านั้น เคยกินเคยดื่ม ก็อยากจะกินจะดื่มต่อไป เคยเล่นการพนันก็อยากจะเล่นต่อไป เคยเที่ยวกลางคืนก็อยากจะเที่ยวต่อไป เมื่อไม่มีเงินเที่ยวจะทำอย่างไร ก็ต้องหามาด้วยวิธีที่ไม่ชอบนั่นเอง การคอรัปชั่นจึงเป็นเรื่องปกติในสังคมของคนที่มีโมหะ อวิชชา ความมืดบอด คนที่ไม่รู้จักคุณค่าของบุญบารมี มีเงินเท่าไรก็จะทุ่มหมดไปกับสุรา นารี การพนัน ของฟุ่มเฟือยต่างๆ แต่ไม่มีอะไรให้กับจิตใจเลย ไม่มีอะไรให้กับการสร้างบุญบารมีเลย จิตใจจึงมีแต่ความหิว มีแต่ความอยาก มีแต่ความต้องการเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ มีเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม เมื่อไม่พอก็ต้องขวนขวายดิ้นรนหามาเพิ่ม ต้องเจอกับปัญหาต่างๆในการแสวงหา ต้องต่อสู้แข่งขันกัน จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา แล้วก็ต้องมาแก้ปัญหากัน นี่เป็นเพราะใจถูกความหลง ความเห็นผิดเป็นชอบหลอกไปนั่นเอง ขาดปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่เคยมองพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างเลยว่าทรงดำเนินชีวิตอย่างไร ทรงแสวงหาลาภยศสรรเสริญสุข เหมือนกับพวกเราหรือเปล่า หรือทรงมีแต่ตัด มีแต่ละ ทรงสละราชสมบัติ ทรงสละความสุขต่างๆของพระเจ้าแผ่นดิน ทรงสละบริษัทบริวารที่คอยห้อมล้อม คอยสรรเสริญเยินยอ แล้วมาอยู่แบบขอทาน ตามมีตามเกิด
แต่ในพระทัยของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความสุขความอิ่มความพอ ปลอดภัยจากความทุกข์ความวุ่นวายใจทั้งหลาย ที่ไม่สามารถเข้ามาในพระทัยของพระพุทธเจ้า และใจของพระอรหันตสาวกทั้งหลายเลย เพราะได้รับการดูแลด้วยบุญบารมีนั่นเอง ท่านมีปัญญา ท่านฉลาด ท่านรู้ว่าอะไรทำให้ใจมีความสุข รู้ว่าอะไรทำให้ใจมีความทุกข์ สิ่งที่ทำให้ใจมีความทุกข์ ก็คือความหลงที่ไปสร้างความอยาก สร้างความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างนอกใจ ก็คือสิ่งต่างๆที่เราแสวงหากันอยู่นี้ เป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้กับเรา ทุกวันนี้ที่เราวุ่นวาย เราทุกข์กัน ก็ทุกข์กับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่นั่นเอง เพราะไปยึดไปติดว่ามันเป็นเรา เป็นของของเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงนั้นมันไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวเราเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสมบัติที่ให้ยืมมาใช้เท่านั้นเอง ร่างกายนี้เขาก็ให้เรายืมมาใช้ ตำแหน่งที่เราได้มาเขาก็ให้เรายืมเป็น เงินทองที่เราหามาได้เขาก็ให้เรายืมมาใช้ บริษัทบริวารเขาก็ให้เรายืมมาใช้ ความสุขที่ได้จากรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เป็นสิ่งที่ให้เรายืมมาใช้ไปวันๆหนึ่ง สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะต้องหมดไปจากเรา เมื่อเราตายไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไป ทรัพย์สมบัติเงินทองที่เป็นของเราก็กลายเป็นของคนอื่นไป ตำแหน่งที่เราเป็นอยู่ก็กลายเป็นของคนอื่นไป
นี่เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสิ่งต่างๆในโลกนี้ แต่ใจที่ไม่มีปัญญากลับมองไม่เห็น กลับหลง กลับอยากจะได้ คิดว่าเป็นสิ่งวิเศษวิโส ไม่เห็นความทุกข์ ไม่เห็นความเสื่อมที่จะตามมา พวกเราจึงหาความสุขไม่เจอ มีแต่ความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนกับควันไฟที่ลอยมาแล้วก็จางหายไป ปรากฎขึ้นมาแล้วก็หายไป ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้จากการบำเพ็ญบุญบารมีต่างๆ เพราะเราไม่สนใจที่จะเข้าวัดเข้าวาศึกษาอย่างจริงจัง แล้วนำสิ่งที่ได้ศึกษามาประพฤติปฏิบัติ ถ้าทำอย่างจริงจังแล้วรับรองได้ว่า ไม่นานจะได้พบกับความสุขความเจริญอย่างแท้จริง จะอยู่อย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรจะเสื่อม อะไรจะหมดไป จะไม่สามารถสร้างความทุกข์ ความวุ่นวายใจให้กับเราได้ เพราะบุญบารมีเป็นเหมือนเกราะคุ้มครองป้องกัน ไม่ให้ความทุกข์ต่างๆเข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ สิ่งอื่นๆไม่สามารถคุ้มครองใจได้ ต่อให้มีเงินมากน้อยเพียงไรก็ยังต้องทุกข์ ยังต้องวุ่นวายใจอยู่ ต่อให้เป็นประธานาธิบดี เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีความทุกข์ มีความวุ่นวายใจ
จึงอย่าไปหลงกับเรื่องเหล่านี้ มันไม่ใช่ที่พึ่งของเรา สรณะของเราต้องเป็นบุญบารมี ที่ออกมาจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้เอง พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสรู้ รู้บุญบารมี รู้คุณค่าของบุญบารมี ทรงได้ปฏิบัติบุญบารมี ทรงได้รับผลอันเลิศอันวิเศษจากการปฏิบัติบุญบารมี จึงนำเอามาสั่งสอน เป็นพระธรรมคำสอนที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่นี้ จะฟังมากฟังน้อยก็สุดแท้แต่ จะฟังแบบสักแต่ว่าฟัง หรือฟังแล้วนำเอาไปใคร่ครวญ เอาไปพินิจพิจารณา เอาไปปฏิบัติ ก็สุดแท้แต่ผู้ฟัง เพราะไม่อยู่ในวิสัยของพระพุทธเจ้า ของพระธรรมคำสอน ของพระอริยสงฆ์ ที่จะทำให้เราได้ พวกเราเป็นผู้ที่จะต้องน้อมมาปฏิบัติ ถ้ามีความตั้งใจมีความจริงใจต่อพระธรรมคำสอน เวลาฟังก็จะฟังด้วยสติ ด้วยใจที่จดจ่อ ติดตามคำพูดทุกคำ แล้วก็นำสิ่งที่ได้ยินมาวิเคราะห์ พิจารณาให้เกิดความเข้าใจ เมื่อเกิดความเข้าใจแล้วก็นำเอาไปปฏิบัติต่อไป เช่นวันนี้เราได้ยินได้ฟังแล้วว่า สิ่งที่เราควรแสวงหาควรสะสมนั้น คือบุญบารมี มากกว่าการหาลาภยศสรรเสริญสุข นอกจากการหาสิ่งที่จำเป็นต่อการดูแลรักษาชีวิตของเรา เช่นทำงานทำการเพื่อที่จะได้ทรัพย์มาจำนวนหนึ่ง มาทำนุบำรุงดูแลรักษาชีวิตของเรา แต่เงินที่เหลือก็จะไม่เอาไปใช้กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่นของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย หรืออบายมุขทั้งหลาย ที่ไม่เสริมสร้างความสุข หรือป้องกันความทุกข์ต่างๆ ไม่ให้เข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจของเรา
ควรเอาเงินที่จะหมดไปกับของฟุ่มเฟือย กับอบายมุขต่างๆ มาเสริมสร้างทางด้านบุญบารมีจะดีกว่า เช่นทานบารมี มีเงินทองมากน้อยเพียงไรก็เอามาแจก เอามาจ่าย เอามาสงเคราะห์ เอามาช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ส่งเสริมช่วยเหลือสนับสนุนพวกองค์กรสาธารณะกุศลต่างๆ เพื่อทำให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะสังคมจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขได้ ก็ต้องมีความเมตตากรุณาต่อกัน องค์กรการกุศลต่างๆล้วนมีความเมตตากรุณา มีไมตรีจิต มีความสงสาร ที่จะคอยดูแลช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ตกทุกข์ได้ยาก คิดถึงเวลาที่เราตกทุกข์ได้ยากบ้าง เวลามีคนยื่นมือมาช่วยเหลือ เราจะรู้สึกอย่างไร เราก็ควรดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าอยู่ในฐานะที่ทำได้ แล้วเราจะได้บุญบารมีเข้ามาสู่จิตใจ มาช่วยดับความอยากได้สิ่งต่างๆ อยากได้ของที่ไม่จำเป็น อยากได้ของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เพราะบุญบารมีจะทำให้จิตใจมีความอิ่ม เพราะเป็นเหมือนอาหารนั่นเอง แต่ถ้าเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือย แทนที่จะทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ เกิดความพอใจ กลับสร้างความอยากซื้อเพิ่มขึ้นมาอีก สังเกตดูเราซื้อเสื้อผ้าชุดหนึ่งแล้ววันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราออกเดินไปเที่ยวตลาด เห็นเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่งเราก็อดที่อยากจะซื้ออีกไม่ได้ เป็นธรรมชาติของความฟุ่มเฟือย มันเป็นอย่างนี้ มีแต่อยากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่น้อยลงไป
แต่การทำบุญการทำทานกลับทำให้จิตใจหิวและอยากน้อยลงไป คนที่ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆจะเป็นคนที่สมถะ อยู่แบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับความฟุ่มเฟือยต่างๆ เพราะใจไม่ได้หิวไปกับมันนั่นเอง ใจมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น มีโอกาสเมื่อไรก็ชอบช่วยเหลือผู้อื่น สงเคราะห์ผู้อื่น ชีวิตจึงมีแต่ความสบาย ไม่วุ่นวาย มีแต่เพื่อน ไม่มีศัตรู คนที่ต้องแสวงหาเงิน หาทรัพย์เพื่อมาซื้อของฟุ่มเฟือยนั้น มักจะมีศัตรูมาก มีคู่อริมาก เพราะต้องแข่งขันกัน หาเงินแข่งกัน หาอะไรๆแข่งกันไปเรื่อยๆ ก็ต้องกลายเป็นคู่ต่อสู้กันไปตลอด แต่คนที่ทำบุญทำทานอยู่อย่างสมถะ ไม่ต้องไปวุ่นวาย ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เพราะใจของเขามีความเมตตา มีความกรุณา ถ้าใครอยากจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็ยินดีที่จะสละให้ไป ไม่เป็นไร ไปหาที่อื่นก็ได้ ไปหาอย่างอื่นก็ได้ ถ้าชิ้นนี้มีคนต้องการ ก็ไม่ต้องไปแย่งกับเขา ให้เขาไป ไปหาอย่างอื่นก็ได้
เพราะบุญบารมีไม่ได้อยู่ที่วัตถุข้าวของ แต่อยู่ที่ใจที่รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง ถ้าไม่รู้จักให้ ไม่รู้จักปล่อยวาง ใจจะหิว จะเครียดอยู่ตลอดเวลา จะหาความสุขไม่ได้ ต่อให้มีอะไรมากน้อยเพียงไร ก็จะมีความเครียดกับสิ่งที่มีอยู่ เครียดเพราะกลัวว่าจะหมดไป เครียดเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาอีก เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการที่ไปแสวงหาสิ่งที่ไม่ใช่บุญบารมี คือไปแสวงหาลาภยศสรรเสริญสุข แบบโงหัวไม่ขึ้น เหมือนกับคนที่ติดยาเสพติด อย่างไรก็อย่างนั้น ความจริงคนเราไม่ต้องแข่งขันต่อสู้เพื่อลาภยศสรรเสริญสุข ก็มีลาภยศสรรเสริญสุขได้ ถ้าทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็มีเงินมีทอง มีคนยกย่องสรรเสริญเยินยอได้ ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน ได้มาก็ดี มีเหลือก็เอาไปช่วยเหลือคนอื่น เสริมสร้างบุญบารมีต่อไป ทำให้มีความสุข มีความร่มเย็นมากขึ้นไปเรื่อยๆ จึงอยากจะชวนเชิญให้ท่านทั้งหลาย ให้เห็นความสำคัญของการสะสมบุญบารมี เพราะเป็นอาหารที่แท้จริงของชีวิตจิตใจ ชีวิตของเราจะเจริญก้าวหน้าตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ ก็ต้องอาศัยบุญบารมีเป็นตัวพาไป
ขอให้ท่านทั้งหลายจงพยายามสะสมบุญบารมี เช่นทานบารมีคือการให้ ศีลบารมีคือการละเว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น เนกขัมมะบารมีก็คือการออกบวช บวชเป็นพระบวชเป็นชี เป็นนักบวช ละเว้นจากการหาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะต่างๆ ให้เจริญเมตตาบารมี มีไมตรีจิต มองทุกคนเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเหมือนตัวเรา ถ้าเราไม่เกลียดตัวเราๆก็ไม่เกลียดคนอื่น ถ้าเรารักตัวเราๆก็ต้องรักคนอื่น เพราะคนอื่นกับเราก็เป็นเหมือนกัน ต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครต้องการความเกลียดชัง ไม่มีใครต้องการความเดือดร้อน ความทุกข์ ความวุ่นวาย ถ้ามีเมตตาแล้วจะไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น ถึงแม้ผู้อื่นจะทำอะไรกับตนเองมากน้อยเพียงไรก็รู้จักให้อภัย ไม่ถือสาไม่โกรธเคือง คิดเสียว่าเป็นเหมือนลิ้นกับฟัน อยู่ด้วยกันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการผิดพลาด มีการพลั้งเผลอทำอะไรกันบ้าง แต่ถ้ารู้จักให้อภัยแล้ว เรื่องต่างๆก็จะสงบลง ไม่มีปัญหาอะไรตามมา แต่ถ้าไม่รู้จักให้อภัยก็จะกลายเป็นสงครามขึ้นมา ต้องอยู่แบบทุกข์ทรมานใจ นี่คือเมตตาบารมี แล้วก็ให้เจริญปัญญาบารมี ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ลองปฏิบัติธรรมดู นั่งสมาธิแล้วเจริญวิปัสสนาปัญญา ลองทำดู แล้วจะเห็นว่าเราสามารถเป็นคนฉลาดได้ สามารถรู้อะไรได้อีกมากมายก่ายกอง นี่คือบารมีต่างๆบางส่วนที่ได้แสดงมา ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้