กัณฑ์ที่ ๒๔๕       ๑๐ กันายน ๒๕๔๙

 

กฎธรรมดาของโลก

 

 

 

เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ตรงต่อความจริง สามารถนำความร่มเย็นเป็นสุข ความพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายให้แก่ผู้ปฏิบัติตามได้ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติอะไรก็ตาม สามารถปฏิบัติตาม และได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน จะนับถือศาสนาอื่นหรือไม่ก็ตาม จะเป็นชนชาติใด อายุใดวัยใด เพศใด หญิงหรือชาย ก็สามารถรับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้เท่าเทียมกันหมด เพราะพระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนกับยารักษาโรคของจิตใจ ซึ่งเป็นเหมือนกับยารักษาโรคทางร่างกาย ที่สามารถรักษาโรคของคนได้ทุกชาติชั้นวรรณะ ใช้ได้กับคนไทย คนจีน คนฝรั่ง ใช้ได้กับคนที่นับถือศาสนาต่างๆ ฉันใดพระพุทธศาสนาก็เป็นยารักษาโรคทางด้านจิตใจ คือความทุกข์ใจ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ ความเศร้าโศกเสียใจ ความหวาดกลัวต่างๆ ที่ศาสนาพุทธสามารถกำจัดได้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้ามีจิตศรัทธามีความเชื่อ แล้วนำไปปฏิบัติ จะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน

 

อย่างที่พวกพระเราทั้งหลายได้มาบำเพ็ญ มาปฏิบัติกัน เราคงได้เห็นผลบ้าง จากการนำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน มาใช้กับชีวิตของเรา มาเป็นเครื่องนำทาง เหมือนแสงสว่างในที่มืด ที่จะคอยชี้ให้เราเห็นว่า อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นโทษเราก็จะเดินหลีกเลี่ยงมันไป เดินเข้าหาแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เหมือนกับตอนกลางคืน ถ้าเราเดินในที่มืดไม่มีแสงสว่าง เราจะไม่รู้ว่ามีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า เราอาจจะเดินไปเตะสิ่งนั้นเดินไปชนสิ่งนี้ได้ แต่ถ้ามีแสงไฟ เช่นไฟฉายหรือไฟฟ้าเปิดไว้ ก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างหน้าเราได้ ถ้ามีเสาก็ไม่ต้องเดินไปชนเสา ถ้ามีหลุมก็ไม่ต้องเดินพลัดตกลงไป เพราะมีแสงสว่างให้เราเห็น ฉันใดชีวิตของเราก็เป็นเหมือนกับการเดินทางในที่มืด ถ้าปราศจากแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว เราก็จะเดินไปชนกับความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความเสียใจอยู่เสมอๆ เพราะใจของเรามืดบอด ขาดแสงสว่างแห่งธรรม ถ้าเป็นคนก็เหมือนกับคนตาบอด ที่จะเดินไปไหนตามลำพังด้วยตนเองคงจะเป็นไปได้ยาก โอกาสที่จะเดินไปได้อย่างปลอดภัย ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ ความเจ็บตามมา คงจะเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้ามีใครสักคนหนึ่งนำทางไป ก็พอที่จะพอถูไถไปได้ ถ้าไม่มีคนพาเดินก็ยังใช้สุนัขพาเดินแทนได้ ก็พอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย

 

ชีวิตของพวกเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าพาไป รับรองได้ว่าชีวิตของเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ กับความเจ็บช้ำน้ำใจ กับความเศร้าโศกเสียใจอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพาเราไป รับรองได้ว่าชีวิตของเราจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร จะไม่มีเรื่องวุ่นวายใจเท่าไร จะไม่เศร้าโศกเสียใจกับเรื่องราวต่างๆเท่าไร เพราะมีสิ่งที่คอยสอนคอยเตือนเรา ให้เรารู้จักเตรียมตัวรับกับสภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้นเอง เมื่อรู้ล่วงหน้าแล้ว เราเตรียมตัวเตรียมใจไว้ พอเหตุการณ์เกิดขึ้นเราก็จะไม่วุ่นวายใจแต่อย่างไร เพราะรู้ว่าจะต้องเจอมันอย่างแน่นอนนั่นเอง เช่นสมมุติว่าเรามีของชิ้นหนึ่ง เป็นของที่มีคนเขาเอามาฝากเราไว้ เรารู้ว่าของชิ้นนี้ไม่ใช่เป็นของเรา สักวันหนึ่งเจ้าของก็ต้องมาขอคืนไป เราก็ไม่ได้ไปคิดจะเก็บไว้ไปตลอด เมื่อเขามาเอาของคืนไป เราก็ให้คืนไปอย่างสบายอกสบายใจ ไม่รู้สึกเสียอกเสียใจอย่างใดเลย แต่ถ้าเป็นของที่เราไปคิดว่าเป็นของเรา เราอยากจะเก็บไว้กับเราไปตลอด พอวันดีคืนดีมันหายไปหรือถูกขโมยไป เราก็จะต้องเกิดความเสียใจขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันจะจากเราไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นคนหรือเป็นวัตถุต่างๆ ตามสายตาของผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า จะทรงรู้ว่ามันไม่ได้เป็นสมบัติของเราอย่างแท้จริง เรามีไว้ได้แต่จะต้องคืนเขาไปสักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เป็นเหมือนของที่เขามาฝากเราไว้นั่นเอง

 

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แต่พวกเราไม่รู้ไม่เห็นกัน พอเราได้อะไรมา เรามักจะคิดเสมอว่ามันเป็นของเรา เมื่อมันเป็นของเรามันต้องอยู่กับเราไปตลอด พอไม่เป็นไปตามที่คิด ก็เกิดความเสียอกเสียใจ เกิดความวุ่นวายใจตามมา เพราะเราหลง มีความมืดบอด ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆที่เรามีครอบครองไว้เป็นสมบัติ ว่ามันไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา มันเป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นสิ่งที่วนไปเวียนมา มาได้ก็ไปได้ แต่เรามักจะไม่คิดกันอย่างนั้น เราชอบคิดว่ามีอะไรแล้วจะต้องอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอด หรือสิ่งนั้นจะต้องอยู่กับเราไปตลอด เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็เท่ากับเป็นเหมือนกับคนตาบอดนั่นเอง ที่หลับตาเดินไปข้างหน้า แล้วก็คิดว่าข้างหน้าไม่มีเสา ไม่มีอะไรขวางทาง พอเดินไปก็ต้องเดินไปชนเสา ไปชนอะไรต่างๆ เพราะความจริงกับสิ่งที่คนตาบอดคิดนั้นไม่เหมือนกัน คิดว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างหน้า แต่ความจริงมีเสามีต้นไม้ มีหลุมมีบ่อ เมื่อเดินไปก็จะต้องไปชนเสาชนต้นไม้ ตกหลุมตกบ่อ เพราะมองไม่เห็น แล้วไปคิดว่าไม่มีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า ก็เลยต้องไปเจอปัญหา แต่ถ้ามีใครบอกล่วงหน้าไว้ก่อน ว่าข้างหน้านั้นมีหลุมมีบ่อ มีเสามีต้นไม้อยู่ข้างหน้านะ ต้องระวังนะ ถ้าเดินไปอย่างน้อยก็ค่อยๆเดิน แล้วก็ค่อยๆคลำไป เอามือยื่นไปข้างหน้า เอาเท้าค่อยๆยื่นไปข้างหน้า พอจะไปถูกอะไรเข้าก็จะรู้ว่า มีของอยู่ข้างหน้า ขวางทางอยู่ ก็จะเดินหลบได้

 

เช่นเดียวกันกับชีวิตของพวกเรา ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นเหมือนคนตาบอด จะคิดไปตามเรื่องของเรา คิดว่ามีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้แล้วมันต้องอยู่กับเรา ต้องให้ความสุขกับเราอย่างเดียว จะไม่ให้ความทุกข์ ไม่ให้ความวุ่นวายใจกับเรา แต่พอได้มันมาแล้วจึงรู้ทีหลังว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด สิ่งที่เราคิดว่าจะให้ความสุขกับเรา มันก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา เพราะจะต้องคอยกังวลคอยดูแลรักษา คอยห่วงมัน เวลาไปไหนมาไหนก็ไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้เอาติดตัวไปด้วย ถ้าทิ้งไว้ในบ้านกลัวขโมยขึ้นบ้านแล้วเอาของชิ้นนั้นไป นี่ก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ถ้ามันหายไปจริงๆก็ต้องเสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ นี่ก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง แทนที่จะให้ความสุขอย่างเดียว มันก็มีของแถมติดมาด้วย คือความทุกข์ความกังวลใจ แต่ถ้าเรารู้ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่า ของที่ได้มานั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม มันไม่ได้ให้ความสุขเราอย่างเดียว มันให้ความกังวลใจ ความทุกข์ใจด้วย ถ้าไม่รู้จักทำใจไว้ล่วงหน้าก่อน แต่ถ้าได้ทำใจ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ว่ามันจะไม่อยู่กับเราไปตลอด อาจจะถูกขโมยไป อาจจะเสีย อาจจะหัก  อาจจะพังไปก่อนเวลาที่ควรก็ได้ ถ้าคิดอย่างนี้ไว้ก่อนแล้ว ก็เท่ากับรู้แล้วว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอเราอยู่ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเช่นหายไป หรือเสียไป ก็จะไม่รู้สึกกังวล ไม่รู้สึกเสียใจวุ่นวายใจ เวลาไปไหนมาไหนทิ้งมันไว้ในบ้านก็ไม่กังวลใจ

 

ถ้าเราพร้อมที่จะรับกับสภาพความเป็นจริง มันจะอยู่ก็ให้มันอยู่ไป มันจะหายก็ให้มันหายไป เราทำอะไรไม่ได้ เวลามันหายไป มาร้องห่มร้องไห้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลายังอยู่กับเราๆก็กังวลมาก กลัวว่ามันจะหายไป มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเช่นเดียวกัน เพราะมันยังไม่หายไปมันยังอยู่ แต่ที่วุ่นวายที่มีความทุกข์ก็คือใจของเรา ที่มักจะเดินไปชนกับความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจกับเรื่องต่างๆ กับคนกับสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่มีธรรมะไว้สอนใจ ไว้เตือนใจ แต่ถ้ามีธรรมะคอยสอนคอยคุมใจแล้ว เราจะรู้ล่วงหน้าเลยว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามสักวันหนึ่งมันจะต้องเป็นไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นวัตถุ สักวันหนึ่งมันต้องแตก ต้องดับ ต้องสลาย ต้องเสีย ต้องพังไป นี่เป็นกฎธรรมดาของโลก ไม่มีใครไปห้ามได้ แต่สิ่งที่เราห้ามได้ก็คือความทุกข์ใจ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ ถ้ามีธรรมะไว้คอยเตือน คอยสอนเราอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน สักวันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป จากเราไป หรือเราต้องจากมันไป เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเรารู้ล่วงหน้าแล้ว เราจะไม่กังวล ไม่เสียอกเสียใจ ไม่วุ่นวายใจ เหมือนกับรู้ว่าของที่เขาเอามาฝากไว้กับเรานี้ ไม่ใช่เป็นของๆเรา เจ้าของจะมาเอาคืนไปในวันข้างหน้า พอเขามาขอคืนไปเราก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเรารู้ว่ามันไม่ใช่เป็นของๆเรานั่นเอง

 

พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้พวกเรารู้ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นของเรา เวลาเกิดเราก็มาตัวเปล่าๆ มาแต่ดวงจิตดวงใจเพียงดวงเดียวเท่านั้น แล้วก็ได้ร่างกาย เมื่อออกมาจากท้องแม่ก็ได้รับอาหาร ร่างกายก็เจริญเติบโต จนกลายเป็นรูปร่างหน้าตาอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็ยังได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้ข้าวของได้เงินทอง ได้รู้จักคนนั้นคนนี้ ได้สามี ได้ภริยา ได้ลูก ได้อะไรต่างๆตามมาอีกมากมาย แต่ของทั้งหมดนี้มันก็ไม่อยู่กับเราไปตลอด สักวันหนึ่งเมื่อร่างกายของเราไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ ร่างกายก็ต้องหยุดทำงาน ใจที่อยู่ในร่างกายนี้ ก็ต้องออกจากร่างไป ไปเกิดใหม่ ไปเริ่มต้นใหม่ เหมือนกับที่เรามาเริ่มต้นในชาตินี้ นี่คือความจริง ถ้าเราคิดกันสักหน่อย พิจารณากันสักหน่อย เราก็จะเห็น แต่พวกเราคิดไม่เป็น ไม่สนใจที่จะคิดกัน มัวแต่ยุ่งกับการหาความสุข มัวแต่ยุ่งกับการหาเงินหาทอง หาข้าวหาของ หาคนหาอะไรแล้วก็หลงยึดติดกับสิ่งที่หาได้มา พอเกิดความทุกข์ความวุ่นวายใจ ก็ไม่รู้จักวิธีแก้ไข เพราะไม่สนใจศึกษานั่นเอง ไม่เข้าวัดเข้าวากัน เข้าวัดก็ไม่สนใจที่จะฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่สนใจที่จะศึกษาร่ำเรียน มาทำบุญใส่บาตรถวายสังฆทานก็พอแล้ว เท่านี้ยังไม่พอ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเข้าวัด ก็คือการศึกษาให้รู้จักความจริงของชีวิตว่าเป็นอย่างไร ให้รู้จักความจริงของสิ่งต่างๆที่เราต้องไปเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็นอย่างไร

 

ถ้ารู้แล้ว ก็เท่ากับเปิดตาของเรานั้นเอง ตาของเราคือใจของเรา มันมืดบอด ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมะ แล้วเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วนำมาปฏิบัติกับชีวิตของเรา ก็เท่ากับได้เปิดตาใจของเรา ให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ให้รู้ทันกับสิ่งต่างๆ ให้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนพวกเราให้เจริญบทธรรมะนี้อยู่เสมอว่า เราเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็นธรรมดา ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นธรรมดา นี่คือธรรมะสอนใจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราสอนเตือนใจเราอยู่เสมอ ถ้าเตือนอยู่เรื่อยๆแล้ว จะได้ไม่ลืม เมื่อไม่ลืมก็จะไม่หลงไปยึดไปติดไปอยาก ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้คนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ให้ชีวิตของเรา ให้ร่างกายของเรา อยู่เหมือนกับที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ร่างกายของเราจะต้องแก่ลงไปเรื่อยๆ แก่ลงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เชื่อก็ดูคนที่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปีว่าเป็นอย่างไร แล้ววันนี้เราอายุเท่าไร ลองบวกเวลาเข้าไป สักวันหนึ่งก็จะต้องถึงเวลานั้นจนได้ จะต้องถึงอายุเจ็ดสิบปีแปดสิบปี แล้วสักวันหนึ่งก็จะต้องเป็นเหมือนกับคนที่นอนอยู่ในโลงในวันนี้ เพราะนี่เป็นความจริงที่พวกเราทุกคนไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ ไม่สามารถปฏิเสธได้ สิ่งที่เราสามารถหยุดยั้งได้ก็คือความทุกข์ใจ ถ้าเรารู้ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว เหมือนกับเรารู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เป็นของเรา เป็นร่างกายที่เรายืมเขามา เหมือนกับรถยนต์ที่เราไปยืมเขามา เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าของก็มาขอเอาคืนไป

 

ฉันใดร่างกายเราก็เป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ที่ได้ยืมมาจากคุณพ่อคุณแม่ของเรา แต่คุณพ่อคุณแม่ของเราก็ไม่ใช่เป็นเจ้าของที่แท้จริง เจ้าของที่แท้จริงก็คือธรรมชาติ คือดิน น้ำ ลม ไฟ สักวันหนึ่งดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะมาทวงเอากลับคืนไป เวลาคนตายไปก็จะกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ น้ำก็จะไหลออกมาจากร่างกาย ลมก็จะระเหยออกจากร่างกาย ความร้อนก็จะออกมาจากร่างกาย ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่นานก็ผุเปื่อยเน่า แล้วในที่สุดก็กลายเป็นดินไป นี่คือร่างกายของเรามันเป็นอย่างนี้ทุกๆคน แต่ใจของเราไม่ได้เป็นเหมือนกับร่างกาย มันไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจเป็นผู้รู้ เป็นผู้คิด เป็นผู้รับฟังธรรมะอยู่ในขณะนี้ ใจไม่ได้เป็นไปกับร่างกาย แต่เมื่อใจไม่มีธรรมะก็ไม่ฉลาด หลงคิดว่าร่างกายเป็นใจ ร่างกายเป็นอะไรก็เกิดความวิตก เกิดความวุ่นวายใจ เกิดความทุกข์ เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติกับจิตกับใจ พยายามปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของภายนอกกาย หรือแม้แต่ร่างกายนี้ ก็ต้องปล่อยวาง ก็จะไม่ทุกข์ ไม่ต้องไปยึดไปติดกับมัน ต้องเตรียมตัวที่จะคืนให้กับเจ้าของเดิม เหมือนกับเราคืนของที่เรายืมเขามา ฉันใดก็ฉันนั้นไม่ยากเย็นเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราคืนเงินทองที่เรามีเหลือใช้ก่อน เช่นวันนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเอาเงินมาคืนให้กับธรรมชาติ เพราะเงินนี้ไม่ใช่ของเรา เรามีเงินเหลือใช้เราเอามาคืนธรรมชาติด้วยการทำบุญ เอามาซื้อของถวายพระ อย่างนี้เหมือนกับเอาเงินคืนธรรมชาติ เป็นการหัดปล่อยวางเงินทองนั่นเอง

 

ถ้าปล่อยวางเงินทองเป็นแล้ว ต่อไปเวลาที่สูญเสียเงินทองไป เช่นมีใครมาลักเงินไป จะไม่รู้สึกเสียอกเสียใจ ไม่เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน เวลาเงินหายไปสักสิบบาทยี่สิบบาทจะเกิดความวุ่นวายใจ เกิดความเสียดาย เกิดความเสียอกเสียใจ เพราะมีความหวง มีความยึดมั่นติดอยู่กับเงินทองก้อนนั้นนั่นเอง แต่คนที่ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆจะรู้จักปล่อยวาง รู้จักตัดความผูกพันกับเงินทอง รู้ว่าเงินทองที่มีอยู่จะไม่ได้อยู่กับตนไปตลอด สักวันหนึ่งก็จะต้องกลายเป็นสมบัติของคนอื่นไป เวลาเงินถูกขโมยไป จะไม่รู้สึกเสียอกเสียใจ แต่กลับจะรู้สึกเฉยๆ หรือดีใจเสียด้วยซ้ำไปว่า เราได้ทำบุญ โดยไม่ต้องมาที่วัดให้เสียเวลา มีคนมาขอบุญถึงที่บ้าน เขาเดือดร้อนเขาจึงต้องมาขโมยเงินเราไป เขาเอาไปเขาก็ต้องเอาไปทำประโยชน์ เอาไปซื้อข้าวกิน หรือเอาไปทำอะไรก็สุดแท้แต่ มันก็เป็นเหมือนกับการทำบุญทำทาน โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยแรง อยู่บ้านก็มีคนมาให้เราได้ทำบุญ มาเอาเงินไปจากเรา ถ้าเคยทำบุญอยู่อย่างสม่ำเสมอ เคยให้เงินคนอื่นอยู่เสมอแล้ว จะรู้สึกเฉยๆ เมื่อยังมีเหลือใช้เหลือกินอยู่ก็ไม่เดือดร้อนอะไร หรือถ้าไม่เหลือกินก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้จักหา เดี๋ยวก็หาใหม่มาได้ จิตใจจะไม่ค่อยวุ่นวายกับเรื่องสมบัติต่างๆที่มีอยู่ ถ้ารู้จักปล่อยวางนั่นเอง

 

นี่คือการกระทำที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราทำกัน คือ ๑. ให้รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน มันจะจากเราไปเมื่อไรเราไม่รู้  ๒. ไม่เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เราไม่สามารถครอบครองมันไว้ไปตลอดอนันตกาล ร่างกายของเรานี้อายุแปดสิบเก้าสิบก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว ๓. จึงเป็นสิ่งที่ไม่ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง มีความทุกข์แถมมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น ถ้าไปหลงไปยึดไปติดแล้ว เวลาที่ต้องเสียมันไป จากมันไป จะต้องร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ เวลาที่อยู่กับเราก็ต้องมีแต่ความห่วง มีแต่ความกังวล มีแต่ความกลัว ว่ามันจะจากเราไป เป็นความทุกข์ ถ้าจะมีอะไรก็มีได้ แต่อย่าไปยึดอย่าไปติด อย่าไปหลง พร้อมเสมอให้มันจากเราไป พร้อมเสมอว่ามันไม่ใช่เป็นของเรา แล้วต้องฝึกหัดทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ มีอะไรที่เหลือกินเหลือใช้ก็อย่าเก็บเอาไว้ เอาไปแจกไปจ่ายคนอื่น เปิดดูตู้เสื้อผ้าดูบ้างว่า มีเสื้อผ้าอยู่มากน้อยเพียงไร มีรองเท้าอยู่มากน้อยเพียงไร เคยใช้มันบ้างหรือเปล่า หรือเก็บมันไว้เกะกะบ้าน ขนออกไปเสีย เอาไปแจกเอาไปจ่าย แล้วจิตใจจะเบาขึ้น ขณะนี้จิตใจมีความหนักอกหนักใจกับเรื่องราวต่างๆ เพราะไปยึดไปติดไปแบกมันนั่นเอง ต้องตัดมัน ต้องตัดอุปาทานความยึดติดอยู่ในสิ่งต่างๆ  ถามตัวเราเองว่า ของอันไหนที่ไม่มีความจำเป็น เราเก็บไว้ทำไม เก็บไว้แล้วก็จะมีแต่ความห่วง ความกังวล เอาไปให้คนอื่น แจกไปแล้วใจจะเบา ใจจะมีความสุข

 

นี่คือวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต ที่จะพาให้เราประสบแต่ความร่มเย็นเป็นสุข แคล้วคลาดปลอดภัย คือการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ ฟังหนเดียวอย่างวันนี้ยังไม่พอ เหมือนการรับประทานอาหาร กินข้าววันละมื้อยังไม่พอสำหรับญาติโยม ถ้ากินอาทิตย์ละครั้งเดียวยิ่งไม่พอใหญ่ ธรรมะฟังอาทิตย์ละครั้งนี้ยังไม่ค่อยพอ ควรจะฟังอยู่เรื่อยๆ อยู่บ้านควรจะเปิดเทปฟัง เปิดวิทยุฟัง หาหนังสืออ่าน เวลามีเวลาว่างๆอย่าไปทำอย่างอื่นที่ไม่มีสาระ ไม่มีคุณค่า เช่นเปิดโทรทัศน์ดูหนังดูละคร ดูการ์ตูน ที่ไม่มีสาระอะไร นอกจากไม่ได้ให้ปัญญาแล้ว ยังเสริมสร้างความหลงให้กับเราอีก เวลาดูโทรทัศน์เขาก็เอาของสวยๆงามๆมาโฆษณา พอเห็นก็อดที่อยากจะได้ไม่ได้ ก็ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อมา เมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องทุกข์กับมัน ต้องคอยดูแลรักษา ต้องมาเสียอกเสียใจเวลาที่มันจากเราไป แต่ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมะแล้วจะเกิดความฉลาด จะรู้ทันเรื่องราวต่างๆในโลกนี้ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม มันจะไม่กระทบกระเทือนใจเรา

 

เพราะจิตใจของเรามีธรรมะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกัน เหมือนกับใส่เสื้อเกราะไว้ เวลาถูกยิง ลูกกระสุนปืนก็จะไม่เข้ามาในร่างกาย ฉันใดถ้ามีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่กับใจตลอดเวลา ก็เหมือนกับมีเกราะป้องกันความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากความกลัว ความกังวล ความเสียใจ ความวุ่นวายใจ  จะไม่เข้ามาในจิตในใจของเราเลย จิตใจของเราจะเป็นจิตใจที่สงบ ที่สบาย ไม่มีปัญหากับใครทั้งสิ้น เมื่อรู้ทันแล้วว่าอะไรจะเกิด เมื่อมันเกิดก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นอะไร นี่คือสิ่งที่เราจะได้รับจากการเข้าหาพระพุทธศาสนา คือการหมดทุกข์ไปตามลำดับ จนหมดไปอย่างสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่เราจะรับได้จากพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดวัยใด เพศใด เราสามารถรับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้เท่าเทียมกันทุกคน จึงอยากจะขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วจะได้ประสบกับสิ่งที่ดีที่งามอย่างแน่นอน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้