กัณฑ์ที่ ๒๔๖ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๙
ดูแลจิตใจด้วยการทำบุญ
วันนี้พวกเราไม่ต้องไปทำการทำงานกัน มีเวลาว่างจากภารกิจต่างๆ จึงได้มาวัดเพื่อมาทำนุบำรุงดูแลรักษาชีวิตจิตใจของเรา เพราะชีวิตจิตใจก็มีความสำคัญเท่าๆกับร่างกาย ถ้าไม่ได้รับการดูแลด้วยปัจจัยสี่คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ร่างกายก็จะต้องชำรุดทรุดโทรม ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ผอมแห้งแรงน้อยและตายไปในที่สุด เพราะขาดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่ได้ จิตใจของเราก็เป็นเหมือนร่างกาย เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรา ชีวิตของคนเรานั้นมี ๒ ส่วนด้วยกัน มีกายและมีใจ กายก็ต้องได้รับการดูแลรักษา ใจก็ต้องได้รับการดูแลรักษา ปัจจัยสี่ของใจก็คือบุญและกุศล ที่เรามาบำเพ็ญกันในวันนี้นั่นเอง เช่นการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังเทศน์ฟังธรรม ที่เป็นปัจจัยสี่ของจิตใจ ถ้าไม่ได้รับการดูแลด้วยบุญด้วยกุศลแล้ว ใจก็จะผอมแห้งแรงน้อย ไม่มีกำลัง มีโรคภัยรุมเร้า มีความทุกข์ ความเศร้าหมอง คอยเบียดเบียนอยู่เรื่อยไป จะไม่มีที่พึ่งเวลาที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ จะไม่สวยงามเพราะไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามไว้ใส่ เหมือนกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามของร่างกาย
ใจก็ต้องการปัจจัยสี่เช่นเดียวกัน ใจมีความสำคัญมากกว่ากายหลายเท่า เพราะความสุขและความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นที่ใจกับที่กายนั้น มีความแตกต่างกันมาก ความสุขความทุกข์ทางกายมีอานุภาพน้อยกว่าความสุขความทุกข์ทางจิตใจ เป็น ๑ ต่อ ๑๐ เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วใจไม่ได้เจ็บตามไปด้วย ก็จะไม่รู้สึกอะไร ในทางตรงกันข้ามถ้าใจเจ็บด้วยความทุกข์ความเศร้าหมอง แต่ร่างกายไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างใด ก็ยังรู้สึกทรมานมาก เวลาใจมีความสุข แต่ร่างกายเจ็บ ความสุขใจก็จะทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บปวดไปกับร่างกาย เวลาที่ร่างกายมีความสุข จากการรับประทานอาหารจนอิ่ม ได้อาบน้ำอาบท่า ได้อยู่ในที่ปลอดภัย แต่ถ้าใจมีความว้าวุ่นขุ่นมัว ความว้าวุ่นขุ่นมัวก็จะกลบความสุขของร่างกายไปหมด เราจึงต้องเข้าใจว่า การดูแลร่างกายเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องดูแลจิตใจด้วย และต้องดูให้มากยิ่งกว่าร่างกาย ร่างกายนั้นถ้าพอมีพอกิน ก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย บ้านไม่จำเป็นต้องเป็นหลังละหลายร้อยล้านบาท อยู่บ้านเช่าก็ได้ ขอให้หลบแดดหลบฝนได้ ให้ปลอดภัยจากคนและสัตว์ ที่จะมาสร้างความเดือดร้อนก็พอแล้ว อาหารมื้อละ ๕๐ บาทก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องไปกินอาหารมื้อแพงๆ จานละห้าร้อย มื้อละหมื่น ไม่จำเป็น เพราะมันเท่ากัน กินแล้วก็อิ่มเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง
ถ้ามัวแต่บำรุงบำเรอร่างกาย จนไม่เหลียวแลจิตใจเลย ต่อให้ได้กินดีขนาดไหน อยู่ดีขนาดไหน ใจก็ยังต้องถูกความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความวุ่นวาย ความกังวลใจต่างๆรุมเร้าอยู่เสมอ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเราดูแลรักษาร่างกายแบบพอเพียง อยู่แบบสมถะ เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ฟุ่มเฟือย พอมีพอกิน กินอาหารธรรมดาแบบชาวบ้านเขากินกัน เขากินได้เราก็กินได้ พอให้ร่างกายได้รับอาหาร เพื่อจะได้ไม่หิว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็พอเพียงแล้ว เอาเงินเอาเวลามาดูเเลจิตใจดีกว่า อย่างวันนี้ญาติโยมก็เอาเงินมาทำบุญ ซื้อข้าวของต่างๆมาถวายพระ เท่ากับเป็นการให้อาหารกับจิตใจด้วยทาน คือการให้ และถ้ามีเวลาไม่กลับบ้านก็อยู่วัดรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ก็ได้บุญอีกระดับหนึ่ง คือบุญที่เกิดจากการรักษาศีล ศีล ๕ ก็ได้บุญระดับหนึ่ง ศีล ๘ ก็ได้บุญสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง คำว่าบุญก็คือความสุขใจนี้เอง ความอิ่มใจสบายใจ ปราศจากความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ นี้คือบุญ ถ้าไม่ได้มาทำบุญให้ทานอย่างในวันนี้ ไม่มารักษาศีล ไม่มาฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่มาปฏิบัติธรรม ก็เท่ากับไม่ได้ให้อาหารกับใจนั่นเอง เมื่อใจไม่ได้รับอาหารแล้วมันก็จะเป็นเหมือนร่างกาย จะไม่มีเรี่ยวมีแรง ไม่มีกำลังจิตกำลังใจ จะมีแต่ความวุ่นวายใจ ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวลใจอยู่เรื่อยๆ
การดูแลจิตใจด้วยการทำบุญ จึงเป็นวิถีทางของคนฉลาด ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่ได้นำเอาการดำเนินชีวิตแบบนี้ มาเผยแผ่มาสั่งสอนให้กับพวกเรา ถ้าพวกเรามีศรัทธาและความเชื่อแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ เราก็จะได้รับสิ่งที่ดีๆ จิตใจของเราจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความก้าวหน้า ความเจริญ จะเป็นที่รัก ที่ยกย่องสรรเสริญของผู้คน ที่ได้มาสัมผัสกับคุณธรรมความดีงาม ที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา เช่นเรารักษาศีลได้ เราจะเป็นคนที่เขาเชื่อใจไว้ใจ เพราะคนที่มีศีลย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง ทำอะไรก็จะเป็นที่เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน ไม่มีเล่ห์ ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีการโกหกหลอกลวง ไม่มีการเอาทรัพย์หรือสิ่งของของผู้อื่นมาโดยที่เขาไม่ได้อนุญาต อยู่กับใครที่ไหนก็จะไม่สร้างความกังวลใจให้กับคนที่อยู่ร่วมกัน คนที่อยู่ร่วมกันจะมีความสบายใจ จะลืมของไว้ที่ไหน จะมีของอะไรอยู่ในบ้าน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสูญหายไป เพราะคนที่มีศีลย่อมไม่เอาสิ่งของต่างๆ ของผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน จะไม่ทำร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่นเวลาที่โกรธหรือเสียใจ จะรู้จักหักห้ามจิตใจ เพราะมีศีลเป็นเครื่องคอยยับยั้งการกระทำที่ไม่ดีไม่งามนั่นเอง คนมีศีลจึงเป็นคนที่น่ารัก น่าชื่นชม น่าเชื่อถือ น่าไว้ใจ มีความสุข เพราะมีคนเคารพ มีคนรัก มีคนไว้ใจ
ต่างกับคนที่ไม่มีศีล เวลาคบค้าสมาคมกับใครก็ไม่มีใครอยากจะรู้จักมักคุ้นด้วย เพราะขยาดกลัว กลัวว่าจะมาเบียดเบียนด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นโดยถ่ายเดียว ผู้ใดมีการกระทำแบบนี้อยู่ในจิตใจของตนแล้ว จะไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย จะเป็นคนไร้เพื่อน ดีไม่ดีก็อาจจะต้องถูกแยกออกจากสังคม ถูกจับไปขังไว้ในคุกในตะราง เพราะปล่อยไว้ให้อยู่โดยอิสระไม่ได้ เพราะจะไปสร้างความเดือดร้อน ไปเบียดเบียนผู้อื่น นี้ก็คือสิ่งที่จิตใจของคนที่รักษาศีลจะได้รับ คือความสบายอกสบายใจ ไม่มีความกังวลว่าจะมีใครมาจับผิด มาจับไปขังในคุกในตะราง จับไปทำโทษด้วยวิธีการต่างๆ เพราะไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น จึงอยู่ได้อย่างสุขอย่างสบาย ไม่มีความกังวลใจ ต่างกับคนที่ทุ่มเทเวลากับการหาเงินหาทอง เพื่อบำรุงบำเรอทางด้านร่างกาย โดยไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม โกงได้ก็โกง โกหกหลอกลวงได้ก็โกหกหลอกลวง แล้วผลที่ตามมาก็คือ มีเงินมาก แต่มีแต่ความวุ่นวายใจ มีแต่คนรังเกียจ มีแต่คนไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย ไม่อยากจะอยู่ใกล้ คอยถูกขับไล่ ไปที่ไหนก็มีคนคอยไปโห่ไปขับไล่ เพราะไม่เป็นคนน่ารักน่ายินดีนั่นเอง อยู่ไปก็มีแต่จะสร้างความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
เพราะไม่รู้จักการดูแลรักษาใจนั่นเอง รู้แต่รักษากายกับรู้จักรักษากิเลส คือความโลภความอยากต่างๆ กิเลสอยากจะได้อะไรก็รีบไปหามาให้ อยากจะได้เสื้อผ้าชุดใหม่ๆมาใส่ ทั้งๆที่มีอยู่เต็มตู้ มีอยู่ล้นตู้แล้ว ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อมาอีก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเลี้ยงกิเลส ให้มีอำนาจมากขึ้น กิเลสมีอำนาจมากขึ้นเพียงใด ก็จะสร้างความเศร้าหมอง สร้างความทุกข์ใจให้มากเพียงนั้น กิเลสจึงต้องเป็นสิ่งที่เราต้องคอยกำจัด อย่าไปส่งเสริมมัน เวลาเกิดความโลภเราต้องใช้ธรรมะคือเหตุผล เข้ามาเป็นผู้เบรกกิเลส ถ้าสิ่งที่อยากได้นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่นเสื้อผ้ามันขาดหมดแล้ว ปะทุกตัว ขาดทุกตัว หรือมันคับใส่ไม่ได้แล้วทุกตัว อย่างนี้มันจำเป็นต้องซื้อมาใหม่ อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นกิเลส อะไรที่เป็นความจำเป็นไม่เรียกว่าเป็นกิเลส เรียกว่าเป็นธรรมะ เป็นความถูกต้องนั่นเองเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นเวลาเราจะต้องการอะไร ขอให้ใช้เหตุใช้ผล ถามตัวเองว่าสิ่งที่เราต้องการนี้มันจำเป็นไหม ถ้าไม่มีมันแล้วเราจะลำบากลำบนเดือดร้อนหรือตายไปหรือไม่ ถ้าคำตอบว่า ต้องตายแน่หรือต้องเดือดร้อนแน่ ลำบากลำบนแน่ อย่างนี้ก็ถือว่าจำเป็น ก็ต้องซื้อมา แต่ถ้ามันไม่เดือดร้อน ไม่ลำบากลำบน ไม่ถึงกับตาย ยังอยู่ได้อย่างสบาย ก็ไม่จำเป็น
เวลาอยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ๆ รองเท้าคู่ใหม่ๆ ของฟุ่มเฟือยต่างๆ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีมัน ไม่มีมันเราก็ไม่ตาย เราก็ต้องหักห้ามจิตใจ เพราะจะเป็นประโยชน์กับเรา ต่อไปใจจะไม่พยศ จะไม่ถูกกิเลสคอยเอาแส้มาตีให้วิ่งพล่านไปหมด ให้ไปหาสิ่งนั้นหาสิ่งนี้ เมื่อไม่ได้มาดังใจก็เกิดความเสียใจ เกิดความโกรธแค้นผู้อื่น ทำให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาอีกหลายๆกระทง แต่ถ้ารู้จักหักห้ามจิตใจแล้ว ใจจะสงบ เพราะไม่ต้องไปดิ้นรนหามา ได้มาแล้วก็ลืมมันไป ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาในวันนี้พรุ่งนี้ก็ลืมไปแล้ว เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่อีกก็อยากจะได้ใหม่อีก เห็นอะไรใหม่ๆก็อยากจะได้อีก เพราะของเก่าที่ได้มาแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรกับใจแล้ว ถึงแม้จะมีอยู่เต็มบ้านเต็มช่อง จนล้นตู้ ล้นบ้าน ก็ยังอยากจะได้ใหม่ มีรถสามสี่คันในโรงจอดรถ ก็ยังอยากจะได้อีก เวลาเห็นเขาโฆษณารถรุ่นใหม่ๆออกมา ก็อยากจะได้อีก โทรศัพท์มือถือก็แบบเดียวกัน ได้มาแล้ววันนี้ พรุ่งนี้ก็อยากจะได้รุ่นใหม่อีก เห็นเขาโฆษณาว่ารุ่นใหม่นี้ดีกว่ารุ่นเก่าอย่างนั้นอย่างนี้ มีอย่างนั้นมีอย่างนี้เพิ่มเติมขึ้นมา ก็เกิดกิเลสแล้ว ทั้งๆที่ไม่รู้จะเอาไปใช้มันอย่างไร ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ใช้มัน ซื้อมาก็เพียงแต่โทรเข้าโทรออกเท่านั้นเอง ส่วนสิ่งใหม่ๆที่ใส่มากับเครื่องก็ใช้ไม่เป็น เพราะขี้เกียจเรียน ขี้เกียจศึกษา
นี้คือเรื่องของกิเลส มันเป็นอย่างนี้ จึงต้องใช้ธรรมะเข้ามาสกัด ธรรมะก็คือบุญนี้เอง คือเหตุ คือผล เรียกว่าปัญญา เราต้องรู้จักคิดใคร่ครวญว่ามันจำเป็นหรือไม่ ถ้ามันไม่จำเป็นก็อย่าไปเอามา เก็บเงินเก็บทองไว้ทำบุญดีกว่า เพราะทำบุญแล้วมีความสุข จิตใจสงบ จิตใจเย็น จิตใจสบาย เวลาไม่มีเงินไม่มีทอง ใจก็จะไม่เดือดร้อนอะไร เพราะไม่หิวกับอะไรนั่นเอง ไม่ต้องการเสื้อผ้าใหม่ ไม่ต้องการรองเท้าใหม่ ไม่ต้องการของใหม่ๆ เพราะรู้จักหักห้ามจิตใจ คนที่ไม่รู้จักหักห้ามจิตใจนั้น ต่อให้มีเงินมากน้อยเพียงไรก็จะไม่พอใช้ ใช้เท่าไร ซื้ออะไรมามากน้อยเพียงใดก็ไม่พอ อยากจะได้ของใหม่ๆเสมอ เมื่อเป็นเช่นนั้นเวลาทำมาหากินด้วยวิธีสุจริตยังไม่เพียงพอ ก็เลยต้องไปทำด้วยวิธีที่มิชอบ วิธีที่ทุจริต ไปลัก ไปโกง ไปหลอกลวง ไปฆ่าผู้อื่น ที่นำโทษมาให้กับตนเอง ต้องเข้าคุกเข้าตะราง หรืออยู่แบบหวาดกลัวหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะถูกจับไปลงโทษเมื่อไร เพราะไม่รู้จักดูแลรักษาชีวิตจิตใจของตนเอง คนที่รู้จะต้องแบ่งการดูแลร่างกายและจิตใจ ให้พอสมควรกับความต้องการของแต่ละส่วน ร่างกายก็มีปัจจัยสีที่พอเพียง พออยู่พอกิน เสื้อผ้ามีพอสมควร กินอาหารพอสมควรกับฐานะ ไม่จำเป็นจะต้องกินแบบราคาแพงๆ นานๆทีก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากจะกินเชลล์ชวนชิมบ้าง ก็ขับรถไปกินในโอกาสสำคัญๆ เช่นวันเกิด แต่อย่าทำจนติดเป็นนิสัย เพราะมันเสียเงินเสียทองมาก ทำให้ต้องเดือดร้อนไปหาเงินหาทองมา เพื่อใช้จ่ายกับความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ มันไม่คุ้มค่ากัน ดูแลมันพอสมควร เสื้อผ้าก็พอสมควร อาหารก็พอสมควร บ้านก็พอสมควร ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องเป็นปราสาทราชวัง มีตามฐานะ พอเพียงต่อการดูแลรักษาร่างกาย
ถ้ามีเงินเหลือมีเวลาเหลือจากภารกิจการงาน ก็จะได้มาวัด มาดูแลรักษาใจ ถ้ามัวแต่หาเงินหาทองเพื่อบำรุงบำเรอร่างกาย บำรุงบำเรอกิเลสตัณหา ความฟุ้งเฟ้อ ความฟุ่มเฟือยต่างๆ จะไม่มีเวลาดูแลรักษาจิตใจ ที่จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เหี่ยวแห้งลงไปเรื่อยๆ มีความทุกข์ ความวุ่นวายใจกังวลใจ ความเศร้าหมองเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะแก้ด้วยวิธีที่ผิด เวลาไม่สบายใจก็คิดว่า ไปช็อปปิ๊งไปใช้เงินสักหน่อยแล้วก็จะสบายใจ ไปกินเหล้า เข้าผับ เข้าบาร์ เข้าอาบอบนวด เพื่อนวดร่างกายแล้วจะสบายใจ ซึ่งเป็นการดูแลรักษาจิตใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะไปดูแลกิเลส ไปดูแลร่างกาย เวลาไม่สบายใจ แล้วไปอาบอบนวด จะสบายใจได้อย่างไร เพราะความไม่สบายใจเกิดจากการขาดบุญขาดกุศลนี้เอง ต้องทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งทำสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ ฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งเป็นการดูแลรักษาจิตใจที่ถูกต้อง ทำให้จิตใจมีอาหาร มียารักษาโรคของใจ มีที่พึ่งทางใจ มีความสวยงามสง่าราศี เพราะศีลทำให้มีสง่าราศี เหมือนกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่สวยงามไม่หล่อเหลา แต่มีความประพฤติที่ดี คนก็ยินดีที่จะคบค้าสมาคม ยินดีที่จะเป็นเพื่อน ยินดีที่จะสนับสนุน แต่คนที่ไม่มีศีล แต่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามหรือหล่อเหลา ก็เป็นเหมือนกับดอกไม้ที่มีรูปสวย แต่ไม่มีกลิ่นหอมหรือมีกลิ่นเหม็น ไม่น่าชื่นชมยินดี เวลาดูไกลๆก็พอดูได้ พอเข้ามาใกล้ๆ ได้ดมกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาก็ไม่อยากจะเข้าใกล้
คนเราก็เป็นเหมือนดอกไม้ บางคนก็สวยทั้งรูปสวยทั้งใจ มีศีลมีธรรมมีรูปร่างหน้าตาที่ดี ก็เหมือนกับดอกไม้ที่รูปสวยและมีกลิ่นหอม บางคนก็มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่ไม่มีศีลธรรมความสวยงามทางด้านจิตใจ ก็เป็นเหมือนดอกไม้ที่มีรูปสวยแต่ไม่มีกลิ่นหอม หรือมีกลิ่นเหม็นนั่นเอง บางคนก็อาภัพวาสนา รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยงาม แถมไม่สนใจที่จะเสริมความงามทางด้านจิตใจด้วยการทำบุญรักษาศีล ก็จะเป็นเหมือนกับดอกไม้ที่มีรูปไม่สวยและมีกลิ่นที่เหม็น บางคนรู้ว่าร่างกายเป็นวิบากกรรมที่เคยทำมาในอดีต ทำให้มีรูปร่างหน้าตาไม่สวยงาม แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าสามารถทำให้ใจของตนสวยงามได้ ก็พยายามทำบุญทำทาน พยายามรักษาศีล ทำตนให้เป็นคนดี อย่างนี้ก็ยังถือว่าเป็นคนที่สวยงามอยู่ เพราะสวยทางใจ แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่สวยก็ตาม แต่คนที่ได้รู้จักมักคุ้นแล้ว จะไม่สนใจกับเรื่องของรูปร่างหน้าตา แต่จะชอบจะชื่นชมยินดีกับความสวยงามของจิตใจ เช่นพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลาย ท่านก็โกนศีรษะ รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยงามเหมือนกับญาติโยมที่มีเผ้ามีผม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆงามๆใส่ แต่เรากลับมีความเชื่อใจ มีความไว้วางใจ มีความชื่นชมยินดีในพระสงฆ์องค์เจ้า เพราะท่านสวยทางด้านจิตใจ ท่านมีศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
นี้คือเรื่องของการดูแลรักษาใจ ที่เราควรให้ความสำคัญมากกว่าการดูแลรักษาร่างกาย เวลาของคนเรานั้นมีไม่มาก อย่าหมดไปกับการทำมาหากิน แล้วก็เอาเงินที่หาได้มา มาเลี้ยงกิเลส ซื้อของฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อต่างๆ สู้ทำมาหากินพอประมาณ ได้เงินพอประมาณ พอเลี้ยงดูปากท้องแล้ว ถ้ามีเหลือบ้างก็เอาไปทำบุญทำทาน เพื่อจะได้เอาเวลาที่มีเหลือมาวัดบ่อยๆ ในเบื้องต้นอาจจะมาเช้าเย็นกลับ เช่นมาทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างที่ญาติโยมมากระทำกันในวันนี้ ต่อไปก็อาจจะมาอยู่ค้างคืน มาอยู่ที่ละ ๓ คืน ๕ คืน ๗ คืน ก็สุดแท้แต่ ถ้าไม่มุ่งไปกับการหาเงินเพื่อมาเลี้ยงกิเลส เลี้ยงความฟุ้งเฟ้อความฟุ่มเฟือยแล้ว เราจะมีเวลาว่าง แทนที่จะต้องทำงานอาทิตย์ละ ๕ วัน เราทำงานอาทิตย์ละ ๒ - ๓ วันก็พอแล้ว มีเวลาเหลือมาเข้าวัด มาปฏิบัติธรรม มาดูแลรักษาใจของเราดีกว่า เพราะความสุขใจนั้นสำคัญกว่าความสุขกาย ถ้ากายสุขแต่ใจทุกข์แล้ว ความสุขของกายจะถูกความทุกข์ของใจกลบไปหมดเลย ในทางตรงกันข้ามถ้าทุกข์กายแต่สุขใจ เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ใจเป็นสุขมีความสงบ ความทุกข์กายจะไม่มากระทบกระเทือนกับความสุขของใจ จะรู้สึกเฉยๆกับความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย เพราะความสุขของใจเป็นเหมือนเกราะคุ้มกัน ไม่ให้ความทุกข์ของกายเข้ามากระทบกับจิตใจ ความสุขในจิตใจจะไม่ถูกความทุกข์กายมาลบล้าง
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความสุขกายแต่มีความทุกข์ใจ ความทุกข์ใจก็จะไปลบไปกลบความสุขทางร่างกายให้หมดไป สังเกตดูเศรษฐีทั้งหลายเขาไม่มีความทุกข์ทางร่างกาย มีอาหารการกิน มีอะไรต่างๆพร้อมบริบูรณ์ แต่เขามีจิตใจที่วุ่นวาย ต้องกังวลกับทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ จึงไม่ค่อยมีความสุขใจเหมือนกับคนยากจน ที่ร่างกายถึงแม้จะไม่ได้รับการดูแลอย่างฟุ่มเฟือยอย่างฟุ้งเฟ้อ แต่ก็พออยู่พอกิน คนรวยมักจะมีโรคต่างๆ เพราะความเครียด ความทุกข์ความกังวลใจ เวลาจะกินอะไรก็กินไม่ได้ กินอันนั้นก็ไม่ได้ กินอันนี้ก็ไม่ได้ กินของดีๆแล้วมักจะทำให้เกิดปัญหา เช่นเกิดความดัน เกิดเบาหวาน เกิดไขมันขึ้นมาในร่างกาย แต่คนจนกินอาหารถูก ๆ มีแต่ผักมีแต่ข้าว มีน้ำพริกที่เอร็ดอร่อย กินได้เต็มที่ ไม่มีผลเสียกับร่างกาย นี้คือความแตกต่างระหว่างร่างกายและจิตใจ ใจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าใจเป็นสุขแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะยากจะลำบากอย่างไร ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ก็ยังมีความสุขอยู่ แต่ถ้าใจมีความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ต่อให้อยู่ในปราสาทราชวัง ก็จะไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ
พระพุทธเจ้าทรงเน้นไปที่การดูแลรักษาใจเป็นหลัก เพราะเคยประทับอยู่ในปราสาทราชวังมาก่อน รู้ความวุ่นวายใจของคนที่อยู่ในวังว่าเป็นอย่างไร จึงได้ทรงสละราชสมบัติออกบวช ไปอยู่แบบขอทาน อยู่กับดินกินกับทราย แต่กลับมีความสุขใจอย่างสูงสุด ที่เรียกว่าปรมังสุขัง เพราะทรงเห็นความสำคัญของใจ เห็นประโยชน์ของการอยู่แบบขอทานแต่ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ได้ความอิ่มเอิบใจความพอนั้นเอง คนที่อยู่ในวังกลับมีแต่ความอยาก ความหิว ความกังวล ความวุ่นวายใจ ไหนจะต้องคอยดูแลรักษาสมบัติ ไหนจะต้องหามาใหม่มาเพิ่ม ในแต่ละวันมีค่าใช้จ่ายมาก มีบริษัทมีบริวารมาก วันหนึ่งๆต้องหมดเงินเป็นหมื่นเป็นแสน ก็ต้องวุ่นวายกับการหาเงินหมื่นเงินแสนมาดูแลค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้อยู่ทุกวัน แต่คนขอทานไม่ต้องเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เช้าก็ถือบาตรเข้าไปในหมู่บ้าน ได้อะไรมาก็กินไปตามมีตามเกิด อดบ้างขาดบ้างก็ไม่เป็นไร แต่จิตใจไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์ ไม่กังวล มีแต่ความสงบ มีแต่ความสุข เพราะมีบุญคอยบำรุงดูแลรักษาอยู่เสมอ พระที่อยู่ในป่า ท่านมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีธรรมะ คอยดูแลรักษาจิตใจให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข สบายอกสบายใจ ไม่หิวไม่อยากกับอะไรทั้งสิ้น
นี่แหละคือวิธีดูแลรักษาชีวิตจิตใจของเราอย่างถูกต้อง ด้วยการดำเนินตามวิถีชีวิตของพระพุทธเจ้า ร่างกายก็เอาพอมีพอกิน ดังที่ในหลวงทรงตรัสไว้เสมอว่า เศรษฐกิจพอเพียง อย่าฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เอาเท่าที่จำเป็น ส่วนที่ไม่จำเป็นอย่าไปเอามัน จะสร้างความวุ่นวาย ความเดือดร้อนให้กับจิตใจ จะได้มีเวลามาสร้างบุญ สร้างกุศล อย่างที่ญาติโยมได้มาทำกันในวันนี้ มีคนอีกเยอะที่ไม่มีบุญวาสนามาวัด เพราะทำงานมา ๕ วันแล้ว พอวันหยุดก็ต้องไปเลี้ยงกิเลสต่อ ต้องไปกินเหล้าเมายา ไปเที่ยวเฮฮา ไปดูไปฟังอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นการเลี้ยงดูกิเลสทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นการดูแลจิตใจ ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง เที่ยวเท่าไร หัวเราะกันเท่าไร ก็ฝืนเที่ยว ฝืนหัวเราะไปอย่างนั้นเอง พอกลับบ้านก็นอนก่ายหน้าผาก มีแต่ความว้าเหว่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ไม่เหมือนกับคนที่มาทำบุญ กลับไปบ้านก็มีความรู้สึกอิ่มเอิบใจมีความสุข ไม่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างไรเลยนี่คืออาหารของใจ คือการทำบุญทำทาน สร้างกุศลด้วยวิธีการต่างๆ จึงขอฝากเรื่องการดูแลรักษาใจ ด้วยบุญด้วยกุศล อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มาบำเพ็ญกันนี้ ขอให้บำเพ็ญมากยิ่งๆขึ้นไป ตัดความฟุ้งเฟ้อ ความฟุ่มเฟือยต่างๆให้น้อยลงไป เพื่อชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข ก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งๆขึ้นไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้