กัณฑ์ที่ ๒๕๔       ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙

 

ศรัทธา ปสาทะ ฉันทะ วิริยะ

 

 

 

การที่เราจะมาวัดกันได้นั้น ต้องมีเหตุปัจจัยที่สนับสนุนส่งเสริม คือต้องมีศรัทธา ความเชื่อ  ปสาทะ ความเลื่อมใส    ฉันทะ ความยินดี  วิริยะ ความพากเพียร  ถ้ามีเราก็จะมาวัดกันอย่างสม่ำเสมอ มาทำบุญทำทาน  มารักษาศีล  มาฟังเทศน์ฟังธรรม  มาปฏิบัติธรรม  ถ้าไม่มีเราก็จะไม่มาวัดกัน ดังนั้นสิ่งที่เราควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในเบื้องต้นก็คือ ศรัทธาความเชื่อ ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ศึกษาพระประวัติที่โดดเด่นดีเลิศของพระพุทธเจ้า และของพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย  เมื่อได้ทราบถึงความวิเศษของพระพุทธเจ้า  ของพระอริยสงฆ์สาวก ของพระธรรมคำสอนอันประเสริฐแล้ว ก็จะเกิดศรัทธาความเชื่อ  ปสาทะความเลื่อมใส ฉันทะความยินดี  ที่จะเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกได้ดำเนินมา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้ทำความดี ละบาป และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  ด้วยการชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง เหตุที่สร้างความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเศร้าหมองให้กับจิตใจ ให้หมดสิ้นไป 

 

การที่ได้ศึกษาได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนก็ดี ได้ศึกษาพระพุทธประวัติและประวัติของพระอริยสงฆ์สาวกก็ดี ก็เหมือนกับได้ดูโฆษณาสินค้าต่างๆทางโทรทัศน์หรือในหนังสือพิมพ์นั่นเอง  เวลาที่บริษัทต่างๆต้องการจะขายสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ก็ดี โทรทัศน์ก็ดี โทรศัพท์มือถือก็ดี ถ้าไม่โฆษณา คนก็จะไม่รู้ว่ามีขายอยู่ตามท้องตลาด แต่ถ้าได้โฆษณาตามสื่อต่างๆ คนที่ได้ดูได้เห็นก็จะเกิดความเลื่อมใส  เกิดศรัทธา เกิดความยินดี อยากจะซื้อสินค้าเหล่านั้น   นี้คือวิธีที่จะทำให้เกิดศรัทธาความเชื่อ  เกิดปสาทะความเลื่อมใส เกิดฉันทะความยินดีที่จะซื้อสินค้าต่างๆ  ฉันใดพระพุทธศาสนาก็เป็นสินค้า ที่เลิศที่วิเศษกว่าสินค้าต่างๆในโลกนี้  เพราะถ้าผู้ใดสามารถเอาธรรมะมาเป็นสมบัติของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  จะอยู่อย่างแคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว  แต่ปัญหาของธรรมะก็คือ ไม่ค่อยมีการโฆษณากันเท่าไร เพราะไม่มีงบประมาณที่จะใช้โฆษณา หนังสือธรรมะที่พิมพ์แจกกันก็มีแต่ก็ไม่มาก ไม่เหมือนกับการโฆษณาสินค้าตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์   โทรทัศน์หรือวิทยุ  เพราะต้องใช้เงินใช้ทองมาก ธรรมะจึงไม่ค่อยปรากฏให้เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปเท่าไร

 

ถึงแม้จะเป็นพุทธศาสนิกชน  ก็เป็นพุทธศาสนิกชนแต่ชื่อในทะเบียนบ้านเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าเป็นพุทธศาสนิกชนต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร เพราะไม่โฆษณานั่นเอง ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ว่าพุทธศาสนาวิเศษเลิศโลกอย่างไร  มีคุณมีประโยชน์อย่างไร ถ้าเราจะรอให้มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆ ก็จะไม่ทันการณ์ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ค่อยเห็นมีการโฆษณาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เหมือนกับการโฆษณาสินค้าต่างๆ จิตใจของพวกเราจึงมีแต่เรื่องสินค้าต่างๆ  วันหนึ่งคืนหนึ่งก็คิดถึงแต่สินค้าต่างๆ ที่อยากจะได้  มีใครไม่อยากจะได้รถยนต์บ้าง  มีใครไม่อยากจะได้โทรศัพท์มือถือบ้าง  มีใครไม่อยากจะไปเที่ยวตามที่ต่างๆบ้าง ก็เพราะมีโฆษณาคอยประโคมใส่หูใส่ตาเราอยู่ตลอดเวลา จนฝังอยู่ในจิตในใจ บางที่นอนหลับไปยังฝันถึงสิ่งเหล่านี้เลย ถ้าอยากจะมีธรรมฝังอยู่ในจิตในใจเหมือนกับสินค้าต่างๆ เราก็ต้องเข้าหาธรรมะกันอย่ารอให้ธรรมะมาหาเราทางโฆษณา เพราะจะไม่มีโอกาสมา  เพราะทางธรรมะไม่มีเงินที่จะมาทุ่มเทโฆษณาเหมือนกับสินค้าอื่นๆ เพราะธรรมะเป็นสินค้าที่ไม่เก็บเงินเก็บทอง  ธรรมะเป็นธรรมทาน เป็นการให้จากพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวก โดยไม่คิดเงินคิดทองแม้แต่บาทเดียว   เมื่อไม่มีรายได้จากการแจกจ่ายธรรมะ ก็เลยไม่มีงบประมาณที่จะนำไปโฆษณา เพื่อสร้างศรัทธาปสาทะฉันทะวิริยะให้เกิดขึ้นมา  

 

พุทธศาสนิกชนจึงต้องเป็นผู้เข้าหาธรรมะ  เข้าหาวัดอยู่เรื่อยๆ   มาฟังเทศน์ฟังธรรม  ถ้ามีหนังสืออ่านก็หยิบขึ้นมาอ่านเรื่อยๆ  พยายามหาหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้า   หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของพระอริยสงฆ์สาวก  หนังสือที่เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง เมื่อได้อ่านได้ศึกษาแล้วจะเกิดศรัทธาปสาทะขึ้นมาอย่างแน่นอน  เพราะไม่มีอะไรที่จะเลิศ ที่จะประเสริฐ เท่ากับพระพุทธเจ้า เท่ากับพระอริยสงฆ์สาวก เท่ากับพระธรรมคำสอน  เพราะสิ่งต่างๆที่ท่านได้ประพฤติได้ปฏิบัติมานี้  ล้วนเป็นแบบฉบับอันดีงาม มีใครบ้างในโลกนี้ที่อยู่เหนือความโลภ ความโกรธ ความหลงได้  มีใครบ้างที่อยู่เหนือความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจได้ ไม่มี นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกแล้ว  ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่มีความโลภ  ไม่มีความโกรธ   ไม่มีความหลง  เมื่อมีแล้วก็ต้องมีความทุกข์  มีความวุ่นวายใจ มีความกังวลใจตามมา  เพราะความโลภ  ความโกรธ  ความหลงนี้แล คือ เหตุของความทุกข์ ของความเศร้าหมอง ของความกังวล ของความวุ่นวายใจต่างๆนั่นเอง นี้คือสิ่งที่พวกเราไม่มีกัน แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกมีกัน แต่เราไม่รู้ เพราะไม่ได้ศึกษากัน แต่ถ้าได้ศึกษาแล้วก็จะมีความยินดี มีความปรารถนาที่อยากจะเป็นเหมือนพระพุทธเจ้า เป็นเหมือนพระอริยสงฆ์สาวก

 

มีใครบ้างที่อยากจะร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ กังวลใจ ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ ไม่มีใครอยากจะทุกข์  ไม่มีใครอยากจะร้องห่มร้องไห้กัน แต่ทำไมเรายังต้องทุกข์  ยังต้องร้องห่มร้องไห้กัน ก็เพราะยังมีความหลงอยู่ ขาดธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ถ้าได้ธรรมะเข้ามาสู่ใจแล้ว ต่อไปก็จะไม่หลงกับสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ เมื่อไม่หลงแล้วก็จะไม่ทุกข์กับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติข้าวของเงินทองหรือบุคคลต่างๆ ที่เรารักมีความผูกพันด้วย เพราะมีธรรมะคอยสอนคอยเตือนเราเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรในโลกนี้ ล้วนเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนทั้งนั้น  ไม่มีอะไรเป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา ไม่มีอะไรจะอยู่กับเราไปตลอด นี้คือแสงสว่างแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสั่งสอน ให้พวกเราได้มีแสงสว่างนำทาง พาชีวิตของเราไปสู่ความสุขความสบาย ไกลจากความทุกข์ทั้งหลาย อยู่ที่ธรรมะคำสอนและอยู่ที่เราจะนำเอามาปฏิบัติ  ถ้านำเอามาปฏิบัติแล้ว จะอยู่ห่างไกลจากความทุกข์ต่างๆได้อย่างแน่นอน  สิ่งที่เราต้องทำก็คือ น้อมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้มีปัญญา มีความฉลาดมาใส่ใจเรา ให้รู้ทันกับสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ ที่เราไปเกี่ยวข้อง ไปสัมผัส ไปผูกพัน ไปหลงติดอยู่ ว่าไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริงกับเรา ล้วนเป็นความทุกข์ ที่เราจะต้องแบกต้องหาม อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น 

 

สิ่งต่างๆในโลกนี้ที่เราควรรู้ทันก็คือ โลกธรรม ๘ ธรรมที่พวกเราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ ๘ ชนิด หรือ ๔ คู่ด้วยกันคือ  ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  ที่เจริญและเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีเจริญลาภก็มีเสื่อมลาภ มีทุกข์ก็มีสุข  มีสรรเสริญก็มีนินทา  มีเจริญยศก็มีเสื่อมยศ เป็นนายกฯวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นแล้ว คนอื่นมาเป็นแทน เป็นอะไรก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นไปตลอด  เช่นวันนี้เป็นวันที่ ๑ ตุลาคม เป็นวันที่ข้าราชการที่มีอายุครบ ๖๐ ปี ตั้งแต่นายพลลงมาจนถึงพลทหาร ก็หมดสภาพจากการเป็นนายพล จากการเป็นพลทหารไป เพราะมีเจริญก็มีการเสื่อมเป็นธรรมดา  มีการเจริญยศก็มีการเสื่อมยศ  ตอนเริ่มต้นเป็นทหารใหม่ๆก็เป็นพลทหารบ้าง  เป็นว่าที่ร้อยตรีบ้าง  แล้วก็ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆตลอดระยะเวลา  ๓๐  ๔๐ ปี  พอถึงอายุ ๖๐ ปี  ในวันที่ ๑ ตุลาคม ยศต่างๆ ที่ได้มาก็กลายเป็นอดีตไป  กลายเป็นความทรงจำไป นี้คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มีมาก็มีไปเป็นธรรมดา ใจที่ต้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าไม่รู้ทันก็จะไม่สบายอกไม่สบายใจ  วุ่นวายใจ กังวลใจ เสียใจ เวลาที่จะต้องไปประสบกับความเสื่อมของสิ่งเหล่านี้  เช่นเวลาสูญเสียเงินทองไปก็เสียใจ สูญเสียตำแหน่งไปก็เสียใจ  สูญเสียการสรรเสริญเยินยอ  มีแต่คนด่าว่านินทาก็เสียใจ สูญเสียความสุขไปมีแต่ความทุกข์เข้ามารุมเร้าจิตใจ ก็เกิดความเสียใจตามมา

 

แต่คนที่มีปัญญามีแสงสว่างแห่งธรรม  ได้ศึกษา ได้เล่าเรียน ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องของความเสื่อมของสิ่งต่างๆในโลกนี้ว่าเป็นธรรมดา  เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน ก็จะไม่เดือดร้อนแต่อย่างไร มีสุขก็ต้องมีทุกข์  มีสรรเสริญก็ต้องมีนินทา มีลาภยศก็ต้องมีการเสื่อมลาภเสื่อมยศไป ถ้ารู้ล่วงหน้าไว้ก่อนเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เวลาลาภยศสรรเสริญสุขเสื่อมไป ก็จะไม่เสียใจวุ่นวายใจ เพราะใจเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เสื่อมไปกับลาภยศสรรเสริญสุขนั่นเอง  ใจไม่ได้เสื่อมไปกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพียงแต่ใจไปหลงไปยึดไปติดเท่านั้นเอง เมื่อมีความหลง  มีความยึดติดก็มีความอยาก ที่จะให้สิ่งที่ยึดติดอยู่กับตนไปนานๆ อยู่กับตนไปตลอด  แต่มันเป็นสิ่งที่ฝืนความจริง ฝืนธรรมชาติ  เป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์สาวกก็ยังจะต้องประสบกับความเสื่อมต่างๆเหล่านี้ ต่างกับพวกเราตรงที่ท่านไม่เสียใจ ไม่เศร้าโศก  ไม่กังวล ไม่วุ่นวายใจ เพราะจิตใจของท่านมีธรรมะไว้คอยป้องกันนั่นเอง เปรียบเหมือนกับยาที่คอยป้องกันโรคต่างๆ  เช่นถ้าเรารู้ว่าจะมีโรคระบาดเกิดขึ้น เช่นโรคอหิวาต์ เราก็ไปฉีดยาป้องกันไว้ก่อน  เมื่อฉีดแล้วเวลามีเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกาย มันก็ไม่สามารถทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เพราะมียามีภูมิคุ้มกันนั่นเอง

 

ธรรมะก็เป็นเหมือนยาเป็นภูมิคุ้มกันของจิตใจ ที่เราต้องคอยฉีดอยู่เรื่อยๆ ต้องคอยเอามาเตือนสติอยู่เรื่อยๆ อย่าปล่อยให้ห่างไกลจากตัวเรา ให้เป็นเหมือนกับอาวุธคู่กายของเรา เช่นเดียวกับตำรวจกับทหารเวลาที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องมีปืนมีอาวุธต่างๆไว้ใกล้ตัว เพื่อใช้ในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่จะต้องใช้มัน ฉันใดธรรมะก็เป็นเหมือนอาวุธคู่ใจที่เราจะต้องมีไว้อยู่เสมอ การที่จะมีธรรมะไว้คู่กับใจได้ เราก็ต้องระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ  ที่ทรงสอนให้เตือนสติเสมอๆว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา  ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นเหมือนอาวุธที่มีไว้ป้องกันตัว  ป้องกันใจ ไม่ให้ทุกข์ไม่ให้วุ่นวาย เพราะถ้าไม่มีแล้วเวลาเกิดการพลัดพรากจากกัน เวลาเกิดความแก่ ความเจ็บ  ความตาย ก็จะรับกับสภาพไม่ได้ จะต้องวุ่นวายใจ  ต้องทุกข์ใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เสียอกเสียใจ บางครั้งก็อาจจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ถึงกับทำลายชีวิตของตนเองหรือทำลายชีวิตของผู้อื่นไปเลย ก็เพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องป้องกันนั่นเอง เราจึงควรเจริญธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ถ้าทำได้ทุกลมหายใจเข้าออกได้ยิ่งดีใหญ่ ทำไปจนติดอยู่กับใจของเรา  เมื่อติดอยู่กับใจแล้วไม่ต้องเจริญก็ได้

 

แต่ในเบื้องต้นเราต้องอัดเข้าไปอยู่เรื่อยๆ จนไม่ลืมนั่นเอง ตอนนี้เรามักจะลืมกัน พอออกจากวัดไปก็ลืมแล้วว่าเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน เราก็เริ่มไปหลงคิดอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้  อยากจะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เคยคิดเลยว่า สักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป  ถ้ามีธรรมะคอยเตือนสติเรื่อยๆแล้ว ก็จะรู้ว่าไม่ควรมีอะไรเลย   ถ้าไม่อยากจะมีความทุกข์ใจ ก็อย่าไปมีอะไรดีกว่า เพราะถ้ามีแล้วก็ต้องคอยดูแลรักษา  ต้องห่วงต้องหวง เวลาจากไปก็ต้องเสียอกเสียใจ จะต้องเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน ต่างกันที่ใจของพวกเราเท่านั้น ว่าจะมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ต่างๆอย่างไร ถ้ามีธรรมะเตือนสติอยู่เรื่อยๆ เวลาเกิดการเสื่อมขึ้นมาก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าไม่มีธรรมะคอยเตือนสติ คอยสอนใจอยู่เรื่อยๆ ก็จะหลงยึดติด อยากให้สิ่งต่างๆอยู่กับเราไปตลอด พอไม่อยู่ก็เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใครเป็นคนที่จะต้องรับภาระเหล่านี้ ก็คือตัวเราเอง ถ้าเราฉลาดเราก็ไม่ต้องมาทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราโง่ เราขี้เกียจ ไม่สอนใจเราอยู่เรื่อยๆ ด้วยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อถึงเวลาพลัดพรากจากกัน ก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็อย่าไปโทษใคร ต้องโทษตัวเราเอง

 

เพราะไม่เคยสนใจศึกษา เอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่จิตใจ ด้วยการระลึกถึงอยู่เรื่อยๆ  สอนใจอยู่เรื่อยๆ  วันหนึ่งๆควรคิดอยู่เรื่อยๆว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา หนีความแก่ หนีความเจ็บ หนีความตายไปไม่ได้ ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นธรรมดา หนีไม่พ้น ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี  ต้องคอยสอนเราอยู่เรื่อยๆ เป็นการเอาแสงสว่างเข้ามาสู่ใจ ที่มืดบอดด้วยอวิชชา  ความไม่รู้  มืดบอดด้วยโมหะ ความหลง ให้หายไปหมด ที่ไหนมีแสงสว่างที่นั้นก็จะไม่มีความมืด ที่ไหนไม่มีแสงสว่างที่นั้นก็จะต้องมีความมืด  เช่นตอนกลางคืนก็จะมีแต่ความมืดถ้าอยู่ที่ไม่มีแสงไฟ  ตอนกลางวันก็ไม่มีความมืดเพราะมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา ความมืดและความสว่างจึงไม่อยู่ร่วมกัน  ฉันใดความโง่กับความฉลาดก็ไม่อยู่ร่วมกันฉันนั้น  คนที่ฉลาดก็จะไม่โง่ คนที่โง่ก็จะไม่ฉลาด จะฉลาดที่แท้จริงก็ต้องฉลาดแบบพระพุทธเจ้า  ฉลาดแบบพระอรหันตสาวกทั้งหลาย อย่าไปฉลาดแบบศรีธนญชัย ฉลาดแกมโกง คนที่ฉลาดแกมโกงจะเอาตัวไม่รอด จะต้องทุกข์กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนไปเกี่ยวข้องด้วย  ฉลาดแบบพระพุทธเจ้า แบบพระอริยสงฆ์สาวก ก็จะไม่ทุกข์ไม่วุ่นวายใจกับสิ่งต่างๆ ที่ตนไปสัมผัสไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะรู้ทัน เพราะไม่ได้หวังอะไร 

 

ปัญหาของพวกเราก็คือความหวังความอยากนั่นเอง พอเจออะไรก็อยากจะได้แล้ว พอได้มาแล้วก็อยากจะให้อยู่ไปนานๆ ให้ดีเสมอ ไม่ให้เสีย ไม่ให้เน่า ไม่ให้สูญหายจากเราไป ถ้ามีความอยากเหล่านี้ก็จะมีเหตุที่จะสร้างความทุกข์ตามมาต่อไป แต่ถ้ามีธรรมะมีแสงสว่าง  ก็จะรู้ว่าอยากไม่ได้ เพราะความจริงต้องเป็นอย่างนั้น อยากไม่แก่ไม่ได้ อยากไม่เจ็บไม่ได้  อยากไม่ตายไม่ได้ อยากไม่ให้คนที่เรารักไม่เจ็บไม่แก่ไม่ตายไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามความเป็นจริงของมัน ถ้ามีธรรมะแล้วใจก็จะสงบนิ่งเฉย  เวลาที่สิ่งต่างๆเกิดขึ้นมา ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่อยากกับอะไรทั้งสิ้น อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด ถ้าป้องกันไม่ได้  แก้ไขไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของมัน แต่ถ้ายังสามารถดูแลรักษาป้องกันหรือแก้ไขได้ ไม่ให้เกิดขึ้นก่อนเวลาอันควรก็ดูแลกันไป  เช่นร่างกายของเรา  ถึงแม้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วยและจะต้องตายจากโลกนี้ไป เราก็ยังสามารถดูแลรักษาได้ คอยกินยา คอยรับประทานอาหาร คอยออกกำลังกาย  คอยระมัดระวังไม่ให้ไปเกิดอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่ทำได้เราก็ควรทำ ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วต้องตายก็เลยไม่สนใจ อยู่แบบประมาท กินเหล้าเมายา  ขับรถเร็วๆ อย่างนี้ก็ต้องตายก่อนเวลาอันสมควร  อย่างนี้ไม่ถูก ต้องยึดทางสายกลาง จะประมาทก็ไม่ใช่ จะไม่ประมาทก็ไม่เชิง ต้องมีความระมัดระวัง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเป็นไปก็ต้องยอมรับความจริง ก็ให้มันเป็นไป 

 

ถ้าทำอย่างนี้ได้จิตใจจะไม่วุ่นวาย ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และขณะที่จะต้องตายไป จิตใจของเราจะรู้สึกเฉยๆ สบายๆ เป็นอยู่เท่ากัน เพราะไม่มีทางเลือก ต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อยังอยู่ก็ต้องอยู่ เมื่อถึงเวลาไปก็ต้องไป ไม่เหมือนอย่างอื่นที่เราเลือกได้ เช่นวันนี้เลือกจะมาวัดก็ได้ ไม่มาวัดก็ได้ แต่เรื่องความเป็นความตายนี้เราเลือกไม่ได้  เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตายก็ต้องตาย เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ต้องอยู่ต่อไป มันเป็นอย่างนี้ นี้คือความจริง  ถ้ามีธรรมะสอนใจอยู่เรื่อยๆแล้ว จะมีอาวุธไว้ป้องกันความทุกข์ต่างๆ  ไม่ให้มารุมเร้า มาเบียดเบียน มาให้กังวลเดือดร้อนวุ่นวายใจ  นี้คือสิ่งที่เราจะได้รับจากพระพุทธเจ้า จากพระอริยสงฆ์สาวก  จากพระธรรมคำสอน ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ  มีปสาทะความเลื่อมใส มีฉันทะความยินดี  มีวิริยะที่จะศึกษาปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามเยี่ยงอย่างที่ดีงาม ตามแบบฉบับที่สวยงาม ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย จึงควรหมั่นเข้าหาธรรมะอยู่เรื่อยๆ  ศึกษาธรรมะอยู่เรื่อยๆ ดูโฆษณาของธรรมะอยู่เรื่อยๆ แล้วจะเกิดความศรัทธาปสาทะฉันทะวิริยะขึ้นมา ที่จะทำให้เราได้ปฏิบัติ ได้นำเอาธรรมะคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่ใจ เอามาเป็นสมบัติคู่ใจ เมื่ออยู่กับใจแล้วรับรองได้ว่าความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆ จะไม่มีหลงเหลืออยู่ในใจอย่างแน่นอน จึงขอฝากเรื่องของการมาวัดอย่างสม่ำเสมอนี้ ให้ท่านทั้งหลายได้นำเอาไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้