กัณฑ์ที่ ๒๕๕       ๗ ตุลาคม ๒๕๔๙

 

ไม่ได้ไม่เสีย

 

 

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพรรษา เรียกว่าวันออกพรรษา เป็นวันที่พวกเราได้มาร่วมประกอบพิธีตักบาตรเทโวโรหนะ  ที่มีความเป็นมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล เป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ประทับจำพรรษาอยู่ตลอดเวลา ๓ เดือน โปรดพุทธมารดาให้ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน  พวกเราฟังแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจว่า มนุษย์จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร มนุษย์อย่างพระพุทธเจ้านั้นมีฤทธิ์  มีบารมี  คือร่างกายไม่ได้ขึ้นไปสวรรค์ แต่สิ่งที่ขึ้นไปสวรรค์ก็คือใจของพระพุทธเจ้า  ใจที่ได้รับการพัฒนาด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ  เจริญวิปัสสนา จะมีอำนาจ มีพลัง ที่จะสามารถส่งกระแสจิตไปได้ทั่วไตรภพ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็สามารถส่งจิตไปดูได้ เหมือนกับสมัยนี้เราอยู่ที่นี้แต่สามารถส่งเสียงของเราไปกรุงเทพ  ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศได้ เพราะสมัยนี้เรามีเครื่องมือ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เพียงแต่รู้ว่าผู้ที่เราต้องการจะติดต่อมีหมายเลขอะไร เราก็กดเข้าไปในเครื่อง เครื่องก็จะติดต่อกับผู้ที่เราต้องการจะติดต่อ  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แห่งหนตำบลใด  อยู่ในประเทศก็ได้ อยู่นอกประเทศก็ได้

 

ใจของพระพุทธเจ้าและของผู้ปฏิบัติธรรมก็เป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนกับโทรศัพท์มือถือ สามารถที่จะส่งกระแสจิตไปสู่ภพภูมิต่างๆได้  ตั้งแต่ชั้นสูงสุดลงมาจนถึงนรกอเวจี สามารถส่งไปดูได้ว่า มีใครอยู่ที่ไหนบ้าง  พระพุทธเจ้าก็ทรงมีความปรารถนา อยากจะโปรดพระพุทธมารดาที่ได้เสด็จสวรรคตไปตั้งแต่ ๗ วัน หลังจากที่ทรงประสูติพระพุทธเจ้ามา เนื่องจากทรงมีความเคารพรัก  มีความกตัญญูกตเวที มีความปรารถนาที่จะโปรดพุทธมารดาให้ได้รับแสงสว่างแห่งธรรม จึงได้ส่งกระแสจิตของพระองค์ไปทั่วไตรภพ เพื่อดูว่าพระพุทธมารดาตอนนี้ประทับอยู่ที่ใด แล้วในที่สุดก็ได้ทรงทราบว่าประทับอยู่บนสวรรค์ จึงได้ทรงติดต่อทางกระแสจิต ทรงโปรดพุทธมารดา  ด้วยการสั่งสอนธรรมะ ที่เกี่ยวกับเรื่องจิตเรื่องใจ ให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ จนในที่สุดก็มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลที่มีอยู่  ๔ ขั้นด้วยกันคือ  โสดาบัน  สกิทาคามี  อนาคามี อรหันต์ ตามลำดับ  ผู้ที่ได้บรรลุเป็นโสดาบันจะได้รับอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป ไม่ว่าจะเคยทำบาปทำกรรมมามากน้อยเพียงไร เมื่อตายไปแล้วจิตจะไม่ตกลงไปในอบาย  ไม่ต้องไปใช้บาปใช้กรรมที่เคยได้ทำมาได้สร้างมาแต่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาไม่เกิน  ๗  ชาติ ก็จะบรรลุถึงพระอริยะขั้นสูงสุด คือพระอรหันต์   

 

เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วภพชาติก็จะถูกทำลายไปหมด จิตไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  ไม่ต้องไปทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเหมือนพวกเรา ที่ยังมืดบอด ยังมีความหลงความโลภในสิ่งต่างๆ มีความโกรธเวลามีอะไรไม่ถูกใจมาสัมผัส ทำให้ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรม แล้วก็ต้องไปใช้เวรใช้กรรมในภพน้อยภพใหญ่ ตามกรรมที่ได้ทำกันไว้ พระพุทธเจ้าทรงมีความปรารถนาอยากจะช่วยพุทธมารดาให้หลุดพ้นจากการเกิดในอบายทั้ง ๔ คือเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก  จึงได้ทรงสอนพระพุทธมารดาให้เจริญวิปัสสนา ให้พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสิ่งต่างๆ ที่มาสัมผัสได้แก่ รูป  เสียง  กลิ่น รส  โผฏฐัพพะต่างๆ  บุคคลต่างๆ สิ่งของต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ไม่ได้ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะได้อะไรมา สักวันหนึ่งก็ต้องเสียใจไปกับสิ่งที่ได้มา  เมื่อสิ่งนั้นต้องจากเราไป  นี้คือเรื่องของใจของพวกเราที่ยังมีความหลง  ยังมีความยินดีกับสิ่งต่างๆ   กับบุคคลต่างๆ แล้วก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้  เศร้าโศกเสียใจกับสิ่งต่างๆ กับบุคลต่างๆ  แล้วก็ต้องทำบาปทำกรรม  เพราะต้องรักษาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ หรือแสวงหาสิ่งที่ไม่มี   เมื่อมีความโลภมีความอยากมาก แล้วก็ไม่สามารถหามาด้วยความถูกต้อง  ด้วยความสุจริตได้ ก็ต้องหามาด้วยวิธีที่ทุจริต ผิดศีลธรรม  เช่นโกหกหลอกลวงฉ้อโกง เพื่อได้มาในสิ่งที่ต้องการ 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องคลุกเคล้าไปกับความทุกข์ความทรมานอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปเกิดที่ภพไหนก็ต้องมีความทุกข์ตามมาอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงเห็นแล้วว่า อะไรเป็นเหตุที่ทำให้พวกเราต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ จึงทรงสั่งสอนพวกเรา อย่างพิธีตักบาตรในวันนี้ ก็เป็นการสอนให้รู้จักทำบุญให้ทาน ให้รู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับข้าวของเงินทองของนอกกาย เพราะไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากมันไปหรือมันก็ต้องจากเราไป แต่ถ้ารู้จักปล่อยวาง รู้จักให้ เวลาที่จะต้องจากมันไป จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ อย่างวันนี้ญาติโยมเสียเงินเสียทอง เสียเวลา แต่ไม่รู้สึกเสียใจ เพราะตั้งใจที่จะเสีย ตั้งใจที่จะให้นั่นเอง ถ้าเราพร้อมที่จะเสีย พร้อมที่จะให้ สิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ เวลาที่ต้องเสียต้องให้ไป จะไม่รู้สึกเดือดร้อนใจ เศร้าโศกเสียใจ แต่ถ้าไม่พร้อม  ยังมีความยึดติด มีความหวงแหนอยู่  เวลาที่จากไป เราจะมีความทุกข์ทรมานใจมาก ใจจะตกนรกทั้งเป็น เพราะใจของเรานี่แหละเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก อยู่ที่ความสุขหรือความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ ถ้าใจมีความสุขอย่างในขณะนี้ ใจกำลังอยู่บนสวรรค์  แต่ถ้าใจมีความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเศร้าโศกเสียใจ  กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจก็ได้ตกนรกไปแล้วทั้งๆที่ยังไม่ตาย เมื่อตายไปก็ยังจะต้องไปตกนรกจริงๆต่อไปเป็นเวลาอันยาวนาน  ถ้าใจยังมีความเศร้าโศกเสียใจ ความทุกข์ ความวุ่นวายใจอยู่

 

เรื่องทุกข์ต่างๆ เรื่องนรก  เรื่องอบายนี้ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนสามารถหลีกเลี่ยงได้   สามารถหลุดพ้นได้ ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ  เช่นวันนี้ทรงสอนให้เราทำบุญให้ทาน มีอะไรที่เหลือกินเหลือใช้ก็อย่าหวงเก็บเอาไว้ เอาไปแจก เอาไปจ่าย เอาไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์  เพื่อนสัตว์ที่อยู่ในโลกนี้ด้วยกัน เวลาให้แล้วจะมีความสุขใจ  มีความอิ่มใจ  มีความพอใจ   แล้วถ้ารักษาศีลได้ยิ่งทำให้จิตใจมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเมื่อเราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใจของเราจะไม่วุ่นวาย  ไม่มีความกังวล ว่าจะต้องถูกนำไปลงโทษ  เพราะไม่ได้ทำความผิดอะไร  ใครจะพูดว่าเราไม่ดีอย่างไรก็ไม่เดือดร้อน   เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด คนมีศีลนี่แหละคือคนดี คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์  ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง ไม่เสพสุรายาเมา เป็นคุณสมบัติของคนดี ถ้ารักษาความดีนี้ไว้ได้ ก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อมีแล้วก็จะรู้ว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การมีเงินมีทองมากๆ มีฐานะสูงๆ  เพราะไม่ได้เป็นเหตุของความสุขใจ ศีลต่างหากที่เป็นเหตุ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็จะไม่แสวงหาสิ่งต่างๆเกินความจำเป็น  หามาให้พออยู่พอกินก็พอแล้ว มาหาความสุขทางจิตใจดีกว่า

 

นอกจากการทำบุญให้ทาน รักษาศีลแล้ว ถ้าต้องการความสุขมากไปกว่านี้ ก็ต้องมาปฏิบัติธรรมกัน  ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญปัญญา นี้คือวิธีที่จะทำให้จิตใจของเรามีความสุขเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าได้สวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งทำสมาธิ กำหนดจิตให้อยู่กับพุทโธๆ โดยไม่ไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ จิตก็จะค่อยๆสงบตัวลง จิตสงบตัวลงมากน้อยเพียงไร ความอิ่ม ความเย็น  ความสุขก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเพียงนั้น  เมื่อได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว ก็จะเข้าใจถึงคำพูดที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ไม่มีสุขใดในโลกนี้ที่จะดีจะเลิศเท่ากับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ   นี้คือความสุขที่แท้จริง เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีความทุกข์ตามมา ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้จากสิ่งต่างๆภายนอก เวลาได้อะไรมาใหม่ๆ ก็ดีอกดีใจ ต่อไปก็เบื่อ ก็อยากโยนทิ้งไป อยากจะหาใหม่ ถ้าถูกทำลายไป  ถูกขโมยไป  ก็เสียอกเสียใจ  เศร้าโศกเสียใจ ความสุขทางโลกเป็นอย่างนี้ ความสุขที่ได้จากคนอื่นสิ่งอื่น มักจะมีความทุกข์ตามมาเสมอ แต่ความสุขที่ได้จากการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ทำจิตใจให้สงบ  ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำสมาธิ ด้วยการปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ควรไปยึดไปติด 

 

แม้แต่ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน สักวันหนึ่งก็ต้องแก่  ต้องเจ็บ ต้องตายไป แต่ใจผู้ที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกายนี้ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็จะต้องทุกข์ต้องวุ่นวาย ไปกับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกาย เพราะไม่ศึกษา ไม่เจริญปัญญา ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม   ถ้านำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาสอนใจอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่ยึดไม่ติดไม่ทุกข์กับอะไร เพราะมีธรรมคอยเตือนใจอยู่เสมอว่า  ต้องแก่ ต้องเจ็บ  ต้องตาย  แต่สิ่งที่แก่ที่เจ็บที่ตายไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงร่างกายซึ่งเป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง  ซึ่งเป็นคนละส่วนกันกับคนขับ  กายกับใจก็คนละส่วนกัน ร่างกายเป็นอะไรแต่ใจไม่ได้เป็นไปด้วย   ถ้าใจฉลาดก็จะไม่ทุกข์กับร่างกาย เพราะปล่อยวาง พร้อมที่จะให้ร่างกายเป็นไปตามสภาพของมัน  เหมือนกับเราวันนี้ไม่ทุกข์กับการเสียเงินเสียทองไป เพราะเราพร้อมที่จะเสีย ฉันใดเวลาร่างกายเป็นอะไรไป ถ้าพร้อมให้มันเป็นไปก็จะไม่ทุกข์ใจเลย  ไม่วุ่นวาย ไม่เสียอกเสียใจแต่อย่างใด ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนใจอยู่เรื่อยๆ แล้วหมั่นทำความดีเสมอๆ เช่นมีความกตัญญูกตเวที     ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำเป็นตัวอย่าง ทรงโปรดพระพุทธมารดาให้ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และได้โปรดพระราชบิดาตอนก่อนจะเสด็จสวรรคต ๗ วัน ให้ได้เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ซึ่งไม่เป็นสิ่งที่ยากเย็นอย่างไร  

 

เพราะเป็นการทำความเข้าใจเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าเพียงสอนให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อก่อนนี้เราเห็นผิดเป็นชอบ เช่นเห็นช้างว่าเป็นวัว เห็นไม่ตรงกับความเป็นจริง พระพุทธเจ้าเพียงสอนให้เห็นว่า  ช้างก็เป็นช้าง  วัวก็เป็นวัว   เมื่อรู้แล้วก็จะได้ปฏิบัติกับช้างกับวัวให้ถูกต้องเท่านั้นเอง เมื่อรู้จักวิธีปฏิบัติแล้วใจก็ไม่วุ่นวาย  ไม่ทุกข์กับอะไร ใครจะมา ใครจะไปก็ไม่เดือดร้อน ใครจะชม ใครจะด่าก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้ยึดติดกับคำชมคำด่า ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งต่างๆ ที่มาสัมผัสเพราะรู้ว่าอยู่ในโลกนี้จะต้องสัมผัสทั้ง ๒ อย่าง  ต้องสัมผัสกับความสุขและความทุกข์   สัมผัสกับการได้และการเสีย เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ใจไม่ได้ไม่เสียกับอะไรทั้งสิ้น แต่ใจไม่รู้ธรรมชาติของตนเอง  เลยไปหลงยึดติดกับสิ่งต่างๆ  ที่มีการเกิด มีการดับ เวลามีการเกิดก็ดีอกดีใจ เวลามีการดับก็เศร้าโศกเสียใจ ก็มีเท่านั้น ใจไม่ตาย มีแต่สุขหรือทุกข์เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จะทุกข์กัน เวลาที่ต้องเสียสิ่งที่รักไป แต่คนที่ฉลาด ที่รู้ทัน จะไม่ทุกข์กับสิ่งที่เสียไป จะรู้สึกเฉยๆ รู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา

 

นี้คือสิ่งที่พระพุทธศาสนามอบให้กับพวกเราได้ คือการอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลาย   ไม่ต้องทุกข์กับความแก่  ความเจ็บ   ความตาย การพลัดพรากจากกัน ถ้ามีปัญญา ถ้าดำเนินชีวิตตามเยี่ยงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ดำเนิน  คือให้ทำความดี ละการกระทำบาปกรรมทั้งหลายและชำระความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  อันเป็นต้นเหตุที่จะทำให้ไปแบกไปหาม ไปยึดไปติด ไปอยากไปโลภ ไปโกรธ แล้วก็ไปทุกข์แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าสามารถดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แล้ว  ไม่ว่าจะรวยหรือจน  สูงหรือต่ำ ก็จะอยู่อย่างมีความสุขในชาตินี้และชาติต่อๆไป และจะเป็นภพชาติที่ดีกว่าที่เป็นอยู่   หรือไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไปเลยก็ได้   ถ้าทำใจให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามมาสัมผัสกับใจ ก็เพียงแต่รู้เฉยๆเท่านั้น  ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ คนจะชมก็ไม่ดีใจ ด่าก็ไม่เสียใจ ใครจะมาก็ไม่ดีใจ  ใครจะไปก็ไม่เสียใจ  เพราะใจไม่ได้ไม่เสียกับอะไรนั่นเอง  เพียงแต่หลงคิดว่าได้ แต่ความจริงแล้วได้จริงๆหรือไม่  เวลาตายไปเอาอะไรติดกับใจไปได้บ้าง ไม่มีเลย แม้แต่ร่างกายก็ยังต้องทิ้งให้คนอื่นเผา  ให้คนอื่นฝัง  ใจก็ไปตามลำพัง ไปกับบุญกับบาป  ไปกับความมืดกับความสว่าง  ถ้าไปกับบาปไปกับความมืดก็ไปสู่ที่ต่ำ ถ้าไปกับบุญไปกับแสงสว่างก็ไปสู่ที่สูง  ไปสู่ที่ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายไปถึงกัน  

 

นี้คือทางที่พวกเราจะต้องเดิน ทางที่พวกเราจะต้องเลือก   จะไปทางไหนดี ไปทางสว่าง ไปทางบุญ หรือไปทางมืด ไปทางบาป ก็ไม่มีใครจะมาบังคับเราได้ นอกจากตัวเราเอง  ถ้าอยากจะไปทางบุญ ไปทางสวรรค์ ไปทางสว่าง ก็ต้องเข้าหาศาสนา เข้าหาพระ เข้าหาพระธรรมคำสอนหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรม หมั่นปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ   แต่ถ้าอยู่ห่างวัด  ห่างศาสนา ใจก็จะถูกความมืดบอดฉุดลากให้ไปหลงกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ ที่จะสร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจให้กับเรา  อยู่ที่เราที่จะต้องเลือกทาง  อย่างวันนี้ท่านทั้งหลายได้เลือกทางที่ถูก คือมาวัดกัน มาทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม  แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติอีกต่อหนึ่ง ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว รับรองได้ว่าจะมีแต่ความก้าวหน้า มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีความสุขมากยิ่งขึ้นไป   ความทุกข์จะน้อยลงไป  แม้จะไม่มีเงินมาก ก็จะไม่เดือดร้อน แม้จะไม่มีสมบัติอะไร ก็จะไม่เดือดร้อน เพราะมีสมบัติที่แท้จริงอยู่ในใจอยู่แล้ว คือบุญกุศลและความดีงามทั้งหลายนั่นเอง   ขอให้ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นแบบฉบับ   แล้วดำเนินตามด้วยความศรัทธา  ด้วยความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ  แล้วความสุขความเจริญที่พวกเราทั้งหลายปรารถนา ก็จะเป็นผลที่ตามมาอย่างแน่นอน  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้