กัณฑ์ที่ ๒๕๗       ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๙

 

ทางโลก ทางธรรม

 

 

 

 วันนี้เรามาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากัน  ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะโดยปกติแล้วเราจะมีภารกิจมาก แทบจะไม่มีเวลาปลีกตัวมาทำกิจอย่างนี้เลย โดยปกติเราจะไปเกี่ยวข้องกับการแสวงหาสิ่งต่างๆมาให้กับตัวเรา  ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคล เพื่อให้เรามีความสุข แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำอะไรให้กับผู้อื่นเลย  เช่นทำบุญให้ทาน ชำระกายวาจาให้สะอาด  ด้วยการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จและเสพสุรายาเมา  เรามักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำกัน เพราะในขณะที่แสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆ นั้น บางทีก็เผลอทำให้กายวาจาเปรอะเปื้อน  เช่นบางทีเราก็โกหก  บางทีเราก็ฉ้อโกง เอาสิ่งต่างๆที่เขาไม่ได้อนุญาตมา หรือไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของผู้อื่น มีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน เหล่านี้เป็นความเปรอะเปื้อนของกายและวาจา แต่ถ้าได้มาวัดเราก็จะได้มาชำระกายวาจาที่เปรอะเปื้อนด้วยการรักษาศีล ละเว้นจากการกระทำที่จะทำให้กายวาจาสกปรก คือละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง เสพสุรายาเมา ที่เป็นการรักษากายวาจาให้สะอาด ทำให้เป็นคนสวยงามน่ารัก น่าคบค้าสมาคมด้วย

 

เหมือนกับได้อาบน้ำอาบท่า  ประแป้ง แต่งหน้า ทาปาก  ใส่น้ำหอม ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ทำให้อยากอยู่ใกล้ชิด   แต่ถ้าเกียจคร้านไม่ชอบอาบน้ำ ปล่อยให้ร่างกายสกปรก มีกลิ่นเหม็น ไปอยู่ใกล้ใครก็ไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้ด้วย มีแต่จะเดินหนี เพราะทนกับกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้ นี้คือส่วนของร่างกาย แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งคือพฤติกรรม การกระทำที่ทำให้คนไม่อยากจะอยู่ใกล้ชิดเรา  เช่นชอบลักเล็กขโมยน้อย เวลาใครเผลอวางอะไรไว้ ก็หยิบของเขาไป อย่างนี้ก็จะไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วย หรือไม่มีสัจจะ พูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดไม่จริง พูดโกหกหรือไม่โกหก  ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วย  นี้คือความไม่สวยงามทางพฤติกรรม ทางกายและทางวาจา เราจึงต้องมีความสวยงามทั้งสองประเภท คือสวยงามทางรูปร่างหน้าตา ต้องอาบน้ำอาบท่า หวีเผ้าหวีผม แปรงฟัน ไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นออกมา แล้วก็ต้องมีพฤติกรรมที่สวยงาม คือต้องเป็นคนดีนั่นเอง ซื่อสัตย์สุจริต ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ด้วยการลักทรัพย์โกหกหลอกลวง เป็นสิ่งที่เราจะไม่ค่อยได้มีโอกาสทำกัน ในขณะที่แสวงหาเงินหาทอง หาความสุขทางโลกกัน จึงต้องหาเวลาว่างเช่นวันนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องไปทำงานกัน แทนที่จะไปหาความสุขด้วยการไปดื่มเหล้าเมายา ยิงนกตกปลา ก็มาหาความสุขที่เกิดจากการให้ ความสุขที่เกิดจากการละเว้นการกระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ที่ทำให้เรามีความสุขใจ อิ่มเอิบใจ เพราะได้ชำระกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ความโลภความเห็นแก่ตัว ให้ออกไปจากใจ 

 

การได้ปฏิบัติธรรมตามพระธรรมคำสอนอย่างในวันนี้ จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย  ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วก็จะไม่ได้มาวัดกัน ถ้ามาก็เป็นกรณีพิเศษ เช่นวันนี้อาจจะเป็นวันเกิด วันครบรอบวันแต่งงาน วันครบรอบวันตายของผู้มีพระคุณ จึงจะได้นึกถึงสิ่งที่ดีงามสักครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้ว จิตใจที่อยู่ภายใต้อำนาจของความหลง ความอยาก ความโลภ ก็จะถูกฉุดลากพาไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ  ซึ่งไม่ได้ให้ความสุข ความอิ่มเอิบใจ แต่จะกลับทำให้หิวกระหายอยากเสพสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้นไป ทำให้ต้องดิ้นรนหาความสุขตลอดเวลา ทั้งๆที่ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งต่างๆที่แสวงหากัน แต่อยู่ที่ความสงบของใจที่เกิดจากการทำความดี จากการเอาชนะกิเลส  ความโลภ  ความโกรธ ความหลงต่างๆ  ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม การได้มาวัดจึงเป็นบุญเป็นวาสนาของเรา อาจจะเป็นเพราะเคยทำมาแล้วในอดีตในชาติก่อนๆ ทำให้ติดเป็นนิสัยมา ชอบทำบุญ ไม่ชอบทำบาป แต่คนที่ไม่เข้าวัดจะชอบทำบาป ยิงนกตกปลา เล่นการพนัน เสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน คนพวกนี้ไม่มีบุญไม่มีวาสนาเพราะมีแต่บาปคอยฉุดลากให้ไปทำบาป ที่นำความทุกข์ต่างๆมาให้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น 

 

การได้ทำบุญมาในอดีตจึงเป็นบุญ เป็นประโยชน์ เพราะจะช่วยผลักดันให้ทำบุญต่อไป ทำให้จิตใจได้รับอาหาร ได้รับการดูแล มีความสุข อิ่มเอิบใจ  อยู่เฉยๆก็มีความสุข ไม่ต้องไปแสวงหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆมาให้ความสุข  สิ่งต่างๆเราก็ได้สัมผัสมามากแล้ว ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เราเห็นรูป ได้ยินเสียง  ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส  ได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ทางร่างกายมายาวนาน  แต่เราเคยพบความสุข ความอิ่ม ความพอบ้างไหม หรือใจก็ยังหิว ยังอยาก  ยังต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าสิ่งต่างที่เราได้สัมผัสมานั้น  ไม่ได้ทำให้เราถึงความสุข  ถึงความพอเลย ถ้ายังแสวงหาอย่างนี้อยู่  ก็จะต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด ตายไปจากชาตินี้ก็ต้องไปแสวงหาต่อไป ต้องไปเกิดใหม่อีก เพราะใจยังไม่อิ่ม ยังไม่พอนั่นเอง  แต่ถ้าได้แสวงหาความสุขตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แสวงหากัน รับรองได้ว่าจิตใจจะมีความสุข มีความอิ่มเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอก เช่นวันนี้ถ้าไม่ได้มาวัดอยู่บ้านเฉยๆ ก็อยู่ได้ เพราะมีความสุข มีความพอ ไม่หิว ไม่กระหายกับสิ่งต่างๆภายนอกกาย ภายนอกใจ  แต่คนส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเฉยๆกันไม่ได้ อยู่แล้วหงุดหงิดใจ รำคาญใจ อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ  ต้องออกไปหาสิ่งต่างๆ ภายนอก ที่ให้เพียงความเพลิดเพลินเท่านั้น 

 

พอกลับมาบ้านก็เหมือนเดิม ต้องออกไปอีก  บ้านจึงไม่ได้เป็นที่อยู่อย่างแท้จริง เป็นเพียงที่หลับนอน ที่อาบน้ำอาบท่า  ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นเอง พอได้หลับนอนตื่นขึ้นมามีกำลังวังชา ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวออกจากบ้านอีก  เคยอยู่บ้านจริงๆสักกี่วันกัน คือตื่นขึ้นมาแล้วก็อยู่ที่บ้านไม่ต้องออกไปข้างนอก แทบจะทำกันไม่ได้เลย  เพราะใจไม่ได้รับอาหารที่จะทำให้ใจอิ่ม ให้ใจพอ เพราะไปเสพสิ่งที่ทำให้มีความหิว  มีความอยาก มีความต้องการมากขึ้นไปอีก    จึงต้องเข้าวัดเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้รู้จริงเห็นจริง ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จริงเห็นจริงได้เท่ากับพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้พบความสุขที่แท้จริง ได้พบความอิ่ม ความพอในจิตในใจแล้ว จึงได้นำมาเผยแผ่สอนให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย ผู้ที่ฉลาดฟังแล้วเกิดศรัทธาก็จะสามารถนำเอาไปปฏิบัติ ให้ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้รับมา เช่นพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่อาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็นำไปปฏิบัติ พวกเราจึงควรลองปฏิบัติดู เพราะชีวิตของพวกเราก่อนที่จะมาเจอพระพุทธศาสนา  ก็เป็นแบบลุ่มๆดอนๆ  ไม่เคยได้เจอความสุขความอิ่มความพอสักที เจอแต่ความสุขแบบควันไฟที่ลอยมาแล้วก็ลอยหายไป  ไปเที่ยวก็มีความสุข พอกลับบ้านความสุขก็หมดไป  พรุ่งนี้ก็ต้องออกไปเที่ยวอีก    

 

แต่ความสุขที่ได้จากการปฏิบัติธรรม ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะอยู่กับจิตกับใจไปเรื่อยๆ และจะมีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ   จนมีเต็มหัวใจ เมื่อเต็มหัวใจแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอีกต่อไป งานเพื่อความสุขทางด้านจิตใจมีวันสิ้นสุด  เมื่อจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วก็ไม่ต้องทำอีกต่อไป อย่างจิตของพระพุทธเจ้ากับของพระอรหันตสาวก ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขอีกต่อไป เพราะมีอยู่ในจิตอยู่ในใจตลอดเวลาและจะไม่สูญหายไป ไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ ขโมยไปได้   ไม่เหมือนกับสิ่งอื่นๆที่เรามีกัน  ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ข้าวของ เงินทองหรือบุคคลต่างๆ   ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็จะต้องจากเราไป  อาจจะถูกขโมยไป ถูกแย่งชิงไป ตายไปหรือหนีจากเราไป ด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เมื่อเกิดแล้วก็จะทำให้มีความทุกข์ใจมาก เศร้าโศกเสียใจมาก และอาจจะทำให้ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้   อาจจะต้องฆ่าตัวตายตามสิ่งที่รักไป นี้คือทางของคนที่ไม่ฉลาด ทางของความหลง จะเป็นอย่างนี้ ถ้ายังแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอกอยู่  ก็จะต้องมีความทุกข์เป็นของแถมมาตลอดเสมอเลย แต่ถ้าทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็จะได้สุขที่ไม่มีทุกข์เจือปน ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไป  เช่นทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง บุคคลที่รักเคารพไป จะไม่ทำให้เราเศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ  เพราะใจมีความสุขหล่อเลี้ยงอยู่นั่นเอง ไม่อาศัยความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก จากบุคคลต่างๆ

 

จึงควรหันเข้ามาสร้างความสุขในใจดีกว่า เป็นความสุขที่ถาวร ที่ให้ความอิ่มความพอไปตลอดอนันตกาล จิตของพระพุทธเจ้าและจิตของพระสาวกเป็นจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขความพอ จึงไม่ต้องไปแสวงหาความสุขในภพต่อไป จิตอยู่ในพระนิพพาน จิตเป็นพระนิพพาน เป็นจิตที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีความหิว ความอยาก จึงไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป  ไม่ต้องไปแก่  ไปเจ็บ  ไปตาย ถ้ามีเกิดก็ต้องมีแก่เจ็บตายตามมา มีทุกข์ตามมา   นี้คือที่ไปของผู้ที่ยังไม่ได้ชำระจิตใจ ไม่ได้ชำระความหลง ไม่ได้ปฏิบัติธรรม จนทำให้จิตใจมีความสุขอย่างเต็มที่นั่นเอง จึงต้องปฏิบัติธรรมกัน ทำบุญให้ทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์  ศึกษาธรรมะ  เพื่อให้เกิดความฉลาด เกิดปัญญา เพื่อจะได้ตัดความหลงต่างๆ ที่สร้างความโลภ  ความโกรธ  ความอยากให้กับจิตกับใจ เมื่อได้ปฏิบัติแล้วจิตใจจะมีอาวุธที่จะทำลายความหลง ความโลภ ความโกรธ ความอยากต่างๆให้หมดไป  เมื่อถูกทำลายหมดไปแล้วใจก็จะไม่หิว ไม่อยาก ไม่ต้องการอะไร มีแต่ความอิ่ม ความสุข ความพอ    นี้คือทางเลือกของเรา เราจะเลือกไปทางไหน ไปทางภายนอกก็ได้ คือไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก แล้วก็ต้องทุกข์ไปกับสิ่งต่างๆ เมื่อจากเราไป

 

หรือไปทางธรรม ตัดสิ่งต่างๆภายนอก ไม่เอาแล้วความสุขที่ได้จากการไปเที่ยว ไปดื่ม ไปกิน ไปดู ไปฟัง มาหาความสุขจากการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรม เจริญปัญญา   ให้รู้ทันว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน  ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้วก็จะไม่หลงกับสิ่งต่างๆ จะไม่อยากให้สิ่งต่างๆอยู่ไปนานๆ เพราะไม่มีอะไรอยู่ไปได้ตลอด ร่างกายก็อยู่ไปไม่ตลอด ๘๐ ๙๐ ปีก็ต้องตายไป ร่างกายของคนอื่นก็เช่นเดียวกัน  ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ต้องหมดไปเมื่อเราตายไป นี้คือความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ที่เรามองไม่เห็นกัน เพราะไม่คิดกัน ไม่กล้าคิด เพราะกลัวว่าคิดแล้วจะตายตามความคิดไป นี้เป็นความคิดของคนโง่  คนจะตายไม่ตายไม่ได้อยู่ที่คิดหรือไม่คิด   มีใครไม่ตายบ้างจากการไม่คิดถึงความตาย ก็ตายด้วยกันทั้งนั้น    มีแต่คนที่คิดนี้แหละที่จะไม่ตายเพราะจะไม่ไปเกิดอีกต่อไป   คนที่คิดจะรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย ก็จะไม่ยึดไม่ติดกับร่างกาย จะไม่ไปแสวงหาร่างกายใหม่อีก เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะได้มากี่ร่าง ก็ต้องตายทุกร่าง จึงไม่ไปหาร่างใหม่ เช่นพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกทั้งหลายท่าน  หลังจากร่างกายของท่านตายไปแล้ว ท่านก็ไม่ไปหาร่างใหม่อีกต่อไป เพราะท่านคิด ท่านรู้ทันว่า  เกิดมาแล้วต้องตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อย่าไปเกิด ถ้าไม่อยากจะตายก็อย่าไปเกิด 

 

แต่พวกเราไม่คิดกัน เวลาตายไปแล้วก็ยังอยากจะไปเกิดอีก พอไปเกิดแล้วก็ไม่อยากจะตาย แต่ก็หนีความตายไม่พ้น พอตายแล้วก็อยากจะไปเกิดอีก ก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป เพราะไม่กล้าคิดถึงเรื่องความตาย แต่ถ้าคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว  สอนเราอยู่เสมอว่าเกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ คิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปจะไม่กลัวตาย  ไม่ยึดไม่ติดกับร่างกาย จะเป็นจะตายก็จะไม่วุ่นวาย  นี้คือวิธีทำให้เราฉลาด เมื่อฉลาดแล้วก็จะไม่ทุกข์ สาเหตุที่เราทุกข์ก็เพราะเราโง่ หลงไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ แล้วก็อยากไม่ให้จากเราไป  พอจากไปก็ร้องห่มร้องไห้  เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ในขณะที่อยู่ก็มีแต่ความกังวล ความหวาดกลัว กลัวว่าจะจากเราไป กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้  นี้ก็เป็นเพราะไม่คิดนั่นเอง ไม่คิดถึงความจริง ถ้าคิดแล้วใจจะรับได้ เพราะใจไม่ได้เป็นร่างกาย ไม่ได้เป็นสิ่งต่างๆ เพียงแต่ไปหลงไปยึดไปติดเท่านั้นเอง แล้วก็อยากจะให้อยู่กับใจไปตลอด แต่พอไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็เกิดความทุกข์  ความหวาดกลัว ความวุ่นวายใจขึ้นมา ถ้าคิดแล้วใจจะฉลาด จะไม่ทุกข์  ไม่วุ่นวายใจ มีอะไรก็มีได้  หมดก็หมดไป  ไม่วุ่นวาย เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีมามีไป เหมือนวันนี้เรามาเจอกัน เดี๋ยวก็ต้องจากกัน ก็ไม่วุ่นวายใจ  เพราะไม่ได้อยากให้อยู่ด้วยกันไปตลอด  ถ้าอยาก พอต้องแยกทางกันไป ก็จะเสียอกเสียใจ วุ่นวายใจ ก็มีอยู่เท่านี้ ความสุขความทุกข์ของใจ อยู่ที่ความโง่หรือความฉลาด ถ้าโง่ก็จะทุกข์ เพราะจะยึดจะติดจะอยากกับสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆ  อยากแล้วก็ไม่ได้สมใจอยาก เพราะตรงข้ามกับความเป็นจริง แต่ถ้าฉลาดก็จะไม่อยาก จะยินดีตามมีตามเกิด  มีอะไรก็ยินดี เวลาไม่มีก็ไม่เสียใจ คนฉลาดจะเป็นอย่างนี้

 

ถ้าอยากจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวายใจ ก็อย่าไปยึด อย่าไปติด  ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ไปได้ ต้องการอะไรที่จำเป็นก็หามา เมื่อหมดไปก็หาใหม่ ถ้าหาไม่ได้ก็อยู่แบบไม่มีก็ได้ อยู่แบบไม่มีก็อยู่ได้ อย่างพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่มีอะไรมากมายเหมือนกับเรามีกัน ก็มีเพียงปัจจัย ๔ เท่านั้น  คือมีกุฏิไว้อาศัยอยู่  มีบาตรไว้บิณฑบาต มียาไว้รักษาโรค มีจีวรไว้นุ่งห่ม เท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว  อยู่ที่ใจเท่านั้นเอง  ถ้าใจโง่ใจก็หลงอยากจะได้สิ่งต่างๆ คิดว่าได้มามากเท่าไรยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไป  เพราะห่วงกังวล ยึดติดกับสิ่งต่างๆนั้นเอง  แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีความจำเป็นต้องมีอะไรมากมาย ถึงแม้ไม่มีร่างกายใจก็อยู่ได้ เช่นตายไปแล้วบางทีก็ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ได้เกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้าเป็นอานิสงส์หรือเป็นวาระของบุญที่จะส่งผล ก็เกิดเป็นเทวดา เป็นเทพ เป็นพรหม ที่ไม่มีร่างกายเหมือนกับมนุษย์และเดรัจฉานทั้งหลาย ใจนี่แหละเป็นตัวเทพ เป็นตัวพรหม เพราะบุญเป็นผู้สร้างเทพ สร้างพรหมให้เกิดขึ้นในใจ หรือถ้าเป็นวาระของบาปที่จะต้องส่งผล ใจก็จะต้องไปเป็นสัตว์นรกบ้าง  เป็นเปรตบ้าง ก็ใจตัวนี้เอง  โดยมีบาปเป็นผู้สร้างนรกขึ้นมาในใจ สร้างเปรตขึ้นมาในใจ เวลาที่หิวที่อยากอยู่ตลอดเวลา กินเท่าไรไม่รู้จักพอ นั่นแหละกำลังมีเปรตอยู่ในใจ หรือเวลามีความรุมร้อน  อาฆาตพยาบาท  มีความโกรธ   มีความเกลียด อย่างนี้ก็ใจกำลังเป็นนรกเพราะบาปที่ทำไว้   

 

เรื่องของใจจึงไม่เหมือนเรื่องของกาย ถ้าเป็นเรื่องของกายมีปัจจัย ๔ ก็พอแล้ว  มากกว่านั้นก็เป็นเรื่องของกิเลส มีปัจจัย ๔ แล้วยังไม่พอ ต้องมีสามี มีภรรยา มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีเครื่องอำนวยความสุขต่างๆ  ซึ่งเป็นอาหารของกิเลส ของความโลภ ของความอยากต่างๆ มีมากเท่าไรก็ยิ่งสร้างความทุกข์ให้กับใจมากขึ้นไปเท่านั้น ทุกวันนี้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์กัน ถามตัวเราดูก็รู้   เรามีอะไรต่างๆมากมายก่ายกอง แต่ก็ยังต้องร้องห่มร้องไห้  ต้องโกรธ  ต้องเสียใจ  ต้องวุ่นวายใจ ต้องกลัว  ต้องห่วง เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่เราไม่ดูกันเลย ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในใจของเรา แทนที่จะแก้มันกลับไปเสริมสร้างให้มันมีมากยิ่งขึ้นไป เวลามีทุกข์ก็ออกไปเที่ยว  ออกไปซื้อข้าวซื้อของอีก ก็ยิ่งสร้างความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะเข้าวัดทำจิตใจให้สงบ ด้วยการทำบุญทำทาน  รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์  ฟังเทศน์ฟังธรรม  นั่งสมาธิ ปลงอนิจจังทุกขังอนันตตา ก็ไม่ทำกัน  ความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ จึงไม่หมดไปจากจิตจากใจของเรา แต่วันนี้เราได้มาวัดแล้ว ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็อยู่ที่เราว่าจะฉลาดพอที่จะเอาไปปฏิบัติได้หรือไม่ หรือยังแพ้ความโง่อยู่  ยังถูกความโง่ฉุดลากให้ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอกอยู่ ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ ถ้ายังไม่รู้จักแก้ไขปัญหาของตนเอง ปล่อยให้หมักหมมอยู่ต่อไป  เวลาทุกข์ เวลาเศร้าโศกเสียใจ เวลาวุ่นวายใจ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้  เราต้องเป็นผู้ช่วยตัวเราเอง  อัตตา หิ  อัตโนนาโถ   ตนเป็นที่พึ่งของตน ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถึงจะพึ่งตัวเราเองได้ ถึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์  ความวุ่นวายใจทั้งหลายได้ อย่างอื่นทำไม่ได้ ต้องมาทางนี้ทางเดียวเท่านั้น  ทางของทาน ศีล  ภาวนา  ของการทำความดี ละเว้นความชั่ว ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  ทางนี้เท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ความสุข  ความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง  จึงขอฝากทางเลือกทั้ง ๒ ทางนี้ให้ท่านได้นำไปพินิจพิจารณาและไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้