กัณฑ์ที่ ๒๖๓ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
การไม่เกิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
วันนี้ท่านทั้งหลายได้สละเวลาอันมีค่ามาวัดกัน เพื่อประกอบคุณงามความดี เสริมสร้างสติปัญญาศรัทธาความเพียรให้เกิดขึ้น เพื่อผลักดันให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูก ที่ต้อง ที่ควร ที่ดี ที่งาม ที่เจริญ ที่นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก เพราะเป็นการศึกษาหาความรู้ สติปัญญาความฉลาด ถ้าได้ฟังเทศน์อยู่เรื่อยๆ ก็จะมีปัญญา มีความฉลาด ทำให้รู้ทันอวิชชาความไม่รู้ ที่คอยหลอกล่อจิตใจให้ไปในทางที่ไม่ถูก ไม่ต้อง ไม่ดี ไม่งาม ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต ระหว่างคนที่ไม่มีปัญญากับคนที่มีปัญญานั้น มีความแตกต่างกันมาก คนที่มีปัญญาจะอยู่อย่างสุข อย่างสบาย ไม่มีปัญหา ไม่มีเรื่องราวมาสร้างความทุกข์สร้างความวุ่นวายใจ แต่คนที่ไม่มีปัญญา คนที่ไม่ฉลาด มีแต่ความลุ่มหลง จะถูกความทุกข์ต่างๆครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชน เพราะเมื่อมีการศึกษา มีความรู้ ก็จะมีความเห็นที่ถูกต้อง สัมมาทิฐิ ที่จะลบล้างมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดีได้ ถ้ามีความหลงแล้วก็คือไม่มีปัญญาก็จะมีมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ ที่ติดกับเรามาตลอด แต่เราไม่รู้กัน
นานๆจะมีคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้ามาศึกษาและแก้ปัญหา ที่มีอยู่ในใจของมนุษย์จนเห็นอย่างแจ้งชัดว่า ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์นั้น ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวมนุษย์เอง อยู่ที่ความโง่เขลาเบาปัญญา อยู่ที่โมหะความหลง อยู่ที่อวิชชาความไม่รู้ความเป็นจริงของชีวิต ไม่รู้ว่าสุขทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร นี้คือปัญหาของมนุษย์ทุกๆคน ความหลงเป็นตัวผลักดันให้ไปเกิดไปแก่ไปเจ็บไปตาย ไปเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น นี้คือเป็นปัญหาของสัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดกันก็เพราะความหลงพาให้มาเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องต่อสู้กับความทุกข์ต่างๆ ความทุกข์ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย การพลัดพรากจากกัน ที่มีอยู่ในทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาแหลมคม ได้สะสมปัญญาบารมีมาอย่างต่อเนื่องหลายกัปหลายกัลป์ จนสามารถมองเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของพวกเรา ว่าอยู่ที่ความหลง หลงทาง แทนที่จะไปทางสวัสดีมีชัย มีความร่มเย็นเป็นสุข กลับเดินไปทางที่มีแต่ศัตรูข้าศึก มีแต่ปัญหา มีแต่ความทุกข์ต่างๆ รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้นั่นเอง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงสรุปได้ว่า ปัญหาของมนุษย์นั้นอยู่ที่ไม่รู้ว่า การไม่เกิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การไม่เกิดเป็นการดับปัญหาต่างๆได้หมด เพราะเมื่อไม่เกิดแล้วก็ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่พลัดพรากจากสิ่งต่างๆ ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ ปัญหาต่างๆของพวกเราจะถูกกำจัดได้หมดสิ้นไป ถ้าเราไม่กลับมาเกิดอีก
ถ้าเราตายไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีก เราก็ไม่มีปัญหากับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้เวลาคนรักจากเราไป ไม่ต้องมาเสียใจเวลาสิ่งที่เรารักสูญหายไป ไม่ต้องมาวุ่นวายใจเมื่อต้องเจอในสิ่งที่เราไม่ปรารถนาไม่ชอบกัน สิ่งเหล่านี้อยู่กับการเกิดทั้งสิ้น มีความเกิดเป็นต้นเหตุ นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น และทรงรู้ด้วยว่าอะไรเป็นเหตุที่พาให้พวกเรามาเกิดกัน ก็คือความอยากต่างๆนั่นเอง ได้แก่ ๑. กามตัณหา ความอยากในกาม ๒. ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น ๓. วิภวตัณหา ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น ลองสังเกตดูว่าในตัวของเรามีตัณหาทั้ง ๓ ชนิดนี้หรือไม่ ถ้ายังอยากดู อยากฟัง อยากลิ้มรส อยากรับประทานสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี้อยู่ ก็แสดงว่ายังมีกามตัณหาความอยากในกาม กามนี้ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เรียกว่ากามคุณ ๕ ที่มาสัมผัสกับตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะใจของเรายังมีความอยากกับสิ่งเหล่านี้อยู่ เราจึงต้องไปแสวงหากันแทบทุกวันเลย พอตื่นขึ้นมาก็แต่งเนื้อแต่งตัวออกจากบ้านกันไปแล้ว ไปทำงานเพื่อจะได้มีเงินมาซื้อสิ่งต่างๆ ที่ใจอยากจะได้ อยากจะดู อยากจะฟัง ที่ทำให้ใจอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เมื่ออยู่นิ่งเฉยไม่ได้ก็จะไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย ต่อให้ได้มามากน้อยเพียงไร ความอยากก็ไม่ได้หมดกับสิ่งที่ได้มา เราได้ไปเที่ยว ได้ไปกิน ได้ไปดื่มมาเมื่อคืนนี้ เดี๋ยวคืนนี้เราก็ยังอยากจะออกไปอีก เพราะความอยากนี้ไม่ได้หมดไปกับสิ่งที่เราได้มา นี้คือความอยากในกาม ลองถามตัวเราเอง ลองพิจารณาดูว่ายังมีอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่นี้แหละคือตัวปัญหา ถ้าต้องการจะตัดความทุกข์ ก็ต้องพยายามระงับดับความอยากนี้ให้ได้ นี้คือความอยากชนิดหนึ่ง
ความอยากอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น เรายังมีความอยากนี้หรือไม่ ยังอยากจะได้สิ่งนั้น อยากจะได้สิ่งนี้หรือไม่ อยากจะได้รถคันใหม่ อยากจะได้บ้านใหม่ อยากจะได้สามีใหม่ อยากจะได้ภรรยาใหม่ อยากจะได้ลูก อยากจะได้หลานหรือไม่ ความอยากนี้จะผลักดันให้จิตอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องไปแสวงหาอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้มาแล้วก็จะไม่อิ่มไม่พอ ก็จะมีความอยากอย่างอื่นขึ้นมาแทนที่ ได้สิ่งนี้แล้วก็เบื่อสิ่งนี้ ก็อยากจะได้สิ่งใหม่มาทดแทนอยู่เรื่อยๆ ปัญหาต่างๆ จึงตามมา เพราะไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ความอยาก แทนที่จะต่อสู้ระงับดับความอยาก กลับทำตัวเป็นทาสของความอยาก ส่งเสริมให้ความอยากมีกำลังมากขึ้น เมื่อมีกำลังมากขึ้นก็จะสร้างปัญหาให้มากขึ้น สมัยที่เป็นเด็กๆ ก็มีความอยากแบบเด็กๆ ปัญหาก็น้อย อย่างเด็กๆก็อยากจะเล่นเท่านั้นเอง แต่พอโตขึ้นมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ความอยากก็ใหญ่ขึ้น ทำให้มีปัญหามากขึ้นตามมา เช่นอยากใช้เงินใช้ทอง ก็ใช้กันแบบไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ใช้จนไม่พอใช้ เมื่อไม่พอใช้ก็ไปกู้หนี้ยืมสิน แล้วก็ไม่มีปัญญาไปใช้ ในที่สุดก็มีปัญหาตามมา ต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป หรือหนีหัวซุกหัวซุน หนีเจ้าหนี้ ไม่ให้มาทวงหนี้
นี้คือปัญหาที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเราเองโดยไม่รู้สึกตัว คิดว่ากำลังสร้างความสุขให้กับเรา แต่หารู้ไม่ว่าเป็นความสุขที่บังความทุกข์ เป็นความสุขที่มาก่อน คือความสุขที่ได้จากการใช้เงินใช้ทอง แต่เมื่อเงินทองหมด ไม่พอใช้ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ต่อ เพราะเมื่อเคยใช้เงินแล้วก็หยุดไม่ได้ มันติดเป็นนิสัย เมื่อไปกู้หนี้ยืมสินมาก็ไม่มีปัญญาใช้คืน ก็ต้องมีปัญหาตามมา มีเรื่องมีราวตามมา ต้องหลบหนี ถ้าหนีไม่พ้นก็ถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป นี้คือปัญหาที่เกิดจากความอยากมีอยากเป็น ทำให้ไม่มีความสุขกัน อยู่เฉยๆไม่ได้ อยู่ไม่เป็นสุข ทั้งๆที่สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพก็มีพอเพียงอยู่แล้ว คือปัจจัย ๔ ข้าวก็มีกิน เสื้อผ้าก็มีใส่ ยาก็มีรักษาโรค บ้านก็มีอยู่ แต่ไม่พอ มีแค่นี้ไม่พอ ต้องมีปัจจัย ๕ ปัจจัย ๖ ปัจจัย ๗ ปัจจัย ๘ ต้องมีรถยนต์ มีโทรศัพท์มือถือ มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีตู้เย็น มีเครื่องปรับอากาศ มีอะไรร้อยแป็ดพันประการ แล้วเป็นอย่างไรชีวิตของเรา มันดีขึ้นกว่าเดิมไหม หรือเหมือนเดิม หรือแย่กว่าเดิม แย่ตรงที่จิตที่กลายเป็นจิตใจที่อ่อนแอ ไม่สามารถอยู่แบบเรียบง่ายได้ ต้องอยู่แบบคนพิการอยู่ ต้องมีสิ่งต่างๆคอยสนับสนุน อยู่แบบไม่มีแอร์ก็อยู่ไมได้ ไม่มีรถก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีตู้เย็นก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีโทรศัพท์มือถือก็อยู่ไม่ได้ เพราะความอยากผลักดันให้ไปหามานั่นเอง
ผลักดันให้อยากมีอยากเป็น อยู่คนเดียวก็อยู่ไม่ได้ ต้องมีสามี ต้องมีภรรยา ต้องมีเพื่อน มีอะไรต่างๆ อยู่แบบธรรมดาเป็นราษฎรเต็มขั้นก็อยู่ไม่ได้ ต้องมีตำแหน่ง มียศมีเกียรติ อยากจะเป็นสส. อยากจะเป็นนายกฯ อยากจะเป็นรัฐมนตรี อยากจะเป็นหัวหน้า อยากจะเป็นผู้จัดการ อยากจะเป็นอธิบดี เหล่านี้เรียกว่าความอยากมีอยากเป็นทั้งนั้น เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับใจ ที่เป็นเหมือนกับทาสคอยรับใช้ความอยาก คนที่เป็นทาสกับคนที่ไม่เป็นทาสต่างกันไหม เวลาเจ้านายเรียกเจ้านายสั่งก็ต้องไปทำตามคำสั่ง จะบอกว่าผมขอนอนเฉยๆ ผมกำลังพักผ่อน อย่างนี้ทำไม่ได้ พอเจ้านายสั่งแล้วก็ต้องทำตามคำสั่งทันที แต่คนที่ไม่เป็นทาสเป็นอย่างไร เขาสบาย มีอิสระ ไม่มีใครมาสั่ง อยู่ได้อย่างสบาย นี้คือสิ่งที่เราไม่คิดกัน เพราะความอยากเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ไม่มีสติปัญญา คิดไม่เป็น มีแต่จะต้องทำตามคำสั่งของความอยากเท่านั้น ถ้าไม่ได้ทำแล้วมันทรมานใจ เวลาอยากจะได้อะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ คิดดูซิว่าเป็นอย่างไร พอไม่ได้ก็เสียใจ ขณะที่พยายามหามาก็มีความวุ่นวายใจอีกแบบหนึ่ง พอไม่ได้ก็เกิดความเสียใจอีกแบบหนึ่ง ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่ถ้าไม่อยากเลยนี้เป็นอย่างไร แสนจะสบาย นั่งอยู่เฉยๆก็สบาย ไม่ต้องไปดิ้นรนกับอะไรทั้งสิ้น
ความอยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิภวตัณหา ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น อยากไม่มีหนี้ อยากไม่มีปัญหาต่างๆ อยากไม่มีความทุกข์ อยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่จน ไม่ติดคุกติดตะราง เรียกว่าวิภวตัณหา ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน เมื่อเกิดมีความอยากไม่เป็นขึ้นมา ก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา เวลาคิดถึงความแก่เป็นอย่างไรบ้าง ดีใจไหม คิดว่าต่อไปเราจะแก่นะ ดีใจไหมที่ต่อไปจะแก่ แต่ถ้าอยากจะแก่พอได้แก่ ก็จะดีใจใช่ไหม เหมือนกับอยากจะได้สามี อยากจะได้ภรรยา พอได้มาก็ดีอกดีใจ แต่ถ้าไม่อยากจะมีสามีมีภรรยา แล้วเกิดไปทำอะไรผิดพลาดต้องมีสามีภรรยาขึ้นมา ก็จะไม่สบายใจ นี้คือความอยากที่สร้างความทุกข์ต่างๆให้กับเรา เป็นตัวผลักดันจิตใจ ทำให้อยู่เฉยๆไม่ได้ หลังจากที่ร่างกายนี้แตกดับไปแล้ว ความอยากก็จะผลักให้จิตใจไปภพใหม่ภูมิใหม่ชาติใหม่ ไปเกิดอีก เพื่อจะได้ทำตามความอยากอีกนั่นเอง
ร่างกายนี้ก็เปรียบเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ที่เราใช้อยู่ทุกวัน เราต้องออกจากบ้านไปทำโน้นทำนี้ ไปที่นั่นไปที่นี้ เราก็ต้องใช้รถยนต์ พอรถยนต์พังไป แต่เรายังต้องออกไปนอกบ้าน อยู่เฉยๆไม่ได้ ก็ต้องไปหารถยนต์คันใหม่ ถ้ามีเงินก็ซื้อรถใหม่มา ถ้าไม่มีก็ขึ้นรถเมล์ขึ้นรถแท็กซี่ แต่จะให้หยุดไปไหนมาไหนนี้หยุดไม่ได้ เพราะติดเป็นนิสัยแล้ว เคยสังเกตกันไหมว่าวันๆหนึ่ง เคยอยู่บ้านเฉยๆได้บ้างไหม เช่น วันหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ เคยบอกกับตัวเองว่าวันนี้จะไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร นอกจากเวลาไม่สบายเท่านั้นแหละที่ไม่ไป ถ้าสบายดี เดี๋ยวต้องหาเรื่องไปจนได้ เพราะมีความอยากฝังอยู่ในใจ เป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่คอยผลักดันให้รถวิ่ง นี้คือปัญหาของพวกเราที่เราไม่รู้กัน มีคนอย่างพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกเท่านั้น ที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ดี เพราะได้ศึกษาจนเห็นแล้วว่าปัญหาคือความอยาก และก็รู้จักวิธีที่ดับความอยากนี้ได้ เป็นสิ่งที่ดับได้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่สุดวิสัย ถ้าตั้งใจจะดับแล้ว ต้องดับได้ เช่นสูบบุหรี่ ถ้ารู้ว่าบุหรี่เป็นโทษ ทำให้ตายก่อนเวลาอันควร ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลิกสูบเสีย ตอนที่เลิกใหม่ๆก็ทรมานใจบ้าง แต่ไม่นานเดี๋ยวก็หายไป เป็นเหมือนการรักษาแผล ก็เจ็บบ้าง ใส่ยาไปเรื่อยๆ ทนไปสักหน่อย เดี๋ยวแผลหาย ความเจ็บก็หายไป เหมือนกับเวลามีหนามตำอยู่ที่เท้า ก็ต้องบ่งออก ก็ต้องเจ็บบ้าง เวลาที่เข็มทิ่มแทงเข้าไป แต่ถ้าไม่เอาออก เวลาเดินไปไหนมาไหน ก็จะเจ็บอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีทางหายได้ จนกว่าจะเอาหนามออกมา ถ้ายอมเจ็บตัวบ่งหนามสักหน่อย พอออกมาแล้วความเจ็บก็หายไป พอแผลหายก็ไม่มีความเจ็บหลงเหลืออยู่เลย
ความอยากต่างๆ ก็เป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่ฝังอยู่ในจิตในใจ ที่เราต้องพยายามบ่งออกมาให้ได้ อย่าปล่อยให้ฝังอยู่อย่างนั้น เพราะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา การทำตามความอยากก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่กลับทำให้เสี้ยนหนามคือความอยาก ฝังลึกเข้าไปในจิตในใจมากขึ้น ทำให้เวลาที่จะต้องบ่งต้องถอนออกมา ยิ่งทรมานยิ่งเจ็บมากยิ่งขึ้น เราจึงไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ในการละความอยากต่างๆ เพราะถ้าปล่อยให้อยู่ไปนานๆ ทำตามความอยากไปเรื่อยๆ ก็จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เวลาที่จะถอนจะละ ก็จะทรมานจิตใจมากยิ่งขึ้นไป ถ้าเราต้องการพบกับความสุขที่แท้จริง ก็ต้องละความอยากต่างๆ ด้วยปัญญาเป็นหลัก เพราะไม่มีอะไรจะถอดถอนกิเลส ถอดถอนตัณหาความอยากต่างๆได้นอกจากปัญญาเท่านั้น สมาธิเป็นเครื่องสนับสนุนปัญญา ศีลเป็นเครื่องสนับสนุนสมาธิ ทานเป็นเครื่องสนับสนุนศีล ถ้ายังไม่มีศีลก็ต้องทำบุญทำทานไปก่อน เมื่อทำบุญทำทานแล้วก็จะมีศีล เมื่อมีศีลก็จะสามารถปฏิบัติให้เกิดสมาธิขึ้นมาได้ เมื่อมีสมาธิแล้วก็จะสามารถใช้ปัญญาถอดถอนความอยากได้ เช่นเรารู้ว่าการสูบบุหรี่เป็นโทษ ถ้าไม่มีสมาธิเราจะเลิกมันไม่ได้ จะสู้มันไม่ไหว ไม่มีกำลัง แต่ถ้ามีสมาธิแล้วใจจะมีกำลัง จะสามารถละความอยากสูบบุหรี่ได้ ความอยากทั้งหมด จะเป็นกามตัณหาก็ดี ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี จะต้องดับด้วยปัญญา จะต้องถอดถอนด้วยปัญญา โดยมีสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุน มีศีลเป็นเครื่องสนับสนุนสมาธิ มีทานเป็นเครื่องสนับสนุนศีล มีสัมมาทิฐิความเห็นชอบเป็นเครื่องสนับสนุนทานอีกที
การที่เราจะรู้ว่าการทำบุญทำทานจะพาไปสู่การเจริญศีล การเจริญสมาธิ การเจริญปัญญา เพื่อนำไปสู่การดับทุกข์ ด้วยการละตัณหาความอยากทั้งหลายให้หมดไปจากจิตจากใจ ก็เกิดขึ้นจากการมีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังธรรมะอยู่เรื่อยๆ ฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ เราจะได้เข้าใจว่าทำไมต้องมาทำบุญทำทาน ทำไมต้องรักษาศีล ทำไมต้องเจริญสมาธิ ทำไมต้องเจริญปัญญา พิจารณาให้เห็นโทษของสิ่งต่างๆ เพราะสิ่งต่างๆในโลกนี้ล้วนเป็นโทษทั้งนั้น ล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นเหมือนยาพิษ อยู่คนเดียวไม่มีปัญหาอะไร พออยู่กับอีกคนหนึ่งก็มีปัญหาตามมา มีสามี มีภรรยา ก็มีปัญหามีความทุกข์ตามมา ทุกข์เพราะความห่วงใย ทุกข์เพราะความกังวล ทุกข์เพราะทะเลาะเบาะแว้งกัน ทุกข์เพราะจากกัน นี้คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามมา กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไปแสวงหามา เพราะไม่ใช้ปัญญากัน ทำตามความอยากกัน คิดว่ามีสามี มีภรรยา จะมีความสุข ก็ไปหามาโดยไม่คิดว่าจะได้ทั้งความสุขและความทุกข์ปนกันมา เป็นเหมือนกับเหรียญที่มีอยู่ ๒ ด้าน มีหัวมีก้อย ฉันใดทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากได้มาครอบครอง ก็เป็นเหมือนกับเหรียญที่มี ๒ ด้าน มีทั้งคุณมีทั้งโทษ มีทั้งทุกข์มีทั้งสุข แต่ไม่เห็นกัน เห็นเพียงด้านเดียว เห็นด้านความสุข แต่ไม่เห็นด้านความทุกข์ที่ตามมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทุกข์ที่จะตามมาอย่างยาวนาน คือการเวียนว่ายตายเกิด ที่เกิดจากความอยากต่างๆ เราไม่เห็นกัน ก็เลยต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่เป็นอยู่กันทุกวันนี้ ภพชาติต่างๆที่เราเคยผ่านมาแล้ว นับไม่ถ้วน นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ มากมายก่ายกอง และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ถอดถอนความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากจิตจากใจ มันก็จะฉุดลากพาเราไปแบบลุ่มๆดอนๆ สุขบ้างทุกข์บ้าง เวลาสุขก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เวลาทุกข์นี้ทรมานมาก ดีไม่ดีอาจจะทนอยู่ไม่ได้ เวลาที่มีความทุกข์มากๆ ถึงกับทำร้ายชีวิตของตนเองไปก็มี เพราะคิดว่าเมื่อทำลายชีวิตแล้วความทุกข์ก็จะถูกทำลายไปด้วย แต่ความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายแต่อยู่ที่ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายไม่ได้ ทำลายร่างกายก็ไม่ได้ทำลายความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ เพราะความทุกข์ที่มีอยู่ในใจเกิดจากความอยากต่างๆ ถ้าอยากจะทำลายความทุกข์ก็ต้องทำลายความอยาก ต้องลดความอยาก ละความอยากทั้ง ๓ ประการ คือ ความอยากในกาม กามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น ภวตัณหา ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น วิภวตัณหา นี้คือเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริง เป็นศัตรูที่แท้จริง ที่เราจะต้องทำลายให้ได้
ขอให้ใช้เหตุผลเวลาต้องการอะไร ให้ถามว่ามีความจำเป็นไหม ถ้าไม่มีแล้วจะอยู่ได้ไหม ถ้าคำตอบคืออยู่ได้ ก็แสดงว่าไม่จำเป็น แต่ถ้าไม่มีแล้วอยู่ไม่ได้ก็ถือว่าจำเป็น สิ่งที่หามาด้วยความจำเป็นไม่ถือว่าเป็นความอยาก เช่นลมหายใจมีความจำเป็นไหม ถ้าไม่มีลมหายใจจะอยู่ได้หรือไม่ อยู่ไม่ได้ อย่างนี้มีความจำเป็น ต้องมีลมหายใจ แต่รถยนต์มีความจำเป็นไหม ถ้าไม่มีรถยนต์อยู่ได้หรือไม่ ถ้าอยู่ได้และถ้าไม่มีปัญญาไม่มีเงินทองที่จะไปซื้อมา ไปดิ้นรนหามันมาทำไม ให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ ความสุขที่ได้จากรถไม่คุ้มกับความทุกข์ที่ตามมา ทุกข์ที่จะต้องคอยผ่อนหนี้ ทุกข์ที่จะต้องคอยซ่อมแซม ทุกข์ที่จะต้องคอยเติมน้ำมัน มีแต่ความทุกข์มีแต่ปัญหาต่างๆตามมา เราไม่คิดกัน ถ้าหยุดคิดกันสักหน่อย ก็จะตัดปัญหาต่างๆได้ ตัดความอยากต่างๆได้ เราสามารถทำได้ทุกคน เมื่อตัดความอยากได้มากน้อยเพียงไร ความทุกข์ก็จะหมดไปมากน้อยเพียงนั้น ถ้าตัดความอยากได้หมดเลยก็จะไม่มีความทุกข์หลงเหลืออยู่ในจิตในใจเลย นี้คือสิ่งที่เราควรพุ่งเป้าไป คือการตัดความอยาก ละความอยากทั้ง ๓ ให้หมดไปจากจิตจากใจ เพราะไม่มีอะไรเป็นโทษมากกว่าความอยากทั้ง ๓ นี้
เราจึงต้องศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรมให้เกิดความเข้าใจ ให้รู้อย่างแจ้งชัดเจนว่า ปัญหาของพวกเราอยู่ที่ความหลง ที่ไม่รู้ว่าความอยากเป็นต้นเหตุของความทุกข์ ทุกวันนี้ที่เราทุกข์กันก็ทุกข์เพราะความอยาก เราจึงต้องเข้าฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ เพื่อจะได้คอยเตือนสติ คอยสอนเราไม่ให้ไปอยากกับอะไรในโลกนี้ เพราะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความทุกข์มากกว่าความสุข ไม่มีกลับสบายกว่า กลับมีความสุขมากกว่าเหมือนกับคนที่ติดยาเสพติด กับคนที่ไม่ติดยาเสพติดนี้ ใครจะมีความทุกข์มากกว่ากัน คนที่ไม่เสพนั้นแหละมีความทุกข์น้อยกว่าคนที่เสพ ฉันใดคนที่ไม่มีอะไรเลย มีความทุกข์น้อยกว่าคนที่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ คนที่ไม่มีสามีไม่มีภรรยาเป็นคนที่สบายกว่า ทุกข์น้อยกว่าคนที่มีสามีมีภรรยา แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็จะมองไม่เห็น จะคิดว่ามีสามี มีภรรยา แสนจะสุขกัน นี้คือความหลง เราจึงต้องเข้าวัดมาศึกษา มาฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มาทำกันอย่างสม่ำเสมอ มากันอย่างต่อเนื่อง ควรทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วปัญญาจะเจริญงอกงาม ทำให้เห็นผิดเป็นผิด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นสุขเป็นสุข ไม่ได้เห็นตรงกันข้ามอย่างที่พวกเราเห็นกันทุกวันนี้
เรายังเห็นทุกข์เป็นสุขอยู่ จึงวิ่งไปหาความทุกข์อยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้จักเบื่อ พอทุกข์ขึ้นมาก็ร้องห่มร้องไห้ โทษคนนั้นโทษคนนี้ แต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย ไม่โทษความหลงความโง่เขลาของตน ที่วิ่งไปหาความทุกข์ต่างๆ เราก็มีตัวอย่างที่ดีแล้ว เช่นพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย ท่านได้ดำเนินชีวิตสู่ความสุขอย่างแท้จริงให้พวกเราดูกัน เราก็ไม่ยึดเอามาเป็นแบบเป็นฉบับ กลับไปยึดแบบของคนโง่ ที่ต้องมีสมบัติข้าวของเงินทอง มีอะไรต่อมิอะไรมากมายก่ายกอง แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้ มาทุกข์มาวุ่นวายใจ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะไม่มีปัญญา คิดไม่เป็น ถ้ายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแบบเป็นฉบับแล้ว รับรองได้ว่าชีวิตของเราจะเดินไปสู่ความสุข ไกลจากความทุกข์อย่างแน่นอน จึงขอฝากเรื่องการศึกษาเพื่อจะได้เกิดปัญญา เพื่อจะได้เอาไปทำลายความหลงที่มีอยู่ในจิตในใจ ทำลายความอยากที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ให้นำไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้