กัณฑ์ที่ ๒๖๖ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ของฝาก ของยืม
การเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เราฉลาดขึ้น มีปัญญาความรู้มากขึ้น เพราะสิ่งที่ได้ยินที่วัดเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ที่จะไม่ได้ยินจากที่อื่นๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการจะพัฒนาสติปัญญาของตน ให้ฉลาดรอบรู้ให้ทันกับเหตุการณ์ต่างๆ ให้สามารถรับกับสภาพต่างๆได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่หวาดกลัว เพราะถ้ารู้ความจริงแล้วก็จะไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว น่าสะทกสะท้านแต่อย่างใด การที่พวกเรามีความหวาดกลัว มีความสะทกสะท้าน มีความหวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ดี ก็เป็นเพราะขาดสติปัญญาความรู้ทางพระพุทธศาสนานั่นเอง ไม่รู้ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าได้มาวัดมาฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น เป็นเหมือนของที่ยืมมา ไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะได้ทำใจให้ถูกต้อง ปฏิบัติกับสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ถ้าเรารู้ว่ามีของอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นของคนอื่นฝากไว้ ให้เรายืมใช้ สักวันหนึ่งก็ต้องมาเอาคืนไป เราก็จะไม่ยึดไม่ติด ไม่หวงแหน ไม่ถือว่าเป็นของเรา เวลาที่เขามาเอาคืนไป เราก็ไม่เดือดร้อน ไม่หวาดกลัวไม่ทุกข์แต่อย่างใด เพราะรู้อยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นของคนอื่น สักวันหนึ่งเขาก็จะมาเอาคืนไป เราก็คืนเขาไปอย่างสบายอกสบายใจ ไม่เสียอกเสียใจ ไม่ร้องห่มร้องไห้แต่อย่างใด เพราะรู้ว่าไม่ได้เป็นของเรา
นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายทรงรู้ทรงเห็น เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา รักษาศีล ทำบุญให้ทาน ก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ได้เป็นของใครเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆก็ดีที่มีอยู่ในโลกนี้ ล้วนมาจากดินน้ำลมไฟทั้งสิ้น มารวมตัวกันเป็นสิ่งต่างๆ เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า เป็นสัตว์ เป็นคน มาจากดินน้ำลมไฟทั้งสิ้น ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ก็จะเห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เช่นต้นไม้มาจากไหน ก็จากเมล็ดที่ฝังไว้ในดิน พอได้น้ำได้อากาศได้แดด ก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมาจนเป็นต้นไม้ใหญ่ เมื่อตายไปก็กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟไป ไม่ได้เป็นต้นไม้ไปตลอด ฉันใดร่างกายของเราก็เป็นแบบเดียวกัน มาจากดินน้ำลมไฟเช่นเดียวกัน โดยผ่านทางอาหารที่เรารับประทาน ก็มาจากดินน้ำลมไฟ เช่นข้าวที่เรารับประทานก็มาจากต้นข้าว ต้นข้าวก็ต้องมีดิน มีแดด มีลม มีน้ำ จึงจะโตขึ้นมาเป็นต้นข้าว แล้วก็ออกรวงข้าวเป็นเมล็ดข้าว เมื่อเอาเมล็ดข้าวมารับประทาน ก็เปลี่ยนเป็นอาการ ๓๒ ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา มีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน มีหนังเป็นต้น ถ้าไม่รับประทานข้าวเข้าไป จะมีร่างกายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ไหม ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะการเจริญเติบโตของร่างกายต้องอาศัยอาหารเป็นเครื่องสนับสนุนนั่นเอง เมื่อร่างกายเจริญเต็มที่แล้วในที่สุดก็ต้องตายไป ก็กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟเช่นเดียวกัน
เวลาตายไปแล้ว น้ำที่มีอยู่ในร่างกายก็ต้องไหลออกมา ลมก็ออกมา ไฟคือความร้อนก็ออกมา ถ้าไปจับร่างกายของคนตายจะแตกต่างกับคนเป็น คนเป็นจะมีความอบอุ่นเพราะยังมีธาตุไฟอยู่ แต่คนตายจะไม่มีความอุ่นอยู่เลย จะมีแต่ความเย็น เพราะธาตุไฟได้ออกจากร่างกายไปหมด เหลือแต่ธาตุดินคือส่วนที่แข็ง เช่นกระดูก หนัง เนื้อ ต่อไปก็แห้งกรอบ กลายเป็นขี้ฝุ่นขี้ดินไปในที่สุด ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นว่าร่างกายก็เป็นแค่ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง ไม่ได้มีตัวเราอยู่ในร่างกายนี้เลย ตัวเรานี้มาจากอะไร ก็มาจากใจที่มาครอบครองร่างกายขณะที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา หลังจากที่ได้รับธาตุของพ่อกับแม่มาผสมกัน ก็จะมีใจที่ตายจากชาติก่อนมาครอบครอง จึงเกิดการปฏิสนธิขึ้นมาเป็นรูปร่าง เป็นทารกอยู่ในครรภ์ ก็อาศัยอาหารที่อยู่ในร่างกายของคุณแม่ มาหล่อเลี้ยงร่างกายของทารกให้เจริญเติบโต เมื่อโตเต็มที่แล้วก็ต้องคลอดออกมา ก็มีการเกิดที่ครบทั้ง ๒ ส่วน คือร่างกายและจิตใจ จิตใจไม่ได้มาจากพ่อจากแม่ ร่างกายมาจากพ่อจากแม่ แต่จิตใจมาจากดวงวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วจากชาติก่อน อย่างพวกเราเมื่อตายไปดวงวิญญาณก็ออกจากร่างไป ก็ไปแสวงหาร่างใหม่ ชาติก่อนเราตายไปแล้ว ก็ออกจากร่างไปแสวงหาร่างใหม่ จนในที่สุดก็ได้ร่างกายของมนุษย์ จึงเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มาหลงมายึดมาติดว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
พอต้องจากร่างกายไป ต้องตายไป ก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ทุกข์ใจ วุ่นวายใจ เพราะไม่มีใครบอกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ได้รับมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่จะไม่อยู่กับเราไปตลอด เป็นเหมือนของฝาก ธรรมชาติคือดินน้ำลมไฟมาฝากเราไว้ แล้วสักวันหนึ่งก็จะเอากลับคืนไป ถ้าเรารู้ว่าเป็นอย่างนี้ ก็จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าร่างกายของเรานี้สักวันหนึ่งต้องคืนเขาไป ต้องคืนธรรมชาติ คืนดินน้ำลมไฟไป ถ้ารู้แล้วก็เป็นเหมือนกับของที่ยืมมา ต้องคืนเจ้าของไป เราก็ไม่หลงยึดติดว่าเป็นของเรา เราก็เตรียมตัวเตรียมใจ คอยวันเวลาที่เจ้าของจะมาเอาคืนไป ก็คืนเขาไปเท่านั้นเอง ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เราก็อยู่อย่างมีความสุขกับของที่เขาฝากไว้ เราก็เอามาใช้ เอามาทำประโยชน์ไปเรื่อยๆ พอถึงวันที่เขาจะมาเอาคืนไปก็คืนเขาไป ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ร่างกายของเราก็ดีหรือสมบัติต่างๆที่เรามีอยู่ก็ดี ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นของเรา เป็นของฝาก เราก็ดูแลรักษาและนำไปใช้ประโยชน์เท่าที่จะสามารถทำได้ ถ้าฉลาดก็เอามาทำประโยชน์แก่จิตใจ ให้ฉลาดขึ้น รู้มากขึ้น มีกำลังมากขึ้นที่จะต่อสู้กับความหลง ที่จะคอยหลอกล่อให้ไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ ปัญหาของพวกเราก็คือ ใจของพวกเราไม่มีกำลังที่จะสู้กับความหลง ที่หลอกให้ไปยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ให้อยากได้สิ่งต่างๆ โดยไม่คิดเลยว่าไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง เป็นเพียงของฝาก เป็นของยืมมา สักวันหนึ่งก็ต้องคืนเขาไป
นี้คือสิ่งที่เราขาดกัน คือสติปัญญาและกำลังใจที่จะต่อสู้กับความหลง ทั้งๆที่ได้ยินได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่บ่อยๆว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีตัวตน ไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากดินน้ำลมไฟทั้งสิ้น มีใจมาครอบครองแล้วก็หลงคิดว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา ถ้าได้ศึกษาได้ปฏิบัติจนทำให้จิตใจมีกำลังที่จะต่อสู้ ก็จะสามารถเอาชนะความหลงความยึดติดได้ เราก็จะไม่ไปยินดี ไม่ไปอยากได้อะไรมาครอบครอง มาเป็นสมบัติ เพราะรู้ว่าได้มามากน้อยเพียงไร สักวันหนึ่งก็ต้องคืนไปหมด ซึ่งจะเป็นเวลาที่ทุกข์ทรมานมาก ถ้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ แต่ถ้าเรารู้เราก็จะไม่ไปขวนขวายหาสิ่งต่างๆ มามากมายก่ายกองเกินความจำเป็น มีไว้ทำไมเงินมากๆ ตายไปก็เอาไปไม่ได้สมบัติทุกชิ้นที่มีอยู่ก็ต้องทิ้งให้คนอื่นไปหมด มีไว้ก็มีแต่ความลำบากลำบนต้องคอยดูแลรักษา ต้องห่วง ต้องหวง ไม่มีความสุขเลย แต่ไม่คิดกัน เพราะถูกความหลงหลอกอยู่ตลอดเวลา หลอกให้คิดว่า มีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้แล้วจะมีความสุข แต่เป็นความสุขในขณะที่ได้มาเท่านั้น เวลาได้อะไรมาก็ดีอกดีใจ หลังจากนั้นก็เอาไปวางไว้เฉยๆ ไม่ได้ไปสนใจอีกต่อไป จึงมีของเต็มบ้านไปหมด แต่ใจก็ยังไม่พอ ก็ยังอยากจะได้อีกเพราะอยากจะสัมผัสกับความสุขในขณะที่ได้มาเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้มองถึงความทุกข์ที่จะตามมา เมื่อมีสมบัติแล้วก็มีความหลงยึดติด มีความหวง ความห่วง มีความเสียดายเวลาที่หายไป เวลาที่จากไป ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้มันเลย ถูกขโมยไปก็เสียใจเสียดาย เพราะถูกความหลงหลอกให้ยึดให้ติดนั่นเอง
แต่ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำเอามาสอนใจอยู่เรื่อยๆ มาเตือนสติอยู่เรื่อยๆว่า ของทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ยืมมา สักวันหนึ่งก็จะต้องคืนไป เราก็จะไม่กังวล ไม่หวง ไม่ห่วงกับของต่างๆที่มีอยู่ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องจากเราไป แต่เราจะอยู่อย่างสบายใจ ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนอะไร อยู่แบบไม่ต้องมีอะไรมากมายก็อยู่ได้ แต่ไม่ชอบอยู่กัน ชอบอยู่แบบมีอะไรมากๆ มีสิ่งต่างๆมาเอื้ออำนวยความสุขความสบาย มีพัดลม มีวิทยุ มีโทรทัศน์ มีตู้เย็น ที่ไม่มีเราก็อยู่ได้ สมัยก่อนสมัยที่เมืองไทยไม่มีไฟฟ้า เราก็ไม่มีตู้เย็น ไม่มีพัดลม ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีวิทยุ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ปู่ย่าตายายของเราก็อยู่กันมาได้อย่างสุขอย่างสบาย ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพราะใจของเราสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีอะไร เช่นใจของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวก ท่านก็อยู่แบบไม่มีอะไร บ้านก็ไม่มี สมัยก่อนพระไม่มีวัดอยู่กัน ส่วนใหญ่จะอยู่ตามถ้ำ ตามโคนไม้ อยู่ตามเรือนร้าง ก็อยู่กันได้ พอมีที่หลบแดดหลบฝนก็อยู่ได้แล้ว มีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวก็พอ คือผ้าไตรจีวร ผ้า ๓ ผืน มีผ้านุ่ง ผ้าห่ม แล้วก็ผ้าห่มกันหนาวอีกผืนหนึ่ง เท่านี้ก็พอเพียงแล้ว นี้คือความจริงที่พวกเราไม่ค่อยได้สนใจศึกษากัน ปล่อยให้ความหลงมาหลอกให้สร้างความสุขตามจินตนาการของเรา ฝันว่ามีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้แล้วจะมีความสุข พอได้มาก็สุขใจชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ติดสิ่งนั้นไป เหมือนคนที่ติดยาเสพติด คนเราไม่เสพยาเสพติดก็อยู่ได้และมีความสุขสบายกว่าคนที่ติดยาเสียอีก
ฉันใดคนที่ติดโทรทัศน์ ติดวิทยุ ติดอะไรต่างๆ ก็เป็นอย่างนั้น คนที่ไม่ติดจะไม่เดือดร้อนเหมือนกับคนที่ติด คนที่ติดละครพอถึงเวลาก็ไปไหนไม่ได้ ต้องคอยดูละคร ดูแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ดูเพื่อความเพลิดเพลิน แล้วก็ผ่านไป แล้วก็มีเรื่องใหม่มาให้ติดมาให้ดูอีก ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนแก่ตาย ก็ยังไม่หยุด ยังไม่เจอความสุขที่แท้จริงสักที ยังมีความอยาก มีความต้องการดูสิ่งนั้นดูสิ่งนี้อยู่เรื่อยๆ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติของใจ ว่าความสุขของใจอยู่ตรงไหน แต่ถ้าได้มาพบพระพุทธเจ้า ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะรู้ว่าความสุขของใจไม่ได้อยู่กับสิ่งภายนอก มีมากน้อยเพียงไรก็ไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง มีแต่จะให้ความทุกข์ เพราะไปหลงไปยึดไปติด ต้องคอยกังวลดูแลรักษา ต้องหวง ต้องห่วง ต้องเสียอกเสียใจเวลาที่จากไป พระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกจึงไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากสิ่งจำเป็นที่ดูแลรักษาชีวิตนี้เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ท่านมี ที่พวกเราไม่มีกัน ก็คือความสุขที่แท้จริง คือความสงบของจิตของใจนี้เอง ถ้าใจสงบเมื่อไรเราจะพบกับความสุขเมื่อนั้น เป็นความสุขที่แท้จริง ที่มีอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแต่ใจไม่รู้ แทนที่จะพยายามทำใจให้นิ่ง กลับไปกวนใจด้วยการคิด ด้วยการแสวงหา ด้วยความอยากกับสิ่งต่างๆ เมื่อได้มาแล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับการดูแลรักษา ใจจึงไม่เคยสัมผัสความสุขที่แท้จริงเลย
พระพุทธเจ้าตอนก่อนที่จะทรงตรัสรู้ ก็เป็นเหมือนพวกเรา มีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย เป็นถึงราชโอรส มีครบถ้วนทุกอย่างเรื่องความสุขทางโลก แต่ทรงมีความฉลาดจึงเห็นว่า ความสุขเหล่านี้ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง จึงทรงพยายามศึกษาหาความรู้ ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ก็ได้ทรงทราบว่ามีพวกนักบวชที่กำลังแสวงหาความสุขที่แท้จริงกัน หาความสุขจากความสงบของจิตใจ ที่จะสงบระงับได้ก็ต้องกำจัดสิ่งที่ทำให้ไม่สงบ คือกิเลสตัณหาโมหะความหลงที่มีอยู่ในใจ ถ้าอยากจะพบกับความสุขที่แท้จริง ก็ต้องกำจัดกิเลสตัณหาความหลงต่างๆ ให้หมดไปจากจิตจากใจ ด้วยการปฏิบัติตามทางแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมา ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ สามีภรรยา แล้วก็ออกบวชกัน ไปปฏิบัติธรรม รักษาศีล บังคับกายวาจาใจไม่ให้ไปทำบาปทำกรรม ที่จะทำให้ทุกข์ให้วุ่นวายใจ แล้วก็บำเพ็ญภาวนา นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ ด้วยการมีสติระลึกถึงลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ให้รู้อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปรู้เรื่องอื่น ไม่ให้ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้รู้แต่ลมหายใจเข้าออก หรือจะบริกรรมพุทโธๆไปภายในใจก็ได้ ก็พุทโธๆไปเรื่อยๆ ไม่ให้ไปคิดอะไร เพราะถ้าคิดแล้วใจจะไม่นิ่งไม่สงบ ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกหรืออยู่กับพุทโธๆไปเรื่อยๆแล้ว ไม่ช้าก็เร็วใจก็จะสงบตัวลงไป เมื่อสงบแล้วเราจะรู้ทันทีเลยว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงนี้เอง
เมื่อก่อนนี้เราหลงไปหาความสุขจากเงินทอง จากข้าวของต่างๆ จากคนนั้นจากคนนี้ แต่ไม่ได้เจอความสุขแบบนี้เลย เป็นความสุขที่ละเอียด สุขุมเต็มไปด้วยความอิ่มความพอ เพียงแต่ว่าความสุขที่เกิดจากการนั่งสมาธิอยู่ได้ไม่นาน จิตก็ต้องถอนออกมา แล้วก็เริ่มไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตามอำนาจของความหลงที่ผลักดันให้ไปอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จึงต้องปฏิบัติธรรมอีกขั้นหนึ่ง ที่เรียกว่าปัญญาหรือวิปัสสนา ต้องคอยสอนจิตสอนใจไม่ให้ไปเอาสิ่งต่างๆที่อยากได้มา เพราะไม่เป็นความสุขที่แท้จริง แต่เป็นความทุกข์ มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เราได้อะไรมาวันนี้เราก็ดีใจ แต่พอมันเสียไป พังไป หายไป จากเราไป เราก็ต้องเสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้ นี้คือปัญญา คือวิปัสสนา ทุกครั้งที่อยากจะได้อะไร ต้องใช้ปัญญาเข้าไปหักห้าม ถามว่าจำเป็นไหม ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็เอามาได้เพราะยังต้องดำรงชีพอยู่ เช่นลมหายใจ เรายังต้องหายใจเข้าออกอยู่ ถ้าไม่มีลมหายใจเราก็อยู่ไม่ได้ อย่างนี้ก็ต้องมีลมไว้หายใจ อาหารก็ต้องมีไว้รับประทาน เป็นของจำเป็น แต่ของที่ไม่จำเป็น เช่นวิทยุ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม อะไรต่างๆเหล่านี้ ไม่มีก็อยู่ได้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปมีดีกว่า แต่ถ้าจำเป็นต้องมีก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ไม่ไปยึดไปติด ต้องพร้อมให้จากไป ถ้าไม่พร้อม ไปหลงไปยึดไปติด ก็จะมีแต่ความทุกข์ ทางที่ดีที่สุดก็คือไม่มีได้จะดีกว่า เอาพระพุทธเจ้า เอาพระอรหันตสาวกเป็นตัวอย่าง
นี้คือเป้าหมายของพวกเรา ที่ควรขยับขึ้นไปๆ ควรลดละสิ่งต่างๆที่มีอยู่ให้น้อยลง ไม่ไปสะสม ไปแสวงให้มีมากขึ้น เพราะเป็นการเดินผิดทาง ไม่ได้เดินไปสู่ความสุข แต่ไปสู่ความทุกข์ ถ้าต้องการความสุขต้องลด ต้องละ ต้องตัด ให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ให้พอเพียงต่อการดำรงชีวิตก็พอ แล้วทุ่มเทเวลามากับการรักษาศีล กับการภาวนาดีกว่า มาต่อสู้กับความโลภ ความอยากต่างๆ ความหลงต่างๆ ด้วยการนั่งสมาธิและเจริญปัญญา ถ้าทำแบบนี้แล้วต่อไปความโลภ ความอยาก ความหลงต่างๆ จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ทำให้อยู่อย่างสุขอย่างสบายมากขึ้น ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้มีอะไรมากมายก่ายกอง แต่หาความสุขไม่เจอ มีแต่ความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้พอได้ลดได้ละได้ตัดความโลภ ความหลง ความอยากให้น้อยลง อยู่เฉยๆก็มีความสุข ไม่ต้องไปกดรีโมทเปิดดูโทรทัศน์ ไม่ต้องออกไปดูหนัง ไม่ต้องออกไปกินเลี้ยง ไม่ต้องไปเที่ยวที่นั้น ไม่ต้องไปเที่ยวที่นี้ เพราะไม่มีความอยากผลักให้ไปนั่นเอง อยู่เฉยๆก็มีความสุขแล้ว เรื่องอะไรต้องไปเหนื่อยยากกับการไปตามสถานที่ต่างๆทำไม เวลาออกไปก็ดีใจ เพราะความอยากได้สมอยาก แต่พอกลับมาแล้วเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม เพลียไหม รู้อย่างนี้ไม่ออกไปดีกว่า แต่ก็อยู่บ้านไม่ได้ อยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังที่จะสู้กับความอยากกับความหลงนั่นเอง แต่ถ้าเอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พยายามปฏิบัติอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ ก็จะมีกำลังที่จะต่อสู้ ทรงมีสมบัติข้าวของเงินทองมากน้อยเพียงไร ก็ทรงสละไปหมด ทรงบำเพ็ญรักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญปัญญา พวกเราก็สามารถทำได้ ไม่มีใครมาห้าม
มีตัวเราเท่านั้นที่ห้ามตัวเราเอง มีความหลงเท่านั้นที่คอยห้ามเราอยู่เสมอ แต่ถ้าได้นั่งวิเคราะห์นั่งพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว ก็จะต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เพราะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะให้ความสุขที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตของเราก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นแบบสุกๆ ดิบๆ มีสุขมีทุกข์ผสมกันไป เวลาทุกข์ก็ทรมานแทบตายเลยทีเดียว เรามีทางเลือกอยู่ ๒ ทาง เมื่อเลือกแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา อย่าไปโทษใคร ถ้าไม่กลัวความทุกข์ยังอยากจะไปทางที่เคยไปอยู่ เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นมาก็อย่าไปโทษใคร ก็ต้องทนไป แต่ถ้าไม่อยากจะเจอกับความทุกข์ก็ต้องไปทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินไป เป็นทางที่ไม่มีความทุกข์ในบั้นปลาย แต่จะมีความยากลำบากในเบื้องต้น เพราะการต่อสู้กับความโลภความอยากความหลงเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก การสละสมบัติข้าวของเงินทอง สามีภรรยา ไปอยู่คนเดียว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย แต่ก็ไม่สุดวิสัย พวกเราสามารถทำได้ ถ้าฉลาดและมีกำลังใจพอที่จะทำ จึงอยากจะให้ท่านทั้งหลายนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ ตามกำลังสติปัญญา ศรัทธาความเพียร เพื่อความสุขที่แท้จริงที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้