กัณฑ์ที่ ๒๖๗ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
เชื้อแห่งภพชาติ
วันนี้ท่านทั้งหลายมีความตั้งใจมาวัดกัน เพื่อมาเสริมสร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิต ด้วยการบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ตามกำลังแห่งสติปัญญาของแต่ละท่าน อันเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูชาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นกิจที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกเช้าทุกเย็นและทุกเวลาถ้าสามารถทำได้ เพราะการบูชาพระรัตนตรัยไม่ได้หมายถึงการจุดธูปเทียนแล้วก็กราบ ๓ ครั้งเท่านั้น แต่เป็นการเจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของพระพุทธศาสนา และเป็นเป้าหมายที่พุทธศาสนิกชนพึงดำเนินไปให้ถึงให้ได้ เพราะเป็นจุดพัฒนาที่สูงสุดของจิตใจ มีพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกที่ได้ดำเนินไปแล้วเป็นตัวอย่าง ที่สามารถยกระดับจิตจากปุถุชนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในห้วงของความทุกข์ ความเกิดแก่เจ็บตายแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น ให้เป็นพระอริยบุคคล ให้อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวงได้ ด้วยการศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนพระพุทธเจ้าเองก็ต้องศึกษาด้วยพระองค์เอง เพราะไม่มีครูไม่มีอาจารย์ที่จะสามารถสอนให้พัฒนาจิตใจให้ถึงจุดสูงสุดได้ บรรดาครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่ได้ทรงไปศึกษาก็สอนได้เพียงระดับกลางๆเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นสูงสุด สอนได้ในระดับสมาธิ ระดับฌาน แต่ไม่มีใครจะสามารถสอนในระดับปัญญา ที่เรียกว่าวิปัสสนา ความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง ของสภาวธรรมทั้งหลาย ว่าไม่มีตัวไม่มีตน
ไม่มีใครสามารถรู้สามารถเห็น ความไม่มีตัวตนในสภาวธรรมทั้งหลายได้ มีแต่พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแก่กล้า เช่นเจ้าชายสิทธัตถะ คือพระพุทธเจ้าของเราเท่านั้น ที่ต้องบำเพ็ญด้วยพระองค์เอง ศึกษาค้นคว้าพิจารณาไปเอง จนห็นธรรมอันประเสริฐที่ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวไม่มีตน ซึ่งเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะมีปัญญามองทะลุเห็นความจริง ของสภาวธรรมทั้งหลายได้ด้วยตนเอง เช่นร่างกายของพวกเราเป็นต้น ทรงเห็นอย่างชัดแจ้งว่า ไม่มีตัวตนอยู่ในร่างกายนี้เลย ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา หลังจากที่ได้ทรงรู้ทรงเห็นแล้ว จึงนำเอาเผยแผ่ให้กับผู้อื่นต่อไป ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วมีปัญญาสามารถรับไปพินิจพิจารณาได้ ก็จะสามารถมองเห็นอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงเห็น ว่าเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงไม่มีตัวไม่มีตน เมื่อสามารถมองเห็นทะลุอย่างชัดแจ้งแล้วก็จะปล่อยวางสภาวธรรมทั้งหลายได้ ไม่ยึดไม่ติด เมื่อไม่ยึดไม่ติด ความทุกข์ต่างๆก็จะไม่เข้ามาสู่จิตใจอีกต่อไป นี้คือคุณธรรมอันวิเศษของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย ที่เราสวดกันอยู่ทุกวัน อิติปิโส ภควาอรหัง สัมมาสัมพุทโธฯลฯ คำว่าอรหังแปลว่าผู้ที่สิ้นกิเลส สัมมาสัมพุทโธ ผู้ที่ตรัสรู้โดยชอบด้วยตนเอง ไม่มีใครสั่งไม่มีใครสอน ต้องศึกษาด้วยตนเอง คือพระพุทธเจ้า สำหรับผู้อื่นไม่ต้องมาสอนตนเอง ให้ยากให้ลำบากให้เสียเวลา ค้นคว้าหาความจริง เพราะความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้า ได้ถูกนำออกมาเผยแผ่ให้กับสัตว์โลกได้รับรู้กันแล้ว เพียงแต่รับไปพินิจพิจารณาเท่านั้น ก็จะเห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น
ไม่ต้องเสียเวลาคลำหาทางเหมือนกับคนตาบอด ถ้าต้องเดินทางไปคนเดียวโดยลำพัง ไม่มีคนตาดีนำพาไป ก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไปได้ แต่ถ้ามีคนนำทางไปก็จะไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ถ้าคลำหาทางไปเองอาจจะไปถึงก็ได้ อาจจะไปไม่ถึงก็ได้ แล้วแต่ความสามารถ ถ้าเก่งจริงๆฉลาดจริงๆ ก็อาจจะไปถึงจุดหมายปลายทางก็ได้ แต่จะต้องใช้เวลาอันยาวนานกว่าจะไปถึง นานกว่าเวลามีคนพาไป ไม่ต้องเสียเวลาทดลองไปถนนเส้นนั้นไปถนนเส้นนี้ นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฏิบัติกับพระองค์ในเบื้องต้น ปฏิบัติชำระพระทัยของพระองค์ให้สิ้นจากกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยการเจริญวิปัสสนา จนตรัสรู้เห็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน ก็ไม่ยึดไม่ติดกับอะไร ไม่อยากจะได้อะไร เพราะเมื่อได้อะไรมาแล้วก็ต้องสูญเสียไป เพราะธรรมชาติของสิ่งต่างๆ สภาวธรรมต่างๆ ล้วนเป็นอนิจจังทั้งสิ้น คือไม่เที่ยง ถ้าไปหลงไปยึดไปติดอยากจะให้อยู่กับตนไปนานๆ เวลาที่จากกันก็ต้องเศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้ ผู้ที่มีวิปัสสนาญาณ มีปัญญา ย่อมเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในสภาวธรรมทั้งหลาย เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ยินดี ไม่มีความปรารถนาที่จะไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความทุกข์นั่นเอง
เพราะสภาวธรรมคือสิ่งต่างๆในโลกนี้ ที่พวกเราทั้งหลายหลงรัก หลงยินดี หลงชอบ อยากได้มาเป็นสมบัติ ก็เป็นความทุกข์ทั้งนั้น เพราะธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังไม่เที่ยง ทุกข์ก็คือให้ความทุกข์กับผู้ที่ไปเกี่ยวข้องด้วย อนัตตาไม่ได้เป็นสมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด เป็นของธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นของโลกนี้ มีดวงจิตดวงใจของพวกเรามาครอบครองว่าเป็นสมบัติของเรา เพราะความหลง จึงไปยึดไปติด อยากจะให้เป็นไปตามความปรารถนา ตามความต้องการ เมื่อไม่ได้ดังใจก็เศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้ แต่ผู้ที่มีวิปัสสนาญาณแล้วเช่น พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายท่านจะไม่ยึดไม่ติด ท่านปล่อยวาง ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งต่างๆมาให้ความสุข สิ่งต่างๆในโลกนี้ให้ความสุขได้ก็เพียงชั่วขณะ เป็นครั้งเป็นคราว แต่ความทุกข์ที่แถมมาด้วยเป็นความทุกข์ที่แสนสาหัส แสนเจ็บปวด แสนทรมาน ไม่คุ้มกับความสุขที่ได้รับจากสิ่งต่างๆเลย นี้คือวิสัยของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก คำว่าอรหันต์ก็แปลว่า ผู้สิ้นกิเลส ผู้ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในจิตในใจ เป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตที่ไม่มีภพชาติอีกต่อไป เพราะเหตุที่จะสร้างภพสร้างชาติก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง เมื่อไม่มีเหตุ ผลก็ไม่มีตามมา เหมือนกับไฟถ้าไม่มีเชื้อ ไฟก็ต้องดับไป ถ้าจุดเทียนทิ้งไว้ เมื่อเทียนถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว ไฟก็ต้องดับตามไปด้วย เพราะไม่มีเชื้อไฟนั่นเอง
ฉันใดภพชาติก็ต้องหมดไป เมื่อเชื้อของภพชาติ คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ถูกทำลายไปหมด พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายจึงไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป จิตของท่านเป็นพระนิพพานเป็นจิตที่ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ไปหาความสุขความทุกข์จากสิ่งต่างๆ ในสังสารวัฏ ในภพทั้ง ๓ ไม่ว่าจะเป็น กามภพ รูปภพ หรืออรูปภพก็ตาม จิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่ไปไหนแล้ว อยู่ที่พระนิพพาน ที่เป็นปรมังสุขัง เป็นความสุขอย่างยิ่งยวดที่สุด ไม่มีความสุขอื่นใดในโลกนี้ จะเสมอหรือเหนือกว่าความสุขของพระนิพพานไปได้ นี้คือความหมายของอรหันต์ เป็นฐานะที่พวกเราสามารถไขว่คว้าได้ ถ้ามีปัญญาเข้าใจถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติ เข้าใจว่าทำไมจะต้องทำบุญให้ทาน ทำไมจะต้องรักษาศีล ทำไมจะต้องนั่งสมาธิ ทำไมต้องเดินจงกรม ทำไมต้องพิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา เกิดแก่เจ็บตาย ทำไมต้องฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้าเป็นคนฉลาดจะรู้จะเข้าใจว่าเป็นวิธีกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ กำจัดเชื้อแห่งภพชาติให้หมดไป เมื่อไม่มีเชื้อของภพของชาติแล้วการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มีอีกต่อไป เมื่อไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ที่เกิดจากการแก่การเจ็บการตายก็หมดไปเช่นเดียวกัน ดังที่พระบาลีแสดงไว้ว่าทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ตราบใดยังมีการเกิดอยู่ ทุกข์ย่อมมีกับผู้เกิดทั้งนั้น ไม่ว่าใครทั้งสิ้น
เพราะเมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา เมื่อเกิดกับผู้ที่ยังมีความหลง มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็จะต้องทุกข์อย่างแน่นอน ยกเว้นจิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้ว เช่นจิตของ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ แม้ยังจะต้องอยู่กับสิ่งต่างๆในโลกนี้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่จิตของท่านจะไม่มีความสะทกสะท้านกับเรื่องต่างๆเลย ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากกัน จะไม่มีความรู้สึกอะไรกับสิ่งเหล่านี้เลย รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับฝนตกแดดออก อย่างไรก็อย่างนั้น พวกเราก็ไม่มีความสะทกสะท้าน ไม่มีความหวั่นไหวกับฝนตกแดดออก แต่ทำไมต้องมาสะทกสะท้านกับเรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เรื่องพลัดพรากจากกัน ก็เป็นเพราะยังมีความหลงอยู่ ทำให้เกิดมีความอยาก อยากให้สิ่งที่ตนชอบอยู่ไปนานๆ แต่เมื่อไม่อยู่ไปนานๆ ก็เศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้ เวลาที่ต้องจากกัน เวลาที่อยู่ก็มีแต่ความกังวลใจ ไม่รู้ว่าจะจากกันเมื่อไร นี้คือผลของความหลง หลงให้ไปยึดไปติดให้ไปอยาก แต่คนฉลาดที่กำจัดความหลงได้แล้ว จะเห็นว่าห้ามไม่ได้ สิ่งต่างๆในโลกนี้ต้องเป็นไปตามเรื่องของเขา เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ห้ามได้ก็คือใจ ห้ามด้วยปัญญาไม่ให้ไปหลง ไปยึด ไปติด ให้เพียงแต่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เวลามีก็ไม่ยึดไม่ติด เวลาไม่มีเวลาหมดไป ก็ไม่เสียอกเสียใจ
นี้คือจิตของผู้ที่ไม่มีกิเลส จะเป็นอย่างนี้ จิตของพระพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ทุกข์กับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเจริญของลาภยศสรรเสริญสุขทั้งหลาย จะได้เงินทองมามากน้อยเพียงไรก็ไม่รู้สึกอะไร จะได้ยศได้เกียรติก็ไม่รู้สึกอะไร ได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากน้อยเพียงไร ก็ไม่รู้สึกอะไร จะเห็นจะสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ มากน้อยเพียงไร หยาบหรือละเอียดขนาดไหน วิเศษขนาดไหนก็ตาม ก็จะไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกเฉยๆ ในทางตรงกันข้ามเวลาที่สิ่งต่างๆเหล่านี้เสื่อมไป ก็จะไม่รู้สึกอะไรเช่นกัน เวลาเสื่อมลาภ เงินทองหมดไป ไม่มีเหลือแม้แต่บาทเดียว จะไม่เศร้าโศกเสียใจเลย เพราะไม่ได้อาศัยเงินทองเป็นที่พึ่งนั้นเอง จะถูกปลดออกจากตำแหน่งต่างๆก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้ยึดไม่ได้ติดกับตำแหน่งเหล่านั้น จะถูกนินทาว่ากล่าวให้ร้ายอย่างไรก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้อยู่กับขี้ปากของคน ไม่ดีใจเวลามีคนสรรเสริญเยินยอ ไม่ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจเวลาถูกด่าว่านินทาสาปแช่ง เพราะจิตไม่ได้อยู่กับคำพูดของคนนั่นเอง จิตอยู่กับธรรมะ อยู่กับความจริง อยู่กับปัญญา เมื่อมีปัญญา มีธรรมะ มีความจริงอยู่ในใจแล้ว จะไม่มีอะไรมาสร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจให้ได้เลย นี้คือจิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้ว เป็นอย่างนี้ มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และในขณะที่ตายไป หลังจากที่ตายไปแล้วก็ยังมีความสุข
เพราะจิตไม่ได้ตายไปกับร่างกาย จิตเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ก็ดี หรือจิตของปุถุชนอย่างพวกเราทั้งหลายก็ดี ก็เป็นสิ่งที่ไม่ตายเหมือนกัน ต่างกันตรงที่จิตของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ไม่ต้องไปเกิดอีกแล้ว หมดสิ้นจากความทุกข์แล้ว มีแต่ความสุขเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ แต่จิตของพวกเราเป็นจิตของปุถุชน ที่ยังมีกิเลสตัณหา ความโลภ ความอยาก ความหลงอยู่ จึงยังต้องไปก่อไปสร้างความทุกข์ให้กับตนเอง ด้วยการไปเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตาย ไปพลัดพรากจากกัน แล้วก็ไปใช้เวรใช้กรรมที่ได้สร้างมาในแต่ละภพในแต่ละชาติ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าตราบใดยังไม่ได้กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ การที่จะกำจัดกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปได้นั้น ในเบื้องต้นต้องเจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คือการบูชาพระรัตนตรัยนั่นเอง ถ้าอยู่ที่ไหนกราบพระได้ก็กราบ แต่ถ้าไม่เหมาะสมกับการกราบก็ไม่เป็นไร เพราะการบูชาไม่ได้อยู่ตรงนั้น การบูชาที่แท้จริงอยู่ที่การระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นกิเลส เป็นจุดเป้าหมายที่ต้องไปถึงให้ได้ แล้วก็ศึกษาต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะได้เป็นผู้ที่สิ้นกิเลสเหมือนกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องเจริญพระธรรมคุณ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะพาไปสู่พระนิพพานนั่นเอง ก็ต้องรู้ว่าพระธรรมคุณมีอะไรบ้าง เช่นสวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว
หมายความว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาททุกคำนั้น ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่มีความโกหกหลอกลวงเจือปนอยู่เลย ทรงสอนว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน ก็เป็นความจริง ตายแล้วต้องไปเกิดก็เป็นความจริง ไปเกิดในสวรรค์ในนรก ขึ้นอยู่กับบาปกับบุญที่ทำไว้ ถ้าทำบุญไว้มากเมื่อได้เวลาที่บุญจะส่งผลให้ ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ไปสู่สุคติ ไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นอริยบุคคล หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาบำเพ็ญบุญกุศลต่อไป ถ้าเป็นวาระของบาปที่จะแสดงผล ก็ต้องไปเกิดในอบาย ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก นี้คือที่ไปของจิตใจของปุถุชนอย่างเราอย่างท่านทั้งหลาย ผู้ที่ยังไม่สามารถตัดภพชาติได้ จึงต้องไปเกิดในภพชาติต่างๆ ตามบุญตามกรรมที่ได้สะสมมา ถ้าไม่ต้องการที่จะไปเกิดในอบายในนรก อยากจะไปเกิดในสวรรค์ หรืออยากจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องรักษาศีล ๕ ให้ได้ เพราะศีล ๕ จะเป็นตัวแยกแยะระหว่างอบายกับสุคติ ถ้ามีศีล ๕ ก็จะได้ไปสุคติ ที่อยู่ของมนุษย์ ของเทพ ของพรหม ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ถ้ารักษาศีล ๕ ไม่ได้ก็ต้องไปอยู่กับเดรัจฉาน เปรต อสุรกายและสัตว์นรกทั้งหลาย นี้เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แล้วนำเอามาสั่งสอนเผยแผ่ให้กับสัตว์โลก พวกเราเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจึงอย่าไปสงสัย ถ้าสงสัยแล้วก็จะทำให้ไม่อยากจะปฏิบัติตาม ทำให้ไม่เชื่อ แล้วก็จะไม่ได้รับประโยชน์ เป็นเหมือนกับคนตาบอดจะไปปฏิเสธคนตาดีได้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตาดีอย่างพระพุทธเจ้า ผู้มีศีลมีธรรม ผู้มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีความโลภความต้องการอะไรจากใครทั้งสิ้น การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสอนด้วยพระเมตตากรุณาปรารถนาดีสงสารสัตว์โลก ที่ยังลุ่มหลงอยู่กับสิ่งต่างๆ ให้มีดวงตาเห็นธรรม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย จึงอุตส่าห์สละเวลาถึง ๔๕ ปีด้วยกัน ทรงสั่งสอนสัตว์โลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เรียกเก็บค่าตอบแทนเลยแม้แต่บาทเดียว การเชื่อพระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ควรจะเชื่อ เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น ทางเลือกอื่นก็คือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อเราก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไร ถ้าเชื่อเราจะได้รับประโยชน์ เพราะมีคนอื่นที่เชื่อพระพุทธเจ้ามามากมายแล้ว ไม่มีใครผิดหวัง เช่นพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก่อนที่ท่านจะเป็นอรหันตสาวก ท่านก็เป็นเหมือนพวกเรา เป็นปุถุชนธรรมดา มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเต็มอยู่ในหัวใจ แต่เมื่อได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ก็เกิดความเชื่อขึ้นมา เชื่อว่าสามารถปฏิบัติยกจิตใจของตนเอง ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงน้อมเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปปฏิบัติ ซึ่งมีหัวข้อใหญ่ๆอยู่ ๓ หัวข้อด้วยกันคือ ๑. ละเว้นการกระทำบาปทั้งหลาย ๒. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ๓. ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ
ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ย่อท้อ ในการกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงจนหมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้า ไม่แตกต่างกันเลยในเรื่องของความบริสุทธิ์ เป็นเหมือนเสื้อผ้าที่ซักแล้วก็จะสะอาดเท่าๆกันหมด ไม่มีความแตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือจะเป็นพระอรหันตสาวก ต่างกันตรงสมมติฐานะเท่านั้น ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก เป็นพระพุทธเจ้าก็หมายถึงเป็นผู้ชำระจิตของตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ด้วยตนเอง ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครสอน ส่วนพระอรหันตสาวกนั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่มีใครสอนก็จะไม่รู้จักวิธีชำระจิตใจให้สะอาดได้ จึงเป็นสาวก คำว่าสาวกแปลว่าผู้ฟัง ผู้ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะจากพระโอษฐ์โดยตรงก็ดี เช่นในสมัยพระพุทธกาล หรือจากคำสอนของพระอริยสงฆ์ก็ดี อย่างเช่นพวกเราในสมัยนี้ ก็อาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนจากพระอริยสงฆ์บ้าง จากพระไตรปิฎกบ้าง ก็เป็นพระธรรมคำสอนเช่นเดียวกัน ถ้ามีศรัทธาแล้วน้อมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ไม่ช้าก็เร็วจิตใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เหมือนกับจิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย
สิ่งที่เราควรทำถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คือศึกษาให้รู้ว่าต้องทำอะไร ก็มีอยู่ ๓ ประการด้วยกันคือ ๑. ละการกระทำบาปทั้งปวง ด้วยการรักษาศีล ๕ นั่นเอง ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา ถ้าจะปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นได้ยิ่งดี จากศีล ๕ ก็ให้ถือศีล ๘ จากศีล ๘ ก็ให้ถือศีล ๑๐ ถือศีล ๒๒๗ ต่อไป นี้คือเรื่องของการละการกระทำบาปทั้งปวง ส่วนประการที่ ๒ คือการกระทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ก็มีการมาวัด มาทำบุญให้ทาน มาปฏิบัติธรรม มาฟังเทศน์ฟังธรรม อยู่ที่บ้านก็ดูแลคุณพ่อคุณแม่ถ้าเป็นผู้มีอายุมากแล้ว มีความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ มีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความกรุณา สงสารผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งหลาย นี้คือการกระทำความดีต่างๆ ที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ และประการที่ ๓ ก็คือการชำระจิตใจด้วยการภาวนา สมถภาวนาคือการนั่งสมาธิ วิปัสสนาภาวนาคือการเจริญปัญญา นี้คือสิ่งที่เราต้องทำเมื่อมีศรัทธาและได้ศึกษาจนรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไร ก็ทำไปเรื่อยๆตามกำลัง ตามเวลาที่มี ควรจะตัดสิ่งอื่นๆไปบ้างที่ไม่จำเป็น เอาเวลาที่ไปเที่ยวไปกินไปเล่นมาชำระจิตใจจะได้ประโยชน์มากกว่า
ถ้าปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว รับรองได้ว่าสักวันหนึ่งจิตใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้าและจิตของพระอรหันต์ เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีกรอบเวลา สามารถปฏิบัติได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสมัยพระพุทธกาลก็ดีหรือในสมัยปัจจุบันก็ดี ผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุผลได้เท่าๆกัน สมัยพระพุทธกาลปฏิบัติไปแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ สมัยปัจจุบันนี้ปฏิบัติไปก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน อยู่ที่สติปัญญาศรัทธาความเพียรเท่านั้น ถ้ามีมากและสามารถปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ไปถึงอย่างแน่นอน การจะไปถึงได้ก็จะต้องบูชาพระรัตนตรัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ไม่ลืมหน้าที่ที่แท้จริงของเรา ว่าจะต้องทำอะไร ถ้าไม่เจริญไม่นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะถูกอำนาจของความหลงหลอก ให้ไปสร้างไปก่อ ไปทำโน่นไปทำนี่ ไปหาสิ่งนั้นหาสิ่งนี้ จนลืมหน้าที่ที่แท้จริงของเรา ว่าจะต้องทำอะไร
แต่ถ้าได้บูชาพระรัตนตรัยอยู่เรื่อยๆแล้ว ทุกครั้งที่กราบพระพุทธก็จะระลึกถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลส ทุกครั้งที่กราบพระธรรมก็จะระลึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทุกครั้งที่กราบพระอริยสงฆ์ก็จะทำให้ระลึกถึงว่า สักวันหนึ่งก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกเช่นเดียวกัน ถ้าทำอย่างนี้แล้วรับรองได้ว่า จะไม่อยู่ห่างไกลจากพระนิพพาน จากการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงให้ความสำคัญต่อการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง บูชาได้ทั้งกายวาจาใจ หรือจะบูชาแต่ใจอย่างเดียวก็ได้ ด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาใด ก็สามารถเจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณได้เสมอ ถ้าไม่ลืมไม่เผลอ จึงขอฝากเรื่องการมาวัดเพื่อมาเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตของท่าน ด้วยการบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้