กัณฑ์ที่ ๒๗๘       ๒๔ ธันวาคม  ๒๕๔๙

 

ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

 

 

 

เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า บุญบารมีเป็นเหตุเป็นผู้สร้าง ให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ บุญบารมีที่ได้สะสมมาไม่เท่าเทียมกัน เราจึงมีฐานะแตกต่างกัน มีทรัพย์สมบัติเงินทองมากน้อยต่างกัน  รูปร่างหน้าตาสวยงามต่างกัน สติปัญญาความรู้ความฉลาดต่างกัน ความขยันหมั่นเพียรความเกียจคร้านต่างกัน ไม่ได้มาจากบิดามารดา บิดามารดาไม่สามารถมอบให้กับเราได้  มอบให้ได้ก็คือร่างกาย อาการ ๓๒ แต่จะสวยจะงาม จะน่าเกลียดน่ากลัว ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญในอดีตชาติ   ถ้าบำเพ็ญมากก็จะได้สิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่ได้บำเพ็ญก็จะไม่ได้ เช่นได้รูปร่างหน้าตาผิวพรรณผ่องใส ได้ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง  ที่เกิดจากการบำเพ็ญทานบารมีคือการให้ ให้ในสิ่งที่มีอยู่ เหลือกินเหลือใช้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเอาไว้ ก็ให้ผู้อื่นไป  ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์  ได้รับความสุข ถ้าไม่มีเงินไม่มีทองก็ไม่ต้องไปหามาบำเพ็ญทานบารมี ทำบารมีอย่างอื่นแทน เพราะมีอยู่ถึง ๑๐ ประการด้วยกัน ทานบารมีมีไว้สกัดกั้นความโลภ   ถ้าไม่มีเงินทองแต่อยากจะทำทาน ก็ต้องไปหาเงินหาทองมาทำ  อย่างนี้ก็เกิดความโลภขึ้นมา ก็ไม่ถูก เพราะเราควรจะขจัดความโลภ  ถ้ามีอะไรก็ให้ไป ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง 

 

ควรบำเพ็ญบารมีลำดับต่อไป  คือศีลบารมี  ถ้าไม่เคยรักษาศีลก็เริ่มรักษากัน ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี  พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา  เป็นบารมีที่บำเพ็ญกันได้โดยไม่ต้องมีเงินมีทอง บำเพ็ญได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  อยู่ในวัดก็บำเพ็ญได้ อยู่นอกวัดก็บำเพ็ญได้ เพราะศีลไม่ได้อยู่ที่พระ ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่ใจของเรา  ถ้าตั้งใจจะรักษาศีลก็ต้องรักษาให้ได้ เพื่อจะได้มีศีล ไม่ละเมิดข้อห้ามทั้ง ๕ ข้อ อานิสงส์ของศีลก็จะทำให้ได้เกิดในสุคติ ไม่ต้องเกิดในอบาย  เกิดเป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก    จะมีแต่ภพชาติที่ดี  เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ เราจึงมีฐานะแตกต่างกัน  บางคนก็ยังรักษาศีลไม่ได้  บางคนก็รักษาได้เฉพาะวันพระ  บางคนก็รักษาศีลได้ตลอด  บางคนก็บวชได้ บวชเป็นพระ บวชเป็นชีได้  บารมีต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราเจริญก้าวหน้า พัฒนาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  จนถึงระดับของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็เกิดจากการบำเพ็ญบารมีต่างๆนี้เอง จึงไม่ควรมองข้ามการบำเพ็ญบารมีตามกำลังฐานะของเรา นอกจากทานบารมี ศีลบารมีแล้ว ลำดับต่อไปก็ควรจะบำเพ็ญ  เนกขัมมบารมี การละเว้นจากการหาความสุข จากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ  ดูหนัง  ดูละคร ฟังเพลง  เต้นรำ ไม่ได้เป็นความสุขที่ทำให้เจริญก้าวหน้า ไม่ได้เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขชั่วขณะ ได้เสพได้สัมผัสแล้วก็ทำให้ติดความสุขแบบนี้ไป

 

ถ้าวันไหนไม่ได้เสพก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา เป็นเหมือนติดยาเสพติด  เวลาได้เสพก็มีความสุข เวลาไม่ได้เสพก็ทุรนทุรายทุกข์ทรมานใจ  จึงควรพยายามออกจากกามสุข   ด้วยการเจริญเนกขัมมบารมี ถือศีล  ๘  นอกจากศีล ๕ แล้ว ก็ถือศีลเพิ่มอีก  ๓  ข้อ     ศีลข้อที่ ๓ กาเมฯ ก็เปลี่ยนเป็นอพรหมจริยาฯ  ไม่หาความสุขจากการร่วมหลับนอนกับคู่ครอง ละเว้นจากการรับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว  ละเว้นจากการหาความสุขจากเครื่องบันเทิงต่างๆ ดูหนังฟังเพลงร้องรำทำเพลง ไม่หาความสุขจากการแต่งหน้าทาปากด้วยเครื่องสำอางน้ำหอมต่างๆ  ไม่นอนบนฟูกใหญ่ๆโตๆ แต่นอนอยู่บนพื้นแข็งปูด้วยเสื่อ หลับนอนเพื่อพักผ่อนร่างกายเท่านั้น ถ้าง่วงมากๆไม่ว่าจะนอนอยู่บนฟูกหรือบนพื้นแข็งๆ  ก็นอนหลับได้อย่างสบายเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไร  ปัญหาอยู่ตรงที่พอนอนหลับพอเพียงแล้ว ถ้านอนบนพื้นแข็งๆ ก็ไม่อยากจะนอนต่อ แต่ถ้านอนบนฟูกหนาๆ   ทั้งๆที่ได้พักพอเพียงแล้วแต่ใจก็ยังอยากจะนอนต่อ ยังอยากจะหาความสุขจากการหลับนอน  นอนต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  เสียเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น  ถ้าเป็นคนทำงานก็จะไปทำงานไม่ทัน ถ้าต้องมาทำบุญตักบาตรที่วัดก็จะมาไม่ได้ เพราะต้องหลับนอน เราจึงควรเจริญเนกขัมมบารมี เพื่อจะได้พบกับสันติสุข ความสงบของจิตใจ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อปล่อยวางการแสวงหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 

ด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ กำหนดจิตไม่ให้ไปคิดอะไร  ให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ที่จะเป็นเครื่องดึงใจไว้ กล่อมใจให้สงบ การสวดมนต์ก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง หรือการบริกรรมพุทโธๆ ก็เป็นการกล่อมใจให้เข้าสู่ความสงบ ให้ทำด้วยความตั้งใจมีสติ ไม่ช้าก็เร็วจิตก็จะสงบตัวลง แล้วจะพบกับความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน จิตจะมีความสุข ความอิ่ม ความว่าง  มีความพออยู่ในใจ ไม่ต้องการอะไร  ในขณะนั้น ไม่ได้มีความคิดถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่มีอะไรอยู่ในโลกนี้เลย  มีแต่ความว่าง ความสงบ ความสุขเท่านั้นเอง  ถ้าลองได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว จะสามารถตัดความสุขชนิดอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่ได้มาจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้ดู  ได้ลิ้มรส  ได้ดมกลิ่น ได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ  จะไม่มีความหมายกับจิตใจที่ได้สัมผัสกับความสงบ ที่ได้จากการบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเลย  ถ้าชอบเข้าวัดถือศีล ๘ ชอบนั่งสมาธิ ชอบไหว้พระสวดมนต์   แสดงว่าได้เคยบำเพ็ญเนกขัมมบารมีมาในอดีต ถ้าชอบออกไปเที่ยวหาความสุขจากการดู การฟัง การดื่ม การรับประทาน ถ้ายังต้องดื่ม   ยังต้องรับประทาน ยังต้องไปดูหนังฟังเพลง  ยังต้องไปเที่ยวที่นั้นที่นี่  ยังต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงาม  ยังต้องแต่งหน้าทาปากทำผม  ดึงเนื้อดึงหนังให้เต่งให้ตึง  แสดงว่ายังไม่ได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมีมา   ยังมีความหลงติดอยู่กับความสวยงาม ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ  ก็จะมีความทุกข์มาก  

 

เพราะจะต้องต่อสู้กับความไม่เที่ยงนั่นเอง  เพราะร่างกายจะไม่สวย ไม่สาวไม่เต่งไม่ตึงอยู่ตลอดเวลา   เมื่อวันเวลาผ่านไปร่างกายก็ต้องแก่ลงไป หนังก็ต้องเหี่ยวย่น ผมก็ต้องขาว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แต่เมื่อยังมีความหลงยึดติด กับความสวยความงามของร่างกายอยู่ ก็จะต้องหาวิธีต่างๆ ไปทำศัลยกรรม  ดึงหน้า แต่งหน้า ทำอะไรต่างๆ  เพื่อจะรักษาความสวยความงามไว้ แต่ก็จะรักษาได้ไม่นาน ทำได้ไม่กี่ปีก็เหี่ยวลงไปเรื่อยๆ  จนกลายเป็นคนแก่ หนังเหี่ยวหนังย่นไป ถ้าไม่ได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมีก็จะมีความทุกข์มากเพราะไม่สามารถหาความสุข ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้เหมือนเมื่อก่อน   แต่ถ้าได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมีมา รู้จักไหว้พระสวดมนต์  นั่งสมาธิ  รู้จักรักษาศีล  ๘  ก็จะไม่ค่อยมีความทุกข์ ความวุ่นวายใจ เวลาไม่ได้ไปหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และจะเป็นเหตุนำพาไปสู่ความเจริญในลำดับต่อไป คือการบำเพ็ญปัญญาบารมี  เพราะเมื่อจิตใจมีความสงบแล้ว ก็จะมีเหตุมีผล  มองอะไรต่างๆด้วยเหตุด้วยผล ไม่ได้มองด้วยอารมณ์ จิตใจที่ไม่สงบจะถูกความหลงครอบงำ    จะมองสิ่งต่างๆไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่นมองเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข  สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าตัวตน  สิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าของเรา 

 

ถ้ามองอย่างนั้นแล้วก็จะต้องเกิดความทุกข์ตามมา เมื่อสิ่งที่คิดว่าจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ  ไม่ได้อยู่กับเราเสียแล้ว คิดว่าจะอยู่กับเราไปตลอด แต่จากไปเสียก่อน ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ตายไปก็เป็นการจากกันแบบหนึ่ง ทิ้งเราไปก็เป็นการจากไปอีกแบบหนึ่ง ไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ถ้าหลงยึดติดว่าจะต้องอยู่กับเราไปตลอด พอถึงเวลาที่จากไป ก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ แต่ถ้ามีเหตุมีผล มองทุกสิ่งทุกอย่างตามหลักความจริง ตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ก็จะรู้ว่าเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็นธรรมดา มีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่มีใครอยู่เหนือสภาพเหล่านี้ได้   จะต้องอยู่ในกฎของความไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น  จิตที่มีความสงบจะเห็นความจริงได้ชัดเจน เพราะไม่ถูกความหลงครอบงำ  เหมือนกับคนที่ไม่มีผ้าปิดตาไว้ จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง อย่างในขณะนี้เรานั่งอยู่ในศาลานี้ เราเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน   แต่ถ้าเอาผ้ามาปิดตาไว้ก็จะมองไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดเท่านั้น ความหลงก็เป็นเหมือนกับผ้าที่ปิดใจเรา ทำให้ไม่เห็นด้วยเหตุด้วยผล ไม่เห็นตามความเป็นจริง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายเห็นกัน  ท่านเป็นคนตาดี ไม่มีความหลง ได้กำจัดความหลงหมดสิ้นไปแล้ว

 

จึงทำให้ท่านเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ   เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ ที่เราหลงคิดว่าเป็นความสุข  เห็นความไม่มีตัวตนในสิ่งต่างๆ  ที่เราหลงคิดว่ามีตัวตน คือร่างกายของเรา   พวกเรามองกันอย่างไร ก็ยังเห็นว่าเป็นตัวเราของเราอยู่ แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่เห็นว่าร่างกายมีตัวตนอยู่เลย เห็นเป็นเพียงแต่อาการ ๓๒  เท่านั้นเอง  มีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน มีหนัง มีเนื้อ มีเอ็น มีกระดูก มีอวัยวะต่างๆ หัวใจ ตับ ปอด ไต ลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ฯลฯ ไม่มีตัวตน  แต่เราถูกความหลงหลอกให้ยึดติด ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา  พอเปลี่ยนจากสาวมาเป็นแก่  จากหนุ่มมาเป็นแก่  ก็เสียอกเสียใจ รับกับสภาพไม่ได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็รับกับสภาพไม่ได้  เวลาตายก็เกิดความหวาดกลัว เพราะหลงคิดว่าจะตายไปกับร่างกาย แต่ผู้ที่คิดคือใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน ผู้ที่ถูกความหลงครอบงำจะมองไม่เห็น แต่ถ้าได้ทำให้จิตใจให้สงบเป็นสมาธิแล้ว  เวลาพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ถึงความทุกข์ถึงความไม่มีตัวตนในสิ่งต่างๆทั้งหลาย ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะไม่มีอะไรมาปิดบัง ไม่มีความหลงมาหลอกให้คิดว่า  สิ่งต่างๆจะอยู่กับเราไปตลอด จะให้ความสุขกับเรา เป็นตัวเราเป็นของเรา   ความคิดเหล่านี้จะไม่มีอยู่ในจิตในใจ  เกิดจากการบำเพ็ญปัญญาบารมี  ถ้าหมั่นศึกษา  ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ จะเกิดปัญญาบารมีขึ้นมา เมื่อนำเอาไปปฏิบัติ  ทำจิตใจให้สงบแล้วก็พิจารณา ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน 

 

การได้ยินได้ฟังธรรม ทำให้เกิดปัญญาระดับหนึ่ง เริ่มรู้แล้วว่า พระพุทธเจ้ากับเราเห็นไม่ตรงกัน เราเห็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเห็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเห็นเป็นกงจักร พวกเราเห็นเป็นดอกบัว เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเป็นความจริง สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ความจริง เราก็ต้องมาเปิดใจของเรา ต้องมาทำลายความหลงที่มีอยู่ในใจของเรา ด้วยการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ทำจิตใจให้สงบ  เมื่อสงบแล้วก็พิจารณาดูร่างกายของเรา  ก็จะเห็นทันทีเลยว่าไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น เป็นความทุกข์ทั้งนั้น ถ้าไปยุ่งเกี่ยวก็จะสร้างความทุกข์ให้กับเรา  ถ้ามีสามีมีภรรยา  ก็ต้องทุกข์กับสามีกับภรรยา  มีลูกมีหลานก็ต้องทุกข์กับลูกกับหลาน ถ้ามีสมบัติต่างๆ ก็ต้องทุกข์กับสมบัติต่างๆ  เพราะความผูกมัด  ความยึดติดนั่นเอง พอมีอะไรก็อยากจะให้อยู่ไปตลอด ให้ดีไปตลอด  แต่ไม่เป็นไปตามความปรารถนาได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงนั่นเอง  ดีวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่ดีได้  อยู่กับเราวันนี้พรุ่งนี้ก็จากเราไปได้  เป็นความจริงที่เห็นได้ถ้าทำจิตใจให้สงบ  การได้ยินได้ฟังยังเห็นไม่ชัดเจน เหมือนกับได้ยินว่ามีที่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ตรงนั้นอยู่ตรงนี้ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้  ถ้ายังไม่ได้เห็นกับตาก็จะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ จนกว่าจะได้ไปเห็นกับตา จึงจะเห็นได้อย่างชัดเจน  ฉันใดสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็เป็นอย่างนั้น 

 

ทรงสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ถ้านำเอาไปปฏิบัติทำจิตใจให้สงบแล้วพิจารณาตาม ก็จะเห็นอย่างชัดเจน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ถ้าไม่เป็นความจริงก็จะรู้ว่าไม่เป็นความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนไว้เหมือนกับได้ไปสถานที่จริง ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเท็จจริงอย่างไร  ถ้าไม่ได้ไปก็จะไม่รู้  สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็เช่นเดียวกัน เราจะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จนกว่าเราจะนำเอาไปพิสูจน์ ด้วยการทำจิตให้สงบ แล้วก็พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณา  เมื่อได้ทำอย่างนั้นแล้วเราก็จะเห็น จะเป็นคนฉลาดขึ้นมา จะไม่หลงงมงาย  จะไม่ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ   คนที่ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆนั้น ไม่ถือว่าเป็นคนฉลาด ถึงแม้จะจบปริญญาเอกมา ถ้ายังทุกข์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ ก็ยังไม่ฉลาด ทางพระพุทธศาสนายังถือว่าโง่อยู่  แต่คนที่ไม่ได้จบปริญญา ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่มีความทุกข์กับอะไรเลย ก็ถือว่าเป็นคนฉลาดทางพระพุทธศาสนา เพราะเอาตัวรอดได้ ไม่ทุกข์กับเรื่องรางต่างๆ  แต่คนที่มีความรู้ท่วมหัว แต่ยังต้องทุกข์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ ถือว่ายังเอาตัวไม่รอด ยังไม่ฉลาด  เวลาศึกษาหาความรู้ จึงควรศึกษาวิชาความรู้ที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้จะดีกว่า  เรียนอะไรก็ไม่ดีเท่ากับเรียนธรรมะ รู้ธรรมะแล้วทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้  

 

ถ้ารู้อย่างอื่นกลับทำให้มีความทุกข์มากขึ้นไปอีก เพราะยิ่งรู้ก็ยิ่งหลง ยิ่งคิดว่าตัวเองฉลาด ยิ่งคิดว่าตัวเองวิเศษ  เวลาใครตำหนิว่าไม่วิเศษก็เกิดความโกรธแค้นขึ้นมา  คนที่ฉลาดจริงๆแล้วต่อให้ใครว่าอย่างไร ก็จะไม่รู้สึกอย่างไรทั้งสิ้น  จะด่าว่าเป็นสัตว์ชนิดนั้นสัตว์ชนิดนี้ ก็จะไม่เดือดร้อนอะไร  คนฉลาดจะเป็นอย่างนี้ แต่คนโง่เขลาเบาปัญญาแล้วเวลาถูกว่าเป็นสุนัข ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาแสดงว่าโง่ เป็นเหมือนจิ้งหรีดที่ถูกปั่นหัว ก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นมาแทนที่จะตั้งอยู่ในความสงบ   ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว กับการพูด การกล่าวหาของผู้อื่น ใจกลับรุ่มร้อนขึ้นมา  เป็นบ้าขึ้นมา เพราะไม่ฉลาดนั่นเอง   ถ้าฉลาดจริงแล้วจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของคน ที่เป็นเพียงลมปากเท่านั้นเอง ไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนแปลงความจริงได้  ถ้าเราไม่ดีต่อให้คนยกย่องสรรเสริญว่าวิเศษว่าดีขนาดไหน เราก็ไม่ได้ดีไม่ได้วิเศษไปตามคำยกย่องสรรเสริญ  ถ้าเราดีแล้วมีคนมาด่าว่าเลวทรามอย่างไร  เราก็ไม่ได้เลวตามอย่างที่เขาว่า แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไม  คนฉลาดจะเป็นอย่างนี้  คือรู้ว่าตนเป็นอย่างไร  รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่หลงไปตามคารมคำพูดของผู้อื่น  นี้คือปัญญาทางศาสนา  ทำให้ตั้งอยู่ในความสงบได้ ไม่หวั่นไหวกับเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น จะเป็นการเสื่อมเสียการสูญเสีย ก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะรู้อยู่ด้วยปัญญาว่ามีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดาย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา  มีความเจริญย่อมมีความเสื่อม  เป็นของคู่กัน

 

เหมือนกับพวกเราที่ไม่เดือดร้อนกับความมืดกับความแจ้ง ตอนนี้เป็นกลางวันเราก็ไม่ได้เดือดร้อน เวลามืดเราก็ไม่เดือดร้อนอะไรเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีมืดมีสว่าง เป็นของคู่กัน ฉันใดคนที่มีปัญญาทางธรรมะก็จะเห็นว่า มีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา   ไม่เดือดร้อน ไม่หวั่นไหว  เป็นคนฉลาดที่แท้จริง เพราะสามารถยกตนให้อยู่เหนือความทุกข์ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตน  แม้ความตายก็จะไม่สามารถสร้างความทุกข์ ให้กับผู้มีปัญญาทางธรรมะได้  แต่คนที่มีความรู้ทางโลกไม่ว่าจะระดับปริญญาไหนก็ตาม  เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บไข้ได้ป่วย เผชิญกับความตายแล้ว จะต้องหวั่นไหวด้วยกันทุกคน เพราะความรู้ทางโลกไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด จบปริญญาเอกมาแต่ก็ไม่สามารถรักษาจิตใจของตน ให้อยู่เหนือความทุกข์ได้  ยังถูกความทุกข์รุมเร้า ยังถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่  แต่คนที่มีปัญญาทางธรรมะแล้วจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง  เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย  จิตใจของท่านอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลาย ไม่หวั่นไหวกับอะไรทั้งสิ้น อะไรจะเกิดก็ไม่หวั่นไหว อะไรจะดับก็ไม่หวั่นไหว  นี้คือปัญญาทางธรรมะ ที่จะทำให้เราเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง 

 

การจะได้ปัญญานี้ในเบื้องต้นก็ต้องฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ อ่านหนังสือธรรมะอยู่เรื่อยๆ แล้วนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปพิจารณาอยู่เรื่อยๆ  เตือนสติเตือนใจอยู่เรื่อยๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วต้องมีการดับ เกิดแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน  ถ้าจำได้จนขึ้นใจแล้ว เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา เราจะรู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น  ถ้าสามารถทำจิตให้สงบได้ ก็จะสามารถปล่อยวางได้อย่างแท้จริงอย่างเด็ดขาด อะไรจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม เราจะไม่เดือดร้อนเลย  นี้คืออานิสงส์ของการบำเพ็ญปัญญาบารมี ที่พวกเรามาบำเพ็ญกันอย่างสม่ำเสมอ  จึงควรบำเพ็ญต่อไป ควรให้ความสำคัญต่อการบำเพ็ญบุญบารมียิ่งกว่าสิ่งอื่นๆในโลกนี้ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้จะช่วยเราได้อย่างแท้จริง มีแต่บุญบารมีนี้เท่านั้น ที่จะช่วยให้เราได้ไปสู่จุดที่ประเสริฐเลิศโลก ที่พระพุทธเจ้าและพรอรหันตสาวกทั้งหลายได้ไปถึง อยู่ในกำมือของเรา  อยู่ในความสามารถของเรา ไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้  เราต้องเป็นผู้กระทำเอง 

 

ขอให้มีฉันทะความยินดีในการบำเพ็ญบุญบารมี  ให้มีวิริยะความอุตสาหะพากเพียร ให้มีจิตตะใจจดจ่อกับการบำเพ็ญบุญบารมี  เมื่อถึงเวลามีเวลาว่างอย่างวันเสาร์วันอาทิตย์ ก็ต้องคิดถึงการบำเพ็ญบุญบารมีก่อน  จะอยู่ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ ไม่ได้มาวัดก็บำเพ็ญได้  อยู่ที่บ้านก็เปิดธรรมะฟังได้  เปิดหนังสืออ่านได้ บำเพ็ญทานบารมีได้ เห็นใครเดือดร้อน มีอะไรพอที่จะแบ่งปันให้ได้ ก็แบ่งไป  ศีลก็รักษาได้ตลอดเวลา พูดจากับใครก็อย่าไปพูดโกหกเท่านั้นเอง ก็ถือว่าเราได้บำเพ็ญบารมีต่างๆ แล้ว  รับรองได้ว่าชีวิตของเรานับตั้งแต่วันนี้ไป จะมีแต่สิ่งที่ดีที่งามรอเราอยู่  สิ่งที่เลวร้ายต่างๆก็จะถอยห่างจากเราไปเรื่อย ๆ จนไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย จะมีแต่ความสุข ความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุขตลอดเวลา อันเป็นอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญบุญบารมีต่างๆนี้เอง  จึงขอฝากเรื่องราวการบำเพ็ญบุญบารมีนี้ ให้นำไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้