กัณฑ์ที่ ๒๗๙ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๙
ตรวจสอบบัญชีดีชั่ว
วันนี้เป็นวันแรกของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หยุด ๔ วันด้วยกัน ๓๐ ๓๑ ๑ และ ๒ เป็นเวลาที่เราจะได้มาพิจารณา มาคิดบัญชีของการกระทำของเราที่ผ่านมา ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ว่ามีบวกมีลบมากน้อยเพียงไร ลบก็คือการกระทำความไม่ดีทั้งหลาย ทำบาปทำกรรม บวกก็คือการทำความดี ทำบุญทำกุศล เพราะการกระทำของเราเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล คือความสุขความเจริญ หรือความเสื่อมความทุกข์ที่จะตามมา ไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไรทั้งสิ้น นอกจากการกระทำของเราที่ดีและไม่ดี ถ้าทำดี ผลดีย่อมตามมา ถ้าทำไม่ดี ผลไม่ดีก็จะตามมาเช่นเดียวกัน ไม่มีใครยับยั้งผลของการกระทำของเราได้ เราเท่านั้นที่จะยับยั้งได้ ด้วยการไม่กระทำนั้นเอง ถ้าไม่ต้องการผลเสียก็อย่าไปทำความชั่ว ถ้าต้องการผลดีก็ทำแต่ความดี ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงบัดนี้ เราได้ทำความดีชั่วมากน้อยเพียงไร ถ้าให้เราประเมินผลเอง เราก็จะประเมินไม่ถูก เพราะมีนิสัยเห็นแก่ตัวเข้าข้างตัวเอง ดังในสุภาษิตที่ว่า ความชั่วของตนแม้จะกองเท่าภูเขา ก็จะเห็นเป็นเพียงผงธุลี ส่วนความดีของตนแม้จะมีเพียงผงธุลี ก็จะเห็นเท่ากองภูเขา เราจึงมักบ่นกันเสมอว่า ทำแต่ความดี ทำไมไม่ได้ผลดีเลย ไม่สุขไม่เจริญเลย แต่เรามองไม่เห็นการกระทำที่ไม่ดีของเรา มักจะเห็นแต่การทำดีเล็กๆน้อยๆ ว่ามากมายก่ายกอง ส่วนการกระทำที่ไม่ดี ที่มีมากมายก่ายกอง เรากลับมองไม่เห็น หรือไม่ยอมมอง หรือไม่รู้ว่ามันไม่ดี
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมีมาตรฐานเป็นเครื่องวัด เหมือนเวลาวัดความยาวก็ต้องมีไม้บรรทัด ว่ายาวกี่นิ้ว กี่ศอก กี่วา ถ้าวัดไปตามความรู้สึกของเรา คนหนึ่งก็บอกว่าสั้น คนหนึ่งก็บอกว่ายาวได้ ทั้งๆที่เป็นของชิ้นเดียวกัน ฉันใดความดีความชั่วที่เราได้สะสมมาก็เป็นเช่นนั้น ถ้าให้มองตัวเราเอง เราก็จะมองว่าทำความดีมาก ทำความชั่วน้อย แต่ไม่ดูผลที่เกิดกับตัวเราว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีมากน้อยเพียงไร ขอให้ดูกันที่ผลก็แล้วกัน ถ้าจะดูที่เหตุก็ขอให้ดูตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ คือให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ละบาปทั้งหลายเสีย ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปจากจิตจากใจ นี้คือมาตรฐานที่เราสามารถใช้เป็นเครื่องวัดได้ว่า เราได้ทำความดีชั่วมากน้อยเพียงไร ความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ทำนั้น ก็มีหลายประการด้วยกัน เช่นให้มีความกตัญญูกตเวที ให้มีสัมมาคารวะ มีความเคารพในผู้หลักผู้ใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูง ให้มีความเสียสละ ให้มีความขยันหมั่นเพียร ให้มีความอดทนอดกลั้น ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ให้มีความเมตตากรุณา มุทิตาอุเบกขา เหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่ดี เป็นการกระทำความดี ถ้ามีสิ่งเหล่านี้มากเพียงไร เราก็จะมีความสุขความเจริญมากขึ้นเพียงนั้น ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้เราก็จะไม่เจริญ ไม่มีความสุข เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่ได้เป็นเรื่องของการอยากได้แล้วจะมาเอง เราอยากจะได้ความสุขความเจริญ แต่ถ้าไม่ทำความดี ความสุขความเจริญก็จะไม่มา มาแต่เรื่องที่ไม่ดี เพราะไปทำความชั่ว ทำบาปทำกรรม ทำในสิ่งที่ไม่ดีไว้ เช่นเป็นคนเนรคุณ ไม่มีความกตัญญูกตเวที ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่มีสัมมาคารวะ เป็นคนเกียจคร้าน ชอบมั่วสุมกับอบายมุขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน ที่ทำไปแล้วจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย นำมาซึ่งความทุกข์ต่างๆ
เรามีความโลภโมโทสันมากน้อยเพียงไร ยินดีตามมีตามเกิดหรือไม่ เห็นแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หรือเห็นแล้วอยากได้ก็ต้องเอามาให้ได้ ไม่ได้มาด้วยความสุจริตก็มาด้วยวิธีทุจริต ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล อย่างนี้แสดงว่าโลภโมโทสันมาก แล้วก็จะนำพาไปสู่การกระทำบาปทำกรรมต่างๆ ความโลภโมโทสันก็จะไม่น้อยลงไปจากจิตจากใจ แต่จะมีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเป็นการส่งเสริมให้มันเจริญงอกงาม การที่จะลดละตัดความโลภโมโทสันให้น้อยลงไป เราต้องฝืน ต้องต่อสู้ ไม่ทำตามความโลภโมโทสัน เวลาเกิดความโลภ เกิดความโกรธ ก็ไม่โลภตาม ไม่โกรธตาม ต้องรู้จักวิธีกำจัดความโลภ รู้จักวิธีต่อสู้กับความโกรธ เช่นเวลาโลภอยากได้อะไรก็ให้ใช้เหตุผล ให้พิจารณาทุกครั้งเสมอไปเวลาต้องการอะไร ถามตัวเองว่าสิ่งที่อยากได้นั้นมีความจำเป็นกับชีวิตเราหรือไม่ ถ้าไม่ได้มาแล้วเราจะตายหรือไม่ ถ้าไม่ตายก็แสดงว่าไม่จำเป็น เช่นเสื้อผ้าเรามีอยู่เต็มตู้แล้ว เวลาเดินไปตามร้านค้าต่างๆ เห็นเสื้อผ้าสวยๆงามๆแล้วก็อยากจะได้ขึ้นมา ถามว่ามันจำเป็นไหม ถ้าไม่ได้เสื้อผ้าชุดนั้นแล้วเราจะตายไหม จะทำมาหากินไม่ได้หรือเปล่า ถ้าไม่มีมันเราก็อยู่ได้ ก็อย่าไปฝืนความจริง อย่าไปฝืนเหตุผล เหตุผลนี้แหละคือปัญญา ความฉลาด คนที่มีเหตุผลเป็นคนฉลาด คนที่ใช้อารมณ์เป็นคนโง่ เวลาโลภก็โลภตาม เวลาโกรธก็โกรธตาม ดังที่พูดกันว่า คนโกรธคือคนบ้า คนโมโหคือคนโง่
เวลาโกรธควรระงับความโกรธ อย่าไปโกรธตาม เพราะความโกรธไม่ดีกับจิตใจ เป็นเหมือนไฟนรก เวลามีความโกรธใจจะร้อนเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นมา นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องระบายออกมาด้วยความคิดที่ไม่ดี ด้วยการพูดที่ไม่ดี ด้วยการกระทำที่ไม่ดี แต่ถ้าเอาน้ำธรรมะมาดับไฟแห่งความโกรธนี้ได้ ใจจะสงบเย็นเป็นสุข เป็นปกติ เหมือนที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ ขณะนี้เรารู้สึกสบาย ไม่คิดจะไปด่าไปว่าใคร ไม่ไปทำอะไรใครเพราะในขณะนี้ไฟแห่งความโกรธไม่ปรากฏขึ้นในใจของเรานั่นเอง ถ้ามันปรากฏขึ้นมา ก็ต้องเอาน้ำแห่งธรรมะ คือคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดับมัน อย่าไปทำตามความโกรธ อย่าไปเกลียด อย่าไปอาฆาตพยาบาท ต้องรู้จักให้อภัย คิดเสียว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พูดไปแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปไม่ให้เขาพูดไม่ได้ พูดไปแล้ว แต่เราทำเหมือนกับไม่ได้เกิดขึ้นมาก็ได้ คืออย่าไปจำมัน อย่าไปนึกถึงมัน เข้าหูซ้ายแล้วก็ออกหูขวาไป มันก็ผ่านไปแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หรือคิดไปว่าเขาพูดถึงคนอื่นก็แล้วกัน เขาไม่ได้พูดถึงเรา หรือถ้าพูดถึงเรา เราก็ฟังด้วยเหตุด้วยผล ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเท็จจริงอย่างไร ถ้าพูดความจริงก็ควรยกมือไหว้เขา เพราะชี้ให้เห็นความผิดของเรา เป็นเหมือนชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรานั่นเอง เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไรเสียหายบ้าง ทำอะไรไม่ดี ที่จะสร้างความทุกข์ สร้างความเสื่อมเสียให้กับเรา เหมือนกับเอากระจกมาส่องดูหน้าเรา ถ้าไม่ส่องดูกระจกเราจะรู้หรือว่าหน้าตาของเราเป็นอย่างไร ก่อนจะออกจากบ้านทุกคนต้องดูกระจกกันก่อนเสมอ ดูว่าเรียบร้อยไหม สวยงามไหม ถ้ากระจกบอกว่ายังใช้ไม่ได้ ก็ต้องกลับไปแต่งใหม่ ล้างหน้าล้างตา หวีเผ้าหวีผมใหม่ ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย อย่างนี้กระจกเขาทำหน้าดีไม่ใช่หรือ ช่วยบอกจุดบกพร่องของเราเพื่อเราจะได้แก้ไข เพื่อเราจะได้สวยงาม
ฉันใดคนที่พูดความจริงของเราในส่วนที่ไม่ดี เช่นบอกว่าเราเป็นคนเกียจคร้าน อย่างนี้เป็นสิ่งที่ดี เขาเตือนเราว่าไม่ควรเกียจคร้าน เพราะไม่ได้นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ถ้าเราพิจารณาแล้วก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ เราก็เอามาแก้ไข ต่อไปนี้เราจะไม่ขี้เกียจแล้ว เราจะขยัน ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ไม่ไปเล่น ไปเที่ยว ไปกิน ไปดื่ม เอาเวลามาทำงานทำการหาเงินหาทองดีกว่า ประโยชน์จะเกิดกับใคร ก็เกิดกับเรา เมื่อเราขยันทำงานเราก็จะมีรายได้เข้ามา เมื่อเราขี้เกียจเที่ยว ขี้เกียจดื่ม ขี้เกียจกิน รายจ่ายก็น้อยลงไป ต่อไปเราก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาได้ เกิดจากคนที่บอกว่าเราเป็นคนขี้เกียจ แล้วเราเอามาปรับปรุงแก้ไขตัว ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ก็ตัวเราเอง ท่านจึงสอนให้ฟังเสมอ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ถ้าฟังด้วยเหตุด้วยผลแล้ว จะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เขาพูดถูกก็เป็นประโยชน์กับเรา เขาพูดไม่ถูกเราก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันไม่ถูกมันไม่จริง เราก็ปล่อยให้มันผ่านไปก็แล้วกัน เช่นเราแต่งตัวเรียบร้อยแล้วส่องดูกระจกก็ดีแล้ว แต่กระจกบอกว่ายังไม่ดีพออย่างนี้เราก็ไม่ต้องไปฟังมัน เพราะเราดูแล้วมันก็ใช้ได้ มันก็ดีพออยู่แล้ว คนว่าเราก็เช่นกัน ถ้าเราดีอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าไม่ดี ว่าเราตระหนี่แต่เราไม่ตระหนี่ เราสงเคราะห์ช่วยเหลือคนอยู่ตลอดเวลา เราไม่ยึดไม่ติดกับสมบัติข้าวของเงินทอง เพราะว่าเกิดมาแล้วเดี๋ยวก็ต้องตาย ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองที่มีอยู่ เราก็เอาไปไม่ได้ เวลาตายไปก็ต้องทิ้งไว้หมด จะไม่ได้รับประโยชน์จากเงินทองที่หามาอย่างแสนยากลำบากเลย
แต่ถ้าเอาเงินทองที่มีเหลือกินเหลือใช้ ไปสงเคราะห์ ไปช่วยเหลือผู้อื่น ก็จะทำให้เราได้บุญได้กุศล ได้ความสุขใจ ได้ความภูมิใจ ได้ความอิ่มเอิบใจ ได้กำจัดความโลภให้น้อยลงไป ถ้าให้มากๆแล้วต่อไปจะไม่ค่อยโลภกับอะไรเท่าไร เพราะใจไม่หิวนั่นเอง ใจได้รับอาหาร คือการให้ทาน เป็นอาหารของจิตใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความสุข ความอิ่มเอิบใจ เวลาเห็นอะไรก็จะรู้สึกเฉยๆ เห็นเสื้อผ้าแขวนไว้ในร้านก็ไม่อยากจะได้ เพราะรู้ว่าเป็นของปลอม ได้มามากน้อยเพียงไร ก็ไม่ได้ทำให้มีความสุข มีความอิ่มเอิบใจ เหมือนกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่น เอาข้าวของเงินทองไปให้ผู้อื่น หลังจากนั้นเราจะชอบจะรักการให้ทาน ดังที่ท่านทั้งหลายมาวัดกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะได้รับความสุขจากการให้นี้เอง เวลาให้เราได้เสียสละ ได้กำจัดความเห็นแก่ตัว ที่ทำให้เราใจแคบ ใจไม้ไส้ระกำ ทำให้เราไม่มีความสุข มองใครก็กลัวจะมาขอเงินขอทอง แต่คนที่ให้อยู่เสมอจะเป็นคนใจกว้าง มีความเมตตาไมตรีจิต เห็นใครก็ไม่รังเกียจพร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ ถ้าสิ่งที่เขาขอเขาต้องการอยู่ในขอบเขตของเหตุผล เช่นขาดปัจจัย ๔ เราก็ควรสงเคราะห์ เพราะทุกคนต้องมีปัจจัย ๔ ด้วยกัน ถ้าเจอคนอดยากโซเซมา อดข้าวไม่มีอาหารรับประทาน ให้อาหารเขารับประทานก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ ไม่มีเสื้อผ้าใส่ก็หาให้เขาใส่ ไม่มีที่อยู่อาศัยถ้าพอจะจัดพอหาได้ก็ช่วยกันไป ไม่มียารักษาโรคยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันไป อย่างนี้ต้องช่วยกันไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น จะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็ต้องช่วย เพราะเป็นมนุษยธรรม เป็นความเมตตากรุณาที่แท้จริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ถ้าเห็นผู้อื่นเจ็บไข้ได้ป่วย เช่นเห็นพระภิกษุเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วดูแลรักษาท่าน ก็ทรงตรัสว่าเหมือนกับได้ดูแลรักษาพระพุทธเจ้า
การได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญเป็นกุศล แต่การช่วยเหลือที่ไม่ถูกก็มีอยู่เหมือนกัน เช่นมาขอเงินขอทองโดยไม่มีเหตุไม่มีผล ก็ไม่ต้องให้ มาขอเงินไปใช้หนี้ ก็ไม่ต้องให้ เมื่อก่อหนี้ได้ก็ต้องมีปัญญาใช้หนี้ เมื่อไม่มีปัญญาใช้หนี้ก็ต้องจับไปลงโทษ จะได้เข็ดหลาบ จะได้ไม่ไปกู้หนี้ยืมสินอีก จะได้อยู่ในขอบเขตของความพอดี ที่มีหนี้มีสินส่วนใหญ่เพราะความโลภพาไป ความเกียจคร้านทำให้เป็นไป ขี้เกียจทำงานทำการหาเงินหาทอง แต่ขยันใช้เงินใช้ทอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องเป็นหนี้อย่างแน่นอน เพราะถ้าใช้มากกว่าหาได้แล้ว จะหาส่วนที่ขาดมาจากที่ไหน ก็ต้องไปหลอกชาวบ้าน ไปกู้หนี้ยืมสิน เมื่อถึงเวลาใช้หนี้ไม่ได้ ก็ต้องถูกตำรวจจับไปเข้าคุกเข้าตะราง ก็จะเดือดร้อน ต้องไปขอเงินขอทองจากคนอื่นอีก อย่างนี้ก็ไม่ถูกอีก ถ้าใครมาขอให้ไปปลดเปลื้องหนี้สิน ถ้าไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณจริงๆแล้ว ก็ไม่ต้องไปช่วยหรอก ปล่อยให้ถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป จะได้เข็ดหลาบ จะได้ต่อสู้กับความโลภ ไม่ปล่อยให้ใจไหลไปตามความโลภ ไปใช้เงินใช้ทองกับของฟุ่มเฟือยต่างๆที่ไม่มีความจำเป็น ถ้ารู้จักใช้เงิน รู้จักต่อสู้กับความโลภแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่มีหนี้อย่างแน่นอน แต่ต้องมีความขยันด้วย ไม่งอมืองอเท้า รู้จักพึ่งตนเอง ทำมาหากินเลี้ยงชีพหารายได้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เมื่อได้มาแล้วก็ให้ใช้พอดีกับรายได้ ไม่ใช้มากกว่าที่หามาได้ ต้องใช้ให้น้อยกว่าเสียด้วยซ้ำไป เพราะต้องมีเก็บไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเวลาตกทุกข์ได้ยากเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ต้องมีอีกส่วนหนึ่งไว้ใช้ทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ เช่นบิดามารดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หรือนำเอาไปทำบุญทำทาน เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ตายไปชาติหน้าจะได้มีเงินมีทองรอเราอยู่ ไม่ต้องไปเกิดบนกองขยะ แต่ไปเกิดบนกองเงินกองทอง ไปเป็นลูกเศรษฐี ลูกคนใหญ่คนโต นี้ก็เป็นอานิสงส์ของการเก็บเงินเก็บทอง ไม่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่เอาไปทำบุญทำทาน ถ้ารู้จักตรวจตราดูตนว่าเราได้ดำเนินชีวิตมาอย่างไร รับรองได้ว่าชีวิตในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้อย่างแน่นอน เห็นสิ่งไหนที่ไม่ดีก็กำจัดมันเสีย สูบบุหรี่หรือเปล่า ถ้าสูบก็เลิกเสีย กินเหล้าหรือเปล่า ถ้ากินก็เลิกเสีย เที่ยวกลางคืนหรือเปล่า ถ้าเที่ยวก็เลิกเสีย ซื้อของฟุ่มเฟือยใช้หรือเปล่า ถ้าซื้อก็เลิกเสียเถิด รับรองได้ว่าชีวิตจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน อย่าไปหลงหาความสุขกับสิ่งเหล่านี้เพราะไม่ใช่ความสุข จะพาไปสู่ความทุกข์ พาไปสู่ความเสียหายต่อไป ความสุขก็คือความขยันหมั่นเพียร ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทำการ ทำหน้าที่ของเรา ถ้าเป็นเด็กนักเรียนก็ตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าไปเที่ยว อย่าไปหนีโรงเรียน ตั้งใจเรียนหนังสือให้ได้คะแนนดีๆ เพื่อจะได้เรียนสูงๆ ถ้าเรียนเก่งก็อาจจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ได้ทุนการศึกษา นี้คือการดำเนินชีวิตไปสู่ทางที่ดี
ถ้าอยู่ในวัยทำงานก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บเงินเก็บทอง หามาได้เท่าไรก็อย่าเอาไปใช้หมด เอาไปใช้กับสิ่งที่จำเป็น ซื้ออาหารมารับประทาน ไปหาหมอเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เก็บไว้มากๆ ต่อไปเงินจะออกดอกออกผล เก็บไว้ในธนาคารก็มีดอกเบี้ย เอาไปลงทุนก็จะได้ขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้นไปอีก คนที่เป็นเศรษฐีเป็นแบบนี้ ไม่ได้เป็นเศรษฐีเพราะเอาเงินที่หามาได้แสนจะลำบาก ไปซื้อลอตเตอรี่ไปซื้อหวยไปเล่นการพนัน คนพวกนี้มีแต่จะยากจน ไม่มีโอกาสที่จะร่ำรวยได้ ควรศึกษาประวัติของคนรวยดู เขาจะขยันทำมาหากิน ขยันหาเงินหาทอง ขี้เกียจใช้เงินใช้ทอง ไม่ชอบใช้เงินใช้ทองแต่ชอบหา ชอบรักษาชอบลงทุน มีร้านหนึ่งก็เปิดร้านที่ ๒ เปิดร้านที่ ๓ ขยายไปเรื่อยๆ จนมีเป็น ๑๐ ร้าน ๑๐๐ ร้านขึ้นมา ก็เพราะขยันหาเงินหาทองแต่ขี้เกียจใช้เงินใช้ทองนั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการกระทำของเรา เราเคยทำมาต่างกัน จึงทำให้เรามีความสุขความเจริญต่างกัน คนบางคนแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยในชาตินี้ แต่ก็ร่ำรวยสุขสบาย นั้นก็เป็นเพราะได้ทำมามากแล้วในชาติก่อนๆ คนบางคนทำแทบเป็นแทบตายก็ไม่ได้ร่ำไม่ได้รวยเท่าไร เพราะในอดีตก็ไม่ได้ทำมา ในปัจจุบันก็ทำไม่ถูก แทนที่จะเก็บเงินเก็บทองก็เอาไปใช้กับของที่ไม่จำเป็น ซื้อสุรายาเมา ซื้อบุหรี่ ซื้อลอตเตอรี่ ซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆมาใช้ อย่างนี้ก็ไม่มีทางที่จะร่ำรวยได้ ไม่มีโอกาสที่จะเงยหัวขึ้นมาได้ เพราะทำไม่ถูกทำไม่เป็นนั่นเอง
เราจึงต้องเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วนำไปปฏิบัติให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้แล้วรับรองได้ว่า ความสุขและความเจริญไม่ว่าจะในทางโลกหรือในทางธรรม ก็จะต้องเป็นผลที่ตามมาอย่างแน่นอน เพราะเหตุและผลเป็นของคู่กัน ไม่มีใครจะมาแยกจากกันได้ ถ้าปลูกต้นมะม่วงไว้ผลก็คือลูกมะม่วงก็ต้องออกมาอย่างแน่นอน จะไปอยากให้ออกเป็นกล้วยเป็นส้มย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้นมะม่วงก็ต้องออกลูกมะม่วง ฉันใดความสุขความเจริญ ก็ออกมาจากความขยันหมั่นเพียร ความดีทั้งหลายนั้นเอง ส่วนความทุกข์ความเสื่อมเสีย ก็ออกมาจากการกระทำไม่ดีทั้งหลายเช่นเดียวกัน ไม่ได้มาจากที่ไหน คนเราที่มีความแตกต่างกันก็ตรงที่การกระทำ เพราะปัญญาไม่เท่าเทียมกัน ความรู้ความฉลาดไม่เท่าเทียมกัน คนรู้มากมีปัญญามากย่อมทำความดีได้มาก ย่อมได้รับความสุขความเจริญมาก คนรู้น้อยปัญญาน้อยย่อมทำความดีได้น้อย ย่อมได้รับความสุขความเจริญน้อย ถ้ายังไม่เจริญเท่าที่อยากจะเจริญ ยังไม่สุขเท่าที่อยากจะสุข ก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติม ไม่มีความรู้อะไรในโลกนี้ที่จะทำให้เราสุข ให้เราสบาย ให้เราเจริญได้ นอกจากความรู้ในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะทำให้เราได้เจอความสุขและความเจริญที่แท้จริง ความรู้ทางโลกไม่ได้พาไปสู่ความสุขความเจริญที่แท้จริง แต่จะกลายเป็นเครื่องมือของความโลภโมโทสัน ที่จะพาไปสู่ความทุกข์ความวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น
จึงควรยินดีต่อการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ เข้าวัดเข้าวาอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่มีโอกาสไม่มีเวลา ก็หาหนังสือธรรมะ หาแผ่นซีดีหรือเทปธรรมะเอาไปเปิด เอาไปฟัง เอาไปอ่านกัน หรือเปิดวิทยุเปิดโทรทัศน์ก็มีธรรมะแสดงอยู่เรื่อยๆ อย่าไปเห็นว่าธรรมะเป็นของล้าสมัย เพราะธรรมะเป็นของที่ทันสมัยอยู่เสมอ จะทำให้ฉลาดรู้ทันความไม่ดีต่างๆที่มีอยู่ในจิตใจ ทุกวันนี้เรารู้ไม่ทันสิ่งที่ไม่ดี มันจึงหลอกให้เราไปทำในสิ่งที่ไม่ดี เช่นไปซื้อของฟุ่มเฟือยก็รู้ไม่ทันแล้ว ซื้อมาทำไมในเมื่อมีของอยู่เต็มตู้ เสื้อผ้ามีอยู่เต็มตู้ รองเท้ามีอยู่เต็มตู้ ซื้อมาแล้วก็เป็นภาระ ต้องไปซื้อตู้มาเพิ่มอีก ทั้งๆที่เท้าก็มีอยู่แค่คู่เดียว แต่รองเท้าทำไมต้องมีเป็นสิบเป็นร้อยคู่ เสื้อผ้าก็มีตั้งเยอะแยะ ร่างกายก็มีร่างเดียว เวลาใส่ก็ใส่ทีละชุด เพราะเรามันโง่ ไม่ทันความโง่ ไม่ทันความคิดที่โง่ ที่หลอกให้ไปทำในสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ ให้เราวุ่นวายใจไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ถ้าได้ศึกษาได้ยินได้ฟังธรรมอย่างที่ได้ยินในวันนี้แล้ว เราจะรู้ทัน ฟังแล้วต้องเอาไปเตือนตนอยู่เรื่อยๆ อย่าฟังแล้วปล่อยไป ถ้าฟังแล้วไม่เอาไปคิดพิจาณาต่อ เดี๋ยวก็ลืม พอเห็นอะไรสวยๆงามๆ ก็อยากจะได้ขึ้นมาทันที แต่ถ้าคิดอยู่เรื่อยๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทุกครั้งอยากจะได้อะไร ก็จะถามตนเองก่อนว่าจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่มีมันแล้วจะตายหรือไม่ ถ้าคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้ว รับรองได้ว่าจะเอาชนะความโลภได้ ชนะความโกรธได้ เพราะเวลาโกรธจะเห็นว่ากำลังสร้างไฟนรกขึ้นมาในใจ จะรีบดับด้วยการให้อภัยไม่ถือสา ไม่เอาเรื่องเอาราว ไม่ให้เกิดทุกข์ซ้อนขึ้นมา เป็นเรื่องซ้อนขึ้นมา นี้คือธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พวกเราควรใช้เป็นมาตรฐานวัดการกระทำของเราในแต่ละวัน ทำไปแล้วเกิดความสุขความเจริญหรือเกิดความทุกข์ความเสื่อมเสีย ขอให้คิดพิจารณาอยู่เรื่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ปีหน้าจะสดใสขึ้น ดีขึ้น เจริญขึ้น จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรเลวร้ายปรากฏกับชีวิตเลย เกิดจากการศึกษา จากการได้ยินได้ฟังแล้วนำเอาไปปฏิบัติ จึงขอฝากเรื่องราวเหล่านี้ให้ท่านนำไปพินิจพิจารณา เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้