กัณฑ์ที่
๒๘
มรรค
๔ ผล ๔
นิพพาน ๑
ตลอดระยะเวลา
๔๕
พรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอุทิศตนประกาศพระธรรมสั่งสอนโลกนั้น
พระพุทธองค์ทรงประกาศสั่งสอนอยู่ทุกๆวัน
พระธรรมคำสอนจึงมีมากมาย
ที่รวบรวมไว้ในพระไตรปิฏกก็มีถึง
๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ถึงแม้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีมากมายเท่าไรก็ตาม
เนื้อหาสาระคำสอนของพระพุทธองค์นั้นสรุปรวมเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้
๓ หัวข้อด้วยกัน คือ
๑.
ละการกระทำบาปทั้งปวง
๒. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม
๓. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด
คือชำระความโลภ ความโกรธ
ความหลง ให้ออกไปจากจิตจากใจ
นี่คีอเนื้อหาสาระของพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ตลอด
๔๕ พรรษา
ไม่ว่าจะไปแสดงธรรมให้กับใครที่ไหนก็จะแสดงแต่เรื่องเหล่านี้
ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติธรรม
ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนได้แล้ว
ผลที่จะพึงหวังได้
คือความผาสุก
ความเจริญรุ่งเรือง
ความปราศจากทุกข์ในจิตใจ
ความร่มเย็นเป็นสุข
ซึ่งจะปรากฏเป็นขั้นๆไป
นำไปสู่การสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด
คือการตัดภพ ตัดชาติ
ให้เหลือน้อยลงไปตามลำดับ
จนกระทั่งภพชาติหมดสิ้นไป นี่คือผลที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
จะสามารถบรรลุถึงได้
พระพุทธองค์ได้ทรงแยกผลเหล่านี้ไว้เป็น
๙ ขั้นด้วยกัน เรียกว่า มรรค ๔
ผล ๔ นิพพาน
๑ คือมีมรรคอยู่
๔ ขั้น มีผลอยู่ ๔ ขั้น
และพระนิพพานเป็นสุดยอดของการประพฤติปฏิบัติธรรม
มรรคนี้หมายถึงการประพฤติปฏิบัติแต่ละขั้นนั่นเอง เปรียบเหมือนกับการเดินทาง
เช่นเวลาญาติโยมมาจากบ้าน
ขณะเดินทางนั่งรถเข้ามาสู่วัดนี้
เรียกว่ากำลังเจริญมรรค
เมื่อเข้าถึงตัววัดแล้ว
เรียกว่าได้บรรลุถึงผลคือจุดหมายปลายทาง
การเดินทางนั้นเป็นมรรค
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
เรียกว่าผล
มรรคผลนี้
พระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้อยู่
๔ ขั้นด้วยกัน คือ
มรรค ๔ ผล ๔ คือ
๑. โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล
๒. สกิทาคามิมรรค
สกิทาคามิผล
๓. อนาคามิมรรค
อนาคามิผล ๔. อรหัตตมรรค
อรหัตตผล แล้วจึงจะถึงพระนิพพาน
ทั้งหมดนี้รวมเป็น ๙
ขั้นด้วยกัน คือมรรค ๔ ผล ๔
นิพพาน ๑ ผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานต้องปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
คือละความชั่ว ทำความดี
และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด
ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล
และเจริญจิตตภาวนา
เรียกสั้นๆว่า ทาน ศีล
ภาวนา นี่คือวิธีดำเนินการเพื่อที่จะเข้าสู่มรรคผลนิพพาน
เมื่อปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราอย่างท่าน
เกิดมีศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ได้น้อมเอาสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติ
เริ่มด้วยการทำบุญให้ทาน
รักษาศีล และเจริญจิตตภาวนา
คือทำจิตให้สงบด้วยการไหว้พระสวดมนต์
หรือด้วยการนั่งสมาธิ กำหนดพุทโธ
หรืออานาปานสติกำหนดดูลมหายใจเข้าออก
ทำจิตใจให้สงบ
จากนั้นก็เจริญวิปัสสนาปัญญา
ให้เห็นว่าสภาพทั้งหลายในโลกนี้มีแต่ความทุกข์
มีแต่ความไม่เที่ยง
มีแต่ความไม่มีตัวตน
นี่คือการเจริญมรรคของปุถุชนเพื่อตัดสังโยชน์
เครื่องพันธนาการที่ผูกมัดสัตว์โลกทั้งหลายไว้ในวัฏสงสาร
คือการเวียนว่ายตายเกิด
สังโยชน์เครื่องพันธนาการนี้มีอยู่
๑๐ ประการด้วยกัน แบ่งออกเป็น
๒ ส่วนคือ สังโยชน์เบื้องต่ำ
๕ ประการ สังโยชน์เบื้องสูง ๕
ประการ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๓
ตัวแรกที่ผู้เจริญโสดาปัตติมรรคจะต้องตัดให้ขาดนั้นคือ
๑. สักกายทิฐิ
ความเห็นว่ารูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของๆเรา ๒. วิจิกิจฉา
ความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ๓. สีลัพพตปรามาส
ความลูบคลำศีล
เป็นปกติของปุถุชนคนธรรมดาที่จะเห็นรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นตัวเป็นตน
เป็นเราเป็นของๆเรา
ที่จะสงสัยว่าพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์
มีจริงหรือเปล่า
ที่จะมีความไม่มั่นใจว่าการรักษาศีลนั้นจะได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า
ตายไปแล้วสูญ
หรือตายไปแล้วจะได้เกิดอีก
ถ้าตายแล้วสูญการรักษาศีลก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
นี่คือเครื่องผูกมัดจิตใจของปุถุชนให้ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด
แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนและได้เจริญทาน
ศีล ภาวนา
ไปอย่างต่อเนื่องแล้ว
ไม่ช้าก็เร็วแสงสว่างแห่งธรรมก็จะปรากฎขึ้นมาในดวงจิต
คือมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมานั่นเอง
คือเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา
สังขาร
วิญญาณนี้ไม่มีตัวมีตน
เห็นว่าร่างกายนี้เป็นมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
อาหารนั้นนี้ก็มาจาก ดิน
น้ำ ลม ไฟ
เช่นข้าวที่ปลูกไว้ในดิน
ถ้าไม่มีน้ำ ไม่มีแดด
ไม่มีอากาศ
ข้าวก็ไม่เจริญงอกงาม
ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน
เมื่อธาตุทั้ง ๔
ได้เข้าไปในร่างกายในรูปของอาหาร
ก็เปลี่ยนเป็นอาการ ๓๒มี ผม
ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
กระดูก เป็นต้น เมื่อตายไปก็กลับคืนสู่ธาตุเดิม
การเจริญสมาธิและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เห็นว่าที่แท้จริงแล้วร่างกายนั้นเป็นการรวมตัวของธาตุ
๔ ดิน น้ำ ลมไฟ เท่านั้นเอง
ไม่มีตัวตนอยู่ในรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ
และเห็นว่ากรรมนั้นมีจริง
คือทำดีย่อมได้รับความสุข
ทำชั่วย่อมได้รับความทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ลูบคลำศีล
แต่จะรักษาศีลอย่างเคร่งครัด
นี่คือการเห็นธรรม
เมื่อเห็นธรรมย่อมเห็นพระพุทธเจ้า
เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ที่เห็นพระตถาคตได้ต้องเป็นพระสุปฏิปันโน
คือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
คือพระโสดาบัน พระอริยสงฆ์นั่นเอง
นี่คือเรื่องของโสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล อริยมรรค อริยผลขั้นที่หนึ่ง
ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะบรรลุถึงได้
พระโสดาบันจะมีภพชาติเหลือเพียง
๗ ภพชาติเท่านั้นเอง
จะเกิดอยู่แต่ในสุคติภพ
คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป
ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์นรก
เพราะมีธรรมะคอยป้องกันไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ต่ำ
พระโสดาบันนี้จะรักษาศีล ๕
ยิ่งกว่าชีวิต
จะไม่ละเมิดศีล ๕
อย่างเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดทั้งสิ้น
พระโสดาบันเป็นบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่
เพราะยังไม่ได้ละสังโยชน์เครื่องพันธนาการอีก
๒ ตัว คือกามราคะและปฏิฆะ
กามราคะหมายถึงความยินดีในกาม
ปฏิฆะหมายถึงความหงุดหงิดใจ
แสดงว่าพระโสดาบันยังยินดีกับการครองเรือน
มีสามี มีภรรยา
จนกว่าจะละกามราคะและปฏิฆะได้
คือต้องเจริญสกิทาคามิมรรคและอนาคามิมรรคจนบรรลุอนาคามิผล
การเจริญสกิทาคามิมรรคและอนาคามิมรรค
คือการพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม
เรียกว่าการเจริญอสุภกรรมฐาน
พิจารณาอาการ ๓๒
ของร่างกายทั้งส่วนข้างนอกของผิวหนังและส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังอวัยวะต่างๆ
เช่นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก
หัวใจ ปอด ตับ ไต ไส้พุง
เป็นต้น
ทั้งขณะที่เป็นอยู่และขณะที่ตายไป
เป็นซากศพในลักษณะต่างๆ
ถ้าได้พิจารณาอยู่เรื่อยๆต่อไปกามราคะความยินดีในกามก็จะค่อยๆ
คลายลงไปเรื่อยๆ
จะค่อยๆเบาบางลงไป
ปฏิฆะความหงุดหงิดใจ
ก็จะค่อยๆเบาบางตามไปด้วย
เมื่อได้ทำให้กามราคะและปฏิฆะเบาบางลงไป
ก็จะบรรลุสกิทาคามีผล
พระสกิทาคามีจะมีความรู้สึกเบื่อๆอยากๆกับเรื่องของร่างกาย
ถ้าเป็นน้ำก็ไม่ใช่น้ำเย็น
ไม่ใช่น้ำร้อน แต่เป็นน้ำอุ่นๆ
ภพชาติของพระสกิทาคามีจะเหลือเพียงภพชาติเดียวเท่านั้นเอง
ถ้าปฏิบัติต่อไป
คือเจริญมรรคขั้นที่ ๓
คืออนาคามิมรรค
พิจารณาเรื่องอสุภความไม่สวยงามของร่างกายให้มากยิ่งขึ้นไป
พิจารณาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
จนเห็นอสุภความไม่สวยงามของร่างกายได้ตลอดเวลา
ก็จะบรรลุอนาคามิผล
เพราะตัดกามราคะความยินดีในกามและปฏิฆะความหงุดหงิดใจได้หมด
พระอนาคามีเมื่อตายไปจะไม่กลับมาเกิดในกามโลกนี้อีก
จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
ชั้นใดชั้นหนึ่ง มี ๕
ชั้นด้วยกัน แล้วก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นพรหมโลกต่อไป
อนาคามีแปลว่าผู้ที่ไม่กลับมาเกิดในกามภพอีก
คือไม่มาเกิดเป็นเทวดา
เป็นมนุษย์
เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น
ถ้าปฏิบัติต่อไปได้
คือเจริญมรรคขั้นที่ ๔
คืออรหัตตมรรค จะต้องพยายามตัดสังโยชน์อีก
๕ ตัว
คือรูปราคะความยินดีในรูปฌาน
อรูปราคะความยินดีในอรูปฌาน
มานะความถือตน อุทธัจจะ
ความฟุ้งซ่าน
อวิชชาความไม่รู้จริง
พระอนาคามีมีจิตที่ละเอียดมาก
สงบมาก และสุขมาก
จนทำให้ท่านติดอยู่กับความสงบของจิตใจ
ไม่เจริญปัญญาเพื่อตัดกิเลสละเอียดที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ
ต่อมาเมื่อเห็นว่ายังมีความทุกข์ที่เกิดจากมานะ
จากอวิชชา
จึงได้ออกจากการติดความสงบของรูปฌานและอรูปฌาน
มาสู่การเจริญปัญญา
แต่ทำเลยเถิดไปเกินความพอดี
เลยกลายเป็นอุทธัจจะความฟุ้งซ่านไป
ทางที่ถูกควรจะยึดทางสายกลางระหว่างการเจริญสมาธิและปัญญา
สลับกันไป
ปัญญาไว้ใช้ทำลายกิเลส
สมาธิไว้สำหรับพักผ่อนเติมพลัง
เมื่อทำได้ดังนี้ก็จะตัดอุทธัจจะความฟุ้งซ่านไปได้
มานะคือความถือตัว
ถือว่าสูงกว่าเขาบ้าง
ต่ำกว่าเขาบ้าง เสมอเขาบ้าง
อวิชชาคือยังไม่เห็นไตรลักษณ์
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อริยสัจสี่
ที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในจิต
จึงต้องพิจารณาเวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ และจิต
ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้เสีย
เมื่อปล่อยวางได้ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็เข้าสู่พระนิพพานไป
นี่คือเรื่องของมรรค
๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานนั้นมีอยู่
๒ ลักษณะด้วยกัน คือสอุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
และอนุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ดังที่พระพุทธองค์ขณะนั่งบำเพ็ญจิตใต้ต้นโพธิ์ในวันเพ็ญเดือน
๖
ได้ทรงตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในขณะนั้น
พระพุทธองค์ทรงบรรลุถึงพระนิพพานแล้ว
แต่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์อยู่
ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงใช้เวลาถึง
๔๕ พรรษา
สั่งสอนสัตว์โลกจนกระทั่งครบอายุ
๘๐พรรษา
จึงได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานที่ไม่มีเบญจขันธ์
ไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว
จิตนิพพานคือจิตที่มีความสะอาดหมดจด
เป็นจิตที่ปราศจากความโลภ
ความโกรธ ความหลง
เป็นจิตที่เปี่ยมด้วยบรมสุข
ที่เรียกว่า นิพพานัง ปรมัง
สุขัง
นี่คือผลที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
จะพึงได้รับ คือ มรรค ๔ ผล ๔
นิพพาน ๑ เป็นผลที่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่ง
เพราะเป็นความสุขความเจริญอันสูงสุด
พวกเรายังอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ
ถ้าเราไม่เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการบำเพ็ญทาน
ศีล ภาวนาแล้ว ชีวิตของเราก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
ไม่มีที่สิ้นสุด
ภพชาติของเรานี้
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามีมากมายจนกระทั่งไม่สามารถนับได้
พระองค์ทรงเปรียบเทียบให้ฟังว่า
ในแต่ละภพละชาติที่พวกเราเกิดมานั้นต้องมีความเศร้าโศกเสียใจ
ต้องมีการร้องห่มร้องไห้กัน
ถ้าเราเก็บน้ำตาที่เราร้องห่มร้องไห้ในแต่ละภพแต่ละชาตินั้นมารวบรวมกันแล้ว
จะมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก
คิดดูซิว่าภพชาติจะมากมายแค่ไหน
จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด
ว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี
มีแต่ความทุกข์
จงเห็นคุณของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วน้อมเอามาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้ตัดภพตัดชาติ
ตัดความทุกข์ทั้งหลายให้ออกไปจากจิตจากใจ
เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้