กัณฑ์ที่ ๒๘     ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๓

มรรค ๔  ผล ๔  นิพพาน ๑

 

ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอุทิศตนประกาศพระธรรมสั่งสอนโลกนั้น  พระพุทธองค์ทรงประกาศสั่งสอนอยู่ทุกๆวัน  พระธรรมคำสอนจึงมีมากมาย ที่รวบรวมไว้ในพระไตรปิฏกก็มีถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์  แต่ถึงแม้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีมากมายเท่าไรก็ตาม เนื้อหาสาระคำสอนของพระพุทธองค์นั้นสรุปรวมเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้ ๓ หัวข้อด้วยกัน คือ   . ละการกระทำบาปทั้งปวง  . ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม   . ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด คือชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง  ให้ออกไปจากจิตจากใจ นี่คีอเนื้อหาสาระของพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ว่าจะไปแสดงธรรมให้กับใครที่ไหนก็จะแสดงแต่เรื่องเหล่านี้

ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติธรรม ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนได้แล้ว ผลที่จะพึงหวังได้ คือความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง ความปราศจากทุกข์ในจิตใจ  ความร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งจะปรากฏเป็นขั้นๆไป นำไปสู่การสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด คือการตัดภพ ตัดชาติ ให้เหลือน้อยลงไปตามลำดับ จนกระทั่งภพชาติหมดสิ้นไป  นี่คือผลที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ จะสามารถบรรลุถึงได้ พระพุทธองค์ได้ทรงแยกผลเหล่านี้ไว้เป็น ๙ ขั้นด้วยกัน เรียกว่า มรรค ๔  ผล ๔  นิพพาน ๑   คือมีมรรคอยู่ ๔ ขั้น มีผลอยู่ ๔ ขั้น  และพระนิพพานเป็นสุดยอดของการประพฤติปฏิบัติธรรม มรรคนี้หมายถึงการประพฤติปฏิบัติแต่ละขั้นนั่นเอง  เปรียบเหมือนกับการเดินทาง เช่นเวลาญาติโยมมาจากบ้าน  ขณะเดินทางนั่งรถเข้ามาสู่วัดนี้  เรียกว่ากำลังเจริญมรรค เมื่อเข้าถึงตัววัดแล้ว เรียกว่าได้บรรลุถึงผลคือจุดหมายปลายทาง การเดินทางนั้นเป็นมรรค เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เรียกว่าผล 

มรรคผลนี้ พระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้อยู่ ๔ ขั้นด้วยกัน  คือ มรรค ๔ ผล ๔  คือ   . โสดาปัตติมรรค   โสดาปัตติผล   . สกิทาคามิมรรค   สกิทาคามิผล   . อนาคามิมรรค  อนาคามิผล        . อรหัตตมรรค   อรหัตตผล  แล้วจึงจะถึงพระนิพพาน ทั้งหมดนี้รวมเป็น ๙ ขั้นด้วยกัน คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑  ผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานต้องปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ คือละความชั่ว ทำความดี และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล และเจริญจิตตภาวนา  เรียกสั้นๆว่า ทาน ศีล ภาวนา  นี่คือวิธีดำเนินการเพื่อที่จะเข้าสู่มรรคผลนิพพาน  เมื่อปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราอย่างท่าน เกิดมีศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ได้น้อมเอาสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติ เริ่มด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล และเจริญจิตตภาวนา คือทำจิตให้สงบด้วยการไหว้พระสวดมนต์ หรือด้วยการนั่งสมาธิ กำหนดพุทโธ หรืออานาปานสติกำหนดดูลมหายใจเข้าออก ทำจิตใจให้สงบ จากนั้นก็เจริญวิปัสสนาปัญญา ให้เห็นว่าสภาพทั้งหลายในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความไม่มีตัวตน  นี่คือการเจริญมรรคของปุถุชนเพื่อตัดสังโยชน์ เครื่องพันธนาการที่ผูกมัดสัตว์โลกทั้งหลายไว้ในวัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด

สังโยชน์เครื่องพันธนาการนี้มีอยู่ ๑๐ ประการด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการ  สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ประการ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ตัวแรกที่ผู้เจริญโสดาปัตติมรรคจะต้องตัดให้ขาดนั้นคือ  . สักกายทิฐิ  ความเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวเป็นตน  เป็นเราเป็นของๆเรา   . วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  . สีลัพพตปรามาส  ความลูบคลำศีล

เป็นปกติของปุถุชนคนธรรมดาที่จะเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของๆเรา ที่จะสงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงหรือเปล่า ที่จะมีความไม่มั่นใจว่าการรักษาศีลนั้นจะได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า  ตายไปแล้วสูญ หรือตายไปแล้วจะได้เกิดอีก ถ้าตายแล้วสูญการรักษาศีลก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่คือเครื่องผูกมัดจิตใจของปุถุชนให้ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด  แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนและได้เจริญทาน ศีล ภาวนา ไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ไม่ช้าก็เร็วแสงสว่างแห่งธรรมก็จะปรากฎขึ้นมาในดวงจิต คือมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมานั่นเอง คือเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ไม่มีตัวมีตน  เห็นว่าร่างกายนี้เป็นมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป  อาหารนั้นนี้ก็มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นข้าวที่ปลูกไว้ในดิน  ถ้าไม่มีน้ำ ไม่มีแดด ไม่มีอากาศ ข้าวก็ไม่เจริญงอกงาม  ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน  เมื่อธาตุทั้ง ๔ ได้เข้าไปในร่างกายในรูปของอาหาร ก็เปลี่ยนเป็นอาการ ๓๒มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น  เมื่อตายไปก็กลับคืนสู่ธาตุเดิม

การเจริญสมาธิและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เห็นว่าที่แท้จริงแล้วร่างกายนั้นเป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลมไฟ เท่านั้นเอง  ไม่มีตัวตนอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และเห็นว่ากรรมนั้นมีจริง คือทำดีย่อมได้รับความสุข ทำชั่วย่อมได้รับความทุกข์  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ลูบคลำศีล แต่จะรักษาศีลอย่างเคร่งครัด นี่คือการเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมเห็นพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ที่เห็นพระตถาคตได้ต้องเป็นพระสุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือพระโสดาบัน พระอริยสงฆ์นั่นเอง นี่คือเรื่องของโสดาปัตติมรรค   โสดาปัตติผล   อริยมรรค อริยผลขั้นที่หนึ่ง ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะบรรลุถึงได้

พระโสดาบันจะมีภพชาติเหลือเพียง ๗ ภพชาติเท่านั้นเอง  จะเกิดอยู่แต่ในสุคติภพ คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป  ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เพราะมีธรรมะคอยป้องกันไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ต่ำ พระโสดาบันนี้จะรักษาศีล ๕ ยิ่งกว่าชีวิต จะไม่ละเมิดศีล ๕ อย่างเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดทั้งสิ้น พระโสดาบันเป็นบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ เพราะยังไม่ได้ละสังโยชน์เครื่องพันธนาการอีก ๒ ตัว คือกามราคะและปฏิฆะ  กามราคะหมายถึงความยินดีในกาม ปฏิฆะหมายถึงความหงุดหงิดใจ  แสดงว่าพระโสดาบันยังยินดีกับการครองเรือน มีสามี มีภรรยา จนกว่าจะละกามราคะและปฏิฆะได้ คือต้องเจริญสกิทาคามิมรรคและอนาคามิมรรคจนบรรลุอนาคามิผล

การเจริญสกิทาคามิมรรคและอนาคามิมรรค คือการพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม เรียกว่าการเจริญอสุภกรรมฐาน พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกายทั้งส่วนข้างนอกของผิวหนังและส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังอวัยวะต่างๆ เช่นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก หัวใจ ปอด ตับ ไต ไส้พุง เป็นต้น ทั้งขณะที่เป็นอยู่และขณะที่ตายไป เป็นซากศพในลักษณะต่างๆ ถ้าได้พิจารณาอยู่เรื่อยๆต่อไปกามราคะความยินดีในกามก็จะค่อยๆ คลายลงไปเรื่อยๆ จะค่อยๆเบาบางลงไป ปฏิฆะความหงุดหงิดใจ   ก็จะค่อยๆเบาบางตามไปด้วย เมื่อได้ทำให้กามราคะและปฏิฆะเบาบางลงไป ก็จะบรรลุสกิทาคามีผล พระสกิทาคามีจะมีความรู้สึกเบื่อๆอยากๆกับเรื่องของร่างกาย ถ้าเป็นน้ำก็ไม่ใช่น้ำเย็น ไม่ใช่น้ำร้อน  แต่เป็นน้ำอุ่นๆ ภพชาติของพระสกิทาคามีจะเหลือเพียงภพชาติเดียวเท่านั้นเอง ถ้าปฏิบัติต่อไป คือเจริญมรรคขั้นที่ ๓ คืออนาคามิมรรค พิจารณาเรื่องอสุภความไม่สวยงามของร่างกายให้มากยิ่งขึ้นไป  พิจารณาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน จนเห็นอสุภความไม่สวยงามของร่างกายได้ตลอดเวลา ก็จะบรรลุอนาคามิผล เพราะตัดกามราคะความยินดีในกามและปฏิฆะความหงุดหงิดใจได้หมด

พระอนาคามีเมื่อตายไปจะไม่กลับมาเกิดในกามโลกนี้อีก จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่ง มี ๕ ชั้นด้วยกัน  แล้วก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นพรหมโลกต่อไป  อนาคามีแปลว่าผู้ที่ไม่กลับมาเกิดในกามภพอีก คือไม่มาเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ถ้าปฏิบัติต่อไปได้ คือเจริญมรรคขั้นที่ ๔ คืออรหัตตมรรค  จะต้องพยายามตัดสังโยชน์อีก ๕ ตัว คือรูปราคะความยินดีในรูปฌาน  อรูปราคะความยินดีในอรูปฌาน   มานะความถือตน   อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน อวิชชาความไม่รู้จริง

พระอนาคามีมีจิตที่ละเอียดมาก สงบมาก และสุขมาก จนทำให้ท่านติดอยู่กับความสงบของจิตใจ ไม่เจริญปัญญาเพื่อตัดกิเลสละเอียดที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ ต่อมาเมื่อเห็นว่ายังมีความทุกข์ที่เกิดจากมานะ จากอวิชชา จึงได้ออกจากการติดความสงบของรูปฌานและอรูปฌาน มาสู่การเจริญปัญญา แต่ทำเลยเถิดไปเกินความพอดี เลยกลายเป็นอุทธัจจะความฟุ้งซ่านไป ทางที่ถูกควรจะยึดทางสายกลางระหว่างการเจริญสมาธิและปัญญา สลับกันไป ปัญญาไว้ใช้ทำลายกิเลส สมาธิไว้สำหรับพักผ่อนเติมพลัง เมื่อทำได้ดังนี้ก็จะตัดอุทธัจจะความฟุ้งซ่านไปได้

มานะคือความถือตัว ถือว่าสูงกว่าเขาบ้าง ต่ำกว่าเขาบ้าง เสมอเขาบ้าง อวิชชาคือยังไม่เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจสี่ ที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในจิต  จึงต้องพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และจิต ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้เสีย เมื่อปล่อยวางได้ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์  เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็เข้าสู่พระนิพพานไป

นี่คือเรื่องของมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑  นิพพานนั้นมีอยู่ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือสอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และอนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดังที่พระพุทธองค์ขณะนั่งบำเพ็ญจิตใต้ต้นโพธิ์ในวันเพ็ญเดือน ๖ ได้ทรงตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงบรรลุถึงพระนิพพานแล้ว  แต่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์อยู่ ยังมีชีวิตอยู่  หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงใช้เวลาถึง ๔๕ พรรษา สั่งสอนสัตว์โลกจนกระทั่งครบอายุ ๘๐พรรษา จึงได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีเบญจขันธ์ ไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว จิตนิพพานคือจิตที่มีความสะอาดหมดจด เป็นจิตที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจิตที่เปี่ยมด้วยบรมสุข ที่เรียกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นี่คือผลที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จะพึงได้รับ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑  เป็นผลที่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่ง เพราะเป็นความสุขความเจริญอันสูงสุด

พวกเรายังอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ  ถ้าเราไม่เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาแล้ว  ชีวิตของเราก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุด ภพชาติของเรานี้  พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามีมากมายจนกระทั่งไม่สามารถนับได้  พระองค์ทรงเปรียบเทียบให้ฟังว่า ในแต่ละภพละชาติที่พวกเราเกิดมานั้นต้องมีความเศร้าโศกเสียใจ ต้องมีการร้องห่มร้องไห้กัน  ถ้าเราเก็บน้ำตาที่เราร้องห่มร้องไห้ในแต่ละภพแต่ละชาตินั้นมารวบรวมกันแล้ว  จะมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก  คิดดูซิว่าภพชาติจะมากมายแค่ไหน  จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด ว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี มีแต่ความทุกข์  จงเห็นคุณของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วน้อมเอามาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้ตัดภพตัดชาติ ตัดความทุกข์ทั้งหลายให้ออกไปจากจิตจากใจ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้