กัณฑ์ที่ ๒๘๐ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
วันสิ้นปี
วันนี้เป็นวันสิ้นปี วันสุดท้ายของปี ๒๕๔๙ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งฉลองปีใหม่กัน นี่ก็มาส่งท้ายปีเก่ากันอีกแล้ว เพราะเวลาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่นิ่งอยู่กับที่ ไหลไปเหมือนกับกระแสน้ำ ไหลมาแล้วก็ไหลไป ไม่หวนกลับมาอีก เวลาจึงมีคุณค่ามาก พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ถามตนอยู่เสมอว่า วันเวลาผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำความดี หรือกำลังทำบาป กำลังกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกำลังส่งเสริมความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้มีมากยิ่งๆขึ้น เพราะการกระทำจะเป็นเหตุที่จะนำมา ในสิ่งที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา สิ่งที่ปรารถนาก็คือความสุขความเจริญ สิ่งที่ไม่ปรารถนาก็คือความทุกข์ความเสื่อมเสีย ทั้ง ๒ สิ่งนี้เกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น ถ้าทำดีกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ละเว้นจากการกระทำบาป ผลดีคือความสุขและความเจริญก็จะตามมา ถ้าไม่กระทำความดี ไม่ละเว้นจากการกระทำบาป ไม่ชำระจิตใจ ไม่กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ผลเสียคือความทุกข์ความวุ่นวายใจก็ตามมา เมื่อชีวิตถึงจุดหมายปลายทาง คือสิ้นสุดลง ใจก็จะต้องไปเสวยบุญเสวยกรรมที่ได้กระทำกันไว้ จะส่งให้ไปเกิดในที่สูงที่ต่ำ ตามบุญตามกรรมต่อไป
พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของพวกเรา ได้ทรงตรัสรู้เห็นหลักของกรรมอย่างชัดแจ้งแล้ว เห็นทั้งเหตุคือการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ เห็นทั้งผลคือความสุขความเจริญ สวรรค์ มรรค ผล นิพพาน เห็นทั้งความทุกข์ความเสื่อมเสีย เห็นนรก เห็นอบาย และทรงสามารถพัฒนายกจิตใจของพระองค์ ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลังจากที่ร่างกายได้แตกดับไปแล้ว จิตของพระพุทธเจ้าก็จะไม่ไปเกิดอีกต่อไป เพราะได้ถึงจุดสูงสุดคือพระนิพพาน เป็นจิตที่มีแต่ความสุข มีแต่ความอิ่ม มีแต่ความพอ ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่เกิดจากการแก่เจ็บตายก็ตาม การพลัดพรากจากกันก็ตาม จะไม่มีกับจิตที่ไม่เกิดอีกต่อไป ส่วนจิตของพวกเรา ถ้าทำความดีกัน ก็จะได้เวียนอยู่ในสุคติ ได้เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพเป็นพรหมบ้าง แล้วในที่สุดก็จะได้เป็นพระอริยเจ้า ได้บรรลุถึงพระนิพพานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ถ้าหมั่นทำความดี ละการกระทำบาป ชำระกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ นี่เป็นงานที่เราควรทำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการถามตัวเองอยู่เสมอว่า วันเวลาล่วงผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะเมื่อถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตแล้ว เราจะไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ จะต้องไปใช้บุญใช้กรรมตามที่ได้ทำมา แต่ถ้าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เราหมั่นสะสมคุณงามความดี ละการกระทำบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปจากจิตจากใจ เราจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ในชาตินี้เลย ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยของมนุษย์พวกเราทุกคน ที่จะสามารถปฏิบัติกันได้ เพราะถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้แล้ว พระพุทธเจ้าก็จะไม่เสียเวลามาประกาศพระศาสนา มาสั่งสอนพวกเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้สั่งสอนให้กับผู้อื่น สั่งสอนให้แต่มนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนเทพก็มีบ้าง ถ้าขวนขวายมากราบขอฟังพระธรรมคำสอนจากพระพุทธเจ้า ส่วนพวกเดรัจฉานหรือสัตว์ที่อยู่ในอบายทั้งหลาย จะไม่สามารถรับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าได้เลย มีแต่พวกเราเท่านั้นที่สมควรที่เหมาะสมที่สุดกับพระธรรมคำสอนอันประเสริฐนี้ และก็มีมนุษย์หลายคนด้วยกันนับจำนวนไม่ถ้วน ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปแล้ว ด้วยการนำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไปปฏิบัติอย่างขะมักเขม้น อย่างขยัน ไม่ท้อแท้ ถึงแม้จะยากจะลำบากเพียงไร ก็ไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่สุดวิสัย แต่คิดว่าสามารถทำได้ และก็ทำได้จริงๆ ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆนับเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมคำสอน มาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็มีมนุษย์อย่างเราอย่างท่าน ที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่มีศรัทธามีความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วน้อมเอาไปปฏิบัติ จนสามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกกำจัดด้วยกาลและเวลาหรือสถานที่ ไม่ใช่จะบรรลุผลได้ เพียงแต่ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เท่านั้น
แต่เป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา แต่ขึ้นกับเหตุกับผล ถ้ามีเหตุที่ตรงไหนผลก็จะมีที่ตรงนั้น ถ้ามีเหตุอยู่ในบุคคลใด ผลก็จะเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เหตุก็คือการกระทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ คือให้กระทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ให้ละบาปกรรมทั้งหลายให้หมดสิ้น และให้กำจัดความโลภความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว รับรองได้ว่าจะได้รับผลอย่างแน่นอน เพราะผลไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่พระอริยะสงฆ์สาวก แต่อยู่ที่การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ตราบใดผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมยังมีอยู่ พระอรหันต์จะไม่สิ้นไปจากโลก นี่คือหลักประกันการหลุดพ้น การไปถึงพระนิพพาน การเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้อยู่กับใครที่ไหน ไม่ได้อยู่กับกาลกับเวลา แต่อยู่กับผู้ปฏิบัติเท่านั้น ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีสติรำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เตือนตนอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ หรือกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระ ก็คือการแสวงหาสะสมทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ลาภ ยศ ต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะไม่สามารถกำจัดความทุกข์ให้หมดไปจากจิตจากใจได้ ไม่สามารถกำจัดภพชาติที่จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดได้ สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถกำจัดได้ก็คือ การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะมีคุณมีประโยชน์ มีสาระอย่างแท้จริง
จึงอย่าหลงทาง ถ้าหลงทางแล้วก็จะไปติดกับของมาร ติดกับของบาปกรรมทั้งหลาย เพราะความโลภจะฉุดลากให้ไปทำสิ่งต่างๆที่จะต้องมาเสียใจภายหลัง เวลาเกิดความโลภมากๆ ก็ต้องพยายามหาทุกวิถีทางให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ โดยคิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ไม่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าต้องการเงินมากๆ อยากจะมีเงินไปเที่ยว ก็ไปลักขโมย คิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เมื่อต้องการสิ่งที่ไม่มี แล้วคนอื่นมี ก็เป็นสิทธิ์ที่จะไปขโมยมา เป็นความคิดของความมืดบอด ของความหลง จะคิดอย่างนั้นเสมอ เวลาต้องการอะไรมากๆ แล้วไม่สามารถหามาด้วยวิธีที่ถูกต้องดีงาม ก็จะคิดแบบนี้กัน ถ้าไม่คิดแบบนี้กันแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่มีโจรผู้ร้ายอยู่ในโลกนี้เลย แต่เพราะคิดกันอย่างนี้อยู่มาก บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน เพราะจิตใจเป็นเหมือนของเด็กไร้เดียงสา เราก็รู้อยู่ว่าเด็กเป็นอย่างไร ถ้าไม่คอยสอนไม่คอยห้าม ก็จะทำอะไรไปตามประสีประสา จะถูกจะผิดจะดีจะชั่ว จะเกิดโทษหรือเกิดประโยชน์อย่างไร ไม่มีปัญญาแยกแยะได้ ก็จะทำไปตามเรื่องของเขา พวกเราแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่สภาพจิตก็ยังไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาสักเท่าไหร่ ถ้ายังหลงอยู่กับอบายมุขต่างๆ เสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน หลงอยู่กับของฟุ่มเฟือยต่างๆ หลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เกิดจากการเสพ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ ถ้ายังมีความพอใจมีความยินดี แสดงว่าจิตยังไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
เหมือนกับเด็กที่เราก็รู้กันอยู่ว่า จะไม่มีทางพาตนเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากได้เลย ต้องอาศัยผู้ใหญ่เช่นบิดามารดาคอยเลี้ยงดู คอยสั่งสอน อาศัยครูบาอาจารย์ให้ความรู้ จึงจะพอมีปัญญาเลี้ยงชีพตนได้ แต่ยังไม่มีปัญญาแยกแยะ ว่าอะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องอาศัยปัญญาทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะชี้ให้เห็นว่า อะไรเป็นคุณเป็นโทษกับตน อะไรจะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรจะนำมาซึ่งความสุข วิชาความรู้ต่างๆในโลกที่เรียนกัน มากมายก่ายกองจนถึงระดับปริญญาเอก ก็ไม่สามารถช่วยเราได้ในยามที่เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เกิดความทุกข์ ที่เกิดจากการพลัดพรากจากกัน จากความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตาย ความรู้ทางโลกจะไม่สามารถช่วยเราได้เลย ดังสุภาษิตที่ว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด จบปริญญาระดับไหนก็ตาม เมื่อเจอความเจ็บไข้ได้ป่วย ความแก่ ความตาย ความพลัดพรากจากกัน ก็ไม่สามารถระงับดับความทุกข์ความวุ่นวายใจได้ แต่ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่นพระอริยสาวกทั้งหลาย ผู้มีปัญญา จะสามารถระงับดับความทุกข์ต่างๆได้โดยสิ้นเชิง นี่คือความแตกต่างกันระหว่างความรู้ทางโลกและความรู้ทางศาสนา ความรู้ทางโลกไม่ได้ทำให้เราฉลาด ให้พ้นจากเป็นผู้ไร้เดียงสา แต่ความรู้ทางธรรมะเท่านั้น ที่จะทำให้เราฉลาดจริงรู้จริง สามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากบ่วงของความทุกข์ทั้งหลายได้โดยสิ้นเชิง อยู่ที่ความรู้ทางพระพุทธศาสนา และการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้นี้ขึ้นมาเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เราควรพุ่งเป้าไป
ชีวิตของเราเกิดมาก็เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเท่านั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อสะสมกองทุกข์ อย่างที่พวกเราสะสมกันอยู่ เพราะความหลง เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงคิดว่าได้ลาภยศสรรเสริญสุขมามากๆแล้ว จะทำให้มีความสุขมีความประเสริฐ แต่กลับต้องทุกข์ทรมานใจกับลาภยศสรรเสริญสุขโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ทางออกเสียด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ก็จะวนเวียนอย่างนี้ไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดในภพไหนก็ตาม ก็จะหลงยินดีกับลาภยศสรรเสริญสุขไปตลอด ไม่ต้องสอนกันเลยเรื่องลาภยศสรรเสริญสุขนี้ ใครๆก็อยากจะได้กันทั้งนั้น ไม่ต้องสอนกัน เพราะฝังลึกอยู่ในจิตในใจ ส่วนความยินดีในธรรมะ ในการกระทำความดี ในการละการกระทำบาป ในการกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง กลับไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครยินดีเลย เป็นสิ่งที่ต้องคอยพร่ำสอนกันอยู่ตลอดเวลา ขนาดสอนกันอยู่ตลอดเวลาแล้ว ก็ยังไม่ค่อยจะสนใจ ไม่ค่อยเห็นคุณเห็นประโยชน์ ยกเว้นพวกบัวเหนือน้ำบัวปริ่มน้ำเท่านั้น ที่จะเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของการบำเพ็ญปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา แต่พวกที่อยู่ใต้น้ำอยู่ติดกับโคลนกับตม จะไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้เลย เพราะจะเป็นอาหารของพวกปูปลาไป
พวกเราแม้จะยังไม่อยู่เหนือน้ำ ก็ยังสามารถพัฒนาให้จิตของเราผุดขึ้นมาอยู่เหนือน้ำได้ ถ้าน้อมเอาสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติ ตามกำลังสติปัญญาศรัทธาความเพียร ถ้าได้ทำไปเรื่อยๆแล้ว ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็จะเป็นบัวเหนือน้ำได้ ในภพต่อไปข้างหน้า เมื่อได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หรือได้พบกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็อาจจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น ดังที่บุคคลต่างๆได้หลุดพ้นกันในสมัยพระพุทธกาล ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งสองครั้ง ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เพราะได้สะสมบุญบารมีมามากแล้ว อย่างที่พวกเรากำลังสะสมกันอยู่ทุกวันนี้ เขาได้ทำมาในอดีตชาติ ได้ทำมาก่อน เมื่อมีโอกาส ได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้พบกับพระธรรมคำสอน ก็สามารถตักตวงประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ต่างกับพวกเราที่ถึงแม้จะได้สัมผัส ได้พบกับพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้เต็มที่ เพราะภาชนะที่มีไว้รองรับ ยังไม่ใหญ่พอ แทนที่จะมีถังใบใหญ่ๆ ก็มีเพียงถ้วยใบเล็กๆ ต่อให้อยากจะได้มากเพียงไรก็ตาม แต่ถ้วยใบเล็กๆก็ใส่น้ำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เหมือนกับถังใบใหญ่ๆ เพราะไม่ได้เตรียมภาชนะไว้รองรับ มัวแต่เสียเวลาไปกับการสะสมกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับจิตใจ ตายไปก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ ไม่เหมือนกับบุญบารมีที่เราสะสมกันอยู่เรื่อยๆ เป็นเหมือนภาชนะไว้รองรับ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในอนาคต ถ้าสะสมมากก็จะเป็นภาชนะที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนใหญ่เต็มที่ พร้อมที่จะรับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างเต็มที่ ก็เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญบุญบารมี ที่พวกเราทั้งหลายได้มากระทำกันอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นในวาระโอกาสของวันสุดท้ายของปี จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงรำลึกถึงคุณค่าของเวลา ชีวิตของเราไม่ยาวขึ้นแต่สั้นลง เพราะเวลาที่จะอยู่เหลือน้อยลงไป แต่อายุมากขึ้น ก็อาจจะคิดว่ายาวขึ้น แต่ความจริงมันน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะอายุไขของคนเรา อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปีเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามาถึงอายุหกสิบปีก็เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าวันเวลาจะยืนยาวนานสำหรับเรา เพราะอายุก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่แน่นอน จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ จะมีอายุยืนยาวขนาดไหนก็ไม่มีใครรู้ บางคนเกิดมาได้เพียงวันเดียวแล้วตายก็มี บางคนก็ตายอายุสิบปี บางคนก็ยี่สิบปี ห้าสิบปี แปดสิบปี ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนก็คือ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ เราสามารถตักตวงประโยชน์ได้เต็มที่ จึงไม่ควรปล่อยให้มันผ่านไป มีเวลาว่างไม่มีภารกิจการงานที่จำเป็นต้องทำ เกี่ยวกับการดูแลอัตภาพรักษาร่างกาย ก็ควรทุ่มเทกับการสะสมบุญบารมี เสริมสร้างธรรมะให้มีมากยิ่งขึ้นในใจ เพื่อจะได้มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง มีความเจริญมากขึ้น มีความเสื่อมน้อยลง นี่คือหน้าที่ของเราในฐานะของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ อย่าไปเห็นสิ่งอื่นๆว่ามีความสำคัญกว่าการทำบุญ สะสมคุณงามความดี การละบาป การชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ถ้าน้อมเอามาบำเพ็ญแล้ว รับรองได้ว่าชีวิตเราจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีแต่สิ่งที่ดีที่งามรออยู่ข้างหน้า จึงขอฝากเรื่องการบำเพ็ญบุญบารมี เรื่องกาลเวลา ให้พวกเราทั้งหลายนำเอาไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้