กัณฑ์ที่ ๒๘๑        ๑ มกราคม ๒๕๕๐

 

วันขึ้นปีใหม่

 

 

 

วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ท่านทั้งหลายให้ความสำคัญ เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต จึงอยากให้เริ่มต้นด้วยดี การมาวัดจึงเป็นการเริ่มต้นที่ถูกที่ควร เพราะเมื่อมาแล้วจะได้บำเพ็ญเหตุที่นำมาซึ่งความสุขและความเจริญ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ล้วนเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญ ที่ทุกคนปรารถนากัน จึงควรเข้าวัดกันบ่อยๆ ทำความดีกันบ่อยๆ ละเว้นจากการกระทำบาปกันบ่อยๆ ชำระความโลภโมโทสันที่มีอยู่ในใจอยู่เรื่อยๆ จะทำให้มีความสุขและมีความเจริญ จะทำได้ก็ต้องอาศัยบุญบารมี ๒ ประการด้วยกันคือ ๑.อธิษฐานบารมี ๒.สัจจะบารมี รวมกันก็เรียกว่า สัจจะอธิษฐาน ก่อนที่จะทำอะไร เราก็ต้องตั้งใจก่อน เพราะถ้าไม่ตั้งใจ ก็จะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร อย่างวันนี้ก่อนจะมาวัด ก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า วันนี้เป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ จะต้องมาทำบุญที่วัด อย่างนี้เรียกว่าเป็นการอธิษฐาน แปลว่าความตั้งใจ ไม่ได้หมายถึงขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ จากบุคคลนั้นหรือบุคคลนี้ อธิษฐานในทางธรรมะแปลว่า ความตั้งใจ ตั้งเป้าหมาย ก่อนที่จะไปไหนก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อน จะไปกรุงเทพก็ต้องคิดไว้ก่อนแล้วว่า จะไปกรุงเทพ แล้วก็ออกเดินทางไปตามทางที่จะพาไปสู่จุดหมายปลายทาง นี่คืออธิษฐานบารมี ความตั้งใจ แต่การมีอธิษฐานบารมีเพียงส่วนเดียว จะไม่ทำให้เกิดผลสำเร็จตามความต้องการได้ ถ้าไม่มีสัจจะบารมี ความจริงใจ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ตั้งใจไว้เฉยๆ

 

เช่นวันนี้ตั้งใจจะมาวัด พอตกเย็นวานนี้มีเพื่อนมาชวนไปเที่ยว ก็เลยออกไปเที่ยวจนดึกดื่น ตื่นไม่ทันมาวัด เลยไม่ได้มา อย่างนี้แสดงว่ามีอธิษฐานความตั้งใจ แต่ไม่มีสัจจะความจริงใจ ที่จะทำตามที่ได้ตั้งใจไว้ ถ้าต้องการจะให้สิ่งที่ปรารถนาบรรลุเป็นผลขึ้นมา ก็ต้องมีทั้งอธิษฐานและสัจจะบารมีควบคู่กันไป ตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าไปตั้ง ถ้าตั้งใจไว้แล้วต่อให้ฝนตกแดดออกน้ำท่วม ถ้ายังทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ก็ต้องทำ ยกเว้นถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สามารถลุกขึ้นไปทำอะไรได้ ต้องนอนอยู่ในเตียงรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายก่อน อย่างนี้ก็ต้องผลัดไว้ก่อน รอไว้เมื่อหายดีแล้วค่อยมาทำชดเชยทีหลัง เพื่อจะได้ไม่เสียสัจจะ เสียความตั้งใจ เพราะการกระทำที่ดีที่งามทั้งหลายจะบรรลุเป็นผลได้ ก็ต้องอาศัยความตั้งใจและความแน่วแน่ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะยาก เพราะจะมีอุปสรรคมาก จะมีสิ่งต่างๆคอยขัดคอยขวางอยู่เรื่อยๆ ทั้งสิ่งภายนอกและสิ่งภายใน ในใจก็มีฝ่ายที่คิดจะทำในสิ่งที่ไม่ดี พยายามดึงให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี แทนที่จะได้ทำสิ่งที่ดีก็จะถูกอำนาจใฝ่ต่ำดึงไปอยู่เรื่อยๆ ถ้ามีความตั้งใจและจริงใจแล้ว ต่อให้อำนาจใฝ่ต่ำพยายามจะฉุดลากไปอย่างไร ก็จะไม่ไป เพราะได้ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ ปีนี้ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่งามอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือละเว้นการกระทำในสิ่งไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นการเสพสุรายาเมา ถ้าเห็นว่าการเสพสุรายาเมาไม่มีคุณไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษนำมาซึ่งความเสื่อมเสียและความทุกข์ ก็อยากจะเลิกเสพสุรายาเมา วันนี้วันที่ ๑ ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้ดีกว่าเก่า ไม่เดินตามรอยเก่าที่พาไปสู่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ ก็ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปจะไม่ดื่มสุราอีกต่อไป

 

ถ้ามีสัจจะอธิษฐานแล้ว ต่อให้อยากอย่างไร ต่อให้ใครมาชวนไปดื่มก็จะไม่ไป เพราะได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้แล้ว ไม่อยากจะโกหกตัวเอง ถ้าตั้งสัจจะอธิษฐานแล้ว แต่ไม่กระทำตามที่ได้ตั้งไว้ ก็เหมือนกับหลอกตัวเอง เช่นต่อไปนี้จะเป็นคนดี ไม่เกียจคร้าน ไม่เห็นแก่ตัว แต่พอถึงเวลาจริงๆก็ยังเกียจคร้านอยู่ ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อให้ตั้งใจทำอะไรมากน้อยเพียงไร ก็จะไม่บรรลุผลที่ปรารถนาได้ ถ้าไม่มีความแน่วแน่ความจริงใจต่อการตั้งใจ ไม่ว่าอยากจะได้อะไร ก็ต้องให้คำนึงถึงเหตุอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครให้เราได้ ความสุขก็ดี ความเจริญก็ดี ไม่มีใครมอบให้เราได้ คำอวยพรขอให้มีความสุขและความเจริญ เป็นการแสดงความปรารถนาดี เป็นไมตรีจิตเท่านั้น ไม่สามารถดลบันดาลให้ความสุขและความเจริญปรากฏขึ้นมาได้ จะปรากฏขึ้นมาได้จากการกระทำทางกายวาจาใจ คิดดี พูดดี ทำดีเท่านั้น เพราะเมื่อคิดดี พูดดี ทำดีแล้ว ผลดีก็จะตามมา อย่างวันนี้ท่านคิดดีกัน คิดจะมาวัด มาทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เป็นความคิดที่ดี เมื่อคิดดีแล้วก็เริ่มทำด้วยการชักจูงเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย ให้มาร่วมทำกัน แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว เป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ในขณะนี้จิตใจของท่านทั้งหลาย ก็มีความสุขความสบายใจกัน เพราะได้รับการชำระความตระหนี่ ความหวงแหน ความเห็นแก่ตัว ทำให้จิตใจเบา มีความสุข ทำให้สูงขึ้น เพราะมีความเมตตากรุณา ความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ไม่คิดทำลายเบียดเบียนกัน ซึ่งเป็นความคิดใฝ่ต่ำ ผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่นไม่ถือว่าเป็นผู้เจริญ ผู้เจริญต้องอนุเคราะห์สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ตามกำลังฐานะของตนที่จะสามารถทำได้ ยิ่งช่วยได้มากเพียงไร ความสูงส่งความเจริญก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปเพียงนั้น

 

เช่นพระพุทธเจ้าของพวกเราเป็นตัวอย่าง ทรงสั่งสอนสัตว์โลกตลอดเวลา ๔๕ ปีด้วยกัน โดยไม่ได้รับอะไรเป็นเครื่องตอบแทนเลย นอกจากปัจจัย ๔ คืออาหารบิณฑบาต จีวร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ทรงกระทำนั้นทำให้เรามีความเคารพนับถือในตัวท่านมาก เพราะทรงเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นนั้นเอง ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนจากผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเลย เพียงแต่ปรารถนาให้เขาได้พบกับความสุข พบกับความเจริญ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเท่านั้น จึงควรทำความดีกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณทั้งหลาย เช่นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ให้การสนับสนุน ให้การช่วยเหลือ ถ้ามีโอกาสมีฐานะพอที่จะทำได้ ก็ควรทำกัน อย่างในวันปีใหม่ถ้ามีเวลา ถ้าไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ก็ควรไปกราบ มีอะไรก็เอาไปฝากท่าน ถ้าอยากจะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส คนพิการ คนชรา ก็ไปทำกัน จะทำให้มีความสุขใจ ทำให้เป็นคนดีขึ้น ทำให้มีความภูมิใจ ทำให้จิตใจมีอาหารหล่อเลี้ยง มีความอิ่มหนำสำราญใจ ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอก ที่หามาได้มากน้อยเพียงไร ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความอิ่มหนำสำราญใจ แต่กลับทำให้เกิดความหิวโหยความอยากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ให้ความอิ่มเอิบกับใจได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นวัตถุต่างๆ เวลาได้มาใหม่ๆก็จะดีอกดีใจ แต่พอสักระยะหนึ่งก็อยากจะได้สิ่งใหม่ๆอีก เช่นวันนี้ได้ของขวัญ พรุ่งนี้ก็อยากจะได้สิ่งใหม่ๆอีก ไม่ว่าจะได้มามากน้อยเพียงไร จะไม่ให้ความอิ่มความพอ ความสุขที่แท้จริงแก่ใจ นอกจากการทำความดี เสียสละประโยชน์สุขของตนให้แก่ผู้อื่น มีอะไรเหลือกินเหลือใช้ เห็นผู้อื่นเดือดร้อนขาดแคลน ก็ควรช่วยเหลือ จะทำให้มีความสุขความอิ่มใจ

 

ถ้าอยากจะได้พร ไม่ต้องไปขอจากผู้ใด เพราะพรที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าทำดีแล้ว สิ่งต่างๆที่ปรารถนา ที่ดีที่งามทั้งหลาย ก็จะตามมาอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรมาขัดขวางได้ เช่นพระพุทธเจ้าที่ทรงประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในศีลในธรรม จนบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาพุทธเจ้า เป็นผลที่ทรงได้รับ ที่ไม่มีใครมอบให้กับพระองค์ได้ ไม่มีใครแย่งจากพระองค์ได้ เพราะเป็นหลักของธรรมชาติ เป็นกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อยู่ตรงนี้เท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่ตรงไหน ไม่ได้อยู่ที่คนนั้นที่คนนี้ อยู่ที่ตัวเรา จึงต้องทำความดีกันอยู่เสมอ ถ้าไม่รู้ว่าการกระทำความดีมีอะไรบ้าง ก็ต้องศึกษา เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ให้รู้จักเรื่องผิดถูกดีชั่วต่างๆ เพราะถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ก็จะเป็นเหมือนคนตาบอด เดินไปไหนมาไหนก็จะไม่รู้ว่าไปถูกทิศถูกทางหรือไม่ ไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไปหรือไม่ แต่ถ้ามีคนนำทางหรือถ้าลืมตาขึ้นมาได้ ก็จะไปถึงได้ ใจของเราถ้ายังไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นใจที่มืดบอด ที่จะต้องทำให้สว่าง ให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ เกิดความฉลาด ด้วยการศึกษาได้ยินได้ฟังธรรม อย่างในวันนี้ได้มาฟังกัน วันนี้รู้แล้วว่า การที่จะได้พรที่ประเสริฐคือความสุขและความเจริญนั้น อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่การกระทำความดี ละการกระทำความชั่ว กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ทั้งหลาย ให้หมดไปจากจิตจากใจ 

 

เมื่อรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะไม่เกิดผลตามมา เหมือนกับมีอาหารตั้งไว้อยู่ข้างหน้า แต่ไม่รับประทาน ประโยชน์ของอาหารก็จะไม่เกิด ต่อให้นั่งดูอาหารไปอีก ๑๐ ปี ความอิ่มก็จะไม่เกิดจากการนั่งดูอาหาร ฉันใดการได้ยินได้ฟังคำสั่งสอน ที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าก็ดี ของครูบาอาจารย์ก็ดี ของพ่อแม่ ของผู้หลักผู้ใหญ่ก็ดี ถ้าไม่นำเอาไปปฏิบัติ ผลก็จะไม่เกิด จึงต้องฟัง แล้วนำเอาไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วผลก็จะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน ไม่มีใครสามารถขัดขวาง ไม่ให้ผลที่เกิดจากการทำความดีปรากฏขึ้นมาได้ นอกจากใจร้อนไปหน่อย ทำเพียงนิดหน่อย ก็อยากจะได้ผลมากมายก่ายกอง อย่างนี้ผลก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะเหมือนกับการรับประทานอาหาร ถ้ารับประทานเพียงคำสองคำ จะให้เกิดความอิ่มขึ้นมาทันทีย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องรับประทานไปเรื่อยๆ ตักอาหารเข้าปากไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะอิ่มขึ้นมาเอง ฉันใดการทำความดีก็เป็นอย่างนั้น ต้องทำอยู่เรื่อยๆ ต้องไม่หวังให้ผู้อื่นรับรู้ ให้แสดงความยินดีชื่นชม เพราะไม่ใช่ผล ถ้าทำความดีเพราะอยากจะให้คนอื่นรู้ พอเขาไม่รับรู้หรือทำเป็นไม่รู้ เราก็เสียใจ เลยไม่ได้ผลคือความสุขจากการทำความดี ที่ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลตอบแทนจากผู้รับ ทำเพื่อให้เขาได้รับประโยชน์ได้รับความสุข แล้วเราจะได้รับความสุขใจ ได้เป็นคนที่ดีขึ้นสูงขึ้น นี่ต่างหากคือผลของการกระทำ ทำแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทนจากผู้รับ เหมือนกับมาทำบุญกับพระในวันนี้ ไม่ต้องให้พระขอบอกขอบใจ ชื่นชมยินดี  เพราะการกระทำของเรามีผลอยู่ในตัวแล้ว จะมีใครรู้หรือไม่ก็ตาม ดังที่ในหลวงทรงตรัสสอนให้ปิดทองหลังพระกัน

 

แม้จะไม่มีใครเห็น เพราะเป็นการกระทำที่ดี ผลประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นให้รางวัล เพราะสู้ความสุขใจที่ได้จากการทำความดีไม่ได้ ดังนั้นเวลาทำอะไรขอให้ดูที่ใจเป็นหลัก ดูผลที่จะเกิดขึ้นที่ใจ ถ้ามีความอิ่มเอิบใจ มีปีติ มีความสุข มีความสบายใจ นั่นแหละคือการกระทำที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ที่ดี ที่ควรทำอยู่เรื่อยๆ ในโอกาสของการเริ่มต้นปีใหม่นี้ จึงควรตั้งสัจจะอธิษฐาน ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คิดว่าพอจะทำได้ไปตลอด หรือละเว้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เห็นว่าไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจ ถ้าทำได้แล้ว รับรองได้ว่าชีวิตจะดีขึ้น มีความสุขมีความเจริญมากขึ้น ในวันเริ่มต้นปีใหม่นี้ ขอฝากพรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย ๓ ประการด้วยกันคือ ๑. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ๒. ละการกระทำบาปทั้งปวงเสีย ๓. ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เบาบางลงไป ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ เพื่อสิ่งที่ดีที่งาม เพื่อความสุขความเจริญ ที่จะเป็นผลตามมา จึงขอฝากเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ให้นำเอาไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้