กัณฑ์ที่ ๒๘๔ ๗ มกราคม ๒๕๕๐
ไม่มีอะไรตาย
วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาวัดเพื่อบำเพ็ญกิจของพุทธศาสนิกชน ที่พระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสอนให้ปฏิบัติ เพราะมีศรัทธาความเชื่อในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่แท้จริง ที่ฝากเป็นฝากตายได้ เพราะถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตใจแล้ว ก็จะมีเกราะคุ้มกันความทุกข์ต่างๆ ภัยอันตรายต่างๆ ไม่ให้มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ ให้เศร้าโศกเสียใจ ให้กังวล ให้หวาดกลัวได้ เราจึงมาบำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพราะเป็นการสร้างสรณะให้กับจิตใจนั่นเอง สรณะที่เรารู้จักกัน ยังไม่ใช่สรณะที่แท้จริง เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ออกบวชบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ ปี จนบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็ทรงประกาศพระธรรมคำสอนให้กับสัตว์โลก ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ ผู้มีศรัทธาความเชื่อเมื่อนำไปปฏิบัติก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระสงฆ์สาวกขึ้นมา นี่คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นสรณะภายนอก เราเพียงรู้ว่าเป็นอะไร แต่ยังไม่สามารถให้สรณะทั้ง ๓ ที่อยู่ภายนอกมาปัดเป่า มากำจัดความทุกข์ความวุ่นวายใจของเราได้ เพราะสรณะที่แท้จริงต้องอยู่ในใจของเรา เกิดจากการปลูกฝัง ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนำมาปฏิบัติ เมื่อนำปฏิบัติแล้ว เราก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตในใจของเรา เมื่อมีแล้วความทุกข์ทั้งหลายก็จะถูกทำลายไปหมด เราจะไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์ไม่กังวลกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะเป็นการเกิดแก่เจ็บตายการพลัดพรากจากกันก็ดี จะไม่มีผลกระทบกับจิตใจของเราเพราะมีเกราะคุ้มกัน คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้เอง
เราจึงต้องหมั่นมาวัดกัน เพื่อเสริมสร้างพระรัตนตรัย ที่เป็นสรณะที่พึ่งทางใจ ให้เกิดขึ้นภายในใจของเรา ด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญปัญญา พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารร่างกายเป็นต้น ว่าเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งอยู่ได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครตาย เพราะร่างกายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ร่างกายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ที่ประกอบขึ้นมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป แล้วก็กลายเป็นผมเป็นขนเป็นเล็บเป็นฟันเป็นหนัง เป็นเนื้อเป็นเอ็นกระดูกเป็นอวัยวะต่างๆ เป็นไปได้ระยะหนึ่งแล้วก็จะหมดสภาพไป ก็จะกลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟต่อไป ร่างกายนี้จึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาดับก็ต้องดับไป เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เมื่อรถเสียวิ่งไม่ได้แล้ว ก็ต้องทิ้งไป แต่คนขับไม่ได้เป็นอะไรไปกับรถยนต์ ฉันใดจิตใจก็ไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย คนเรามีส่วนประกอบอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน คือกายกับใจ ใจเป็นเจ้านายกายเป็นบ่าว ใจเป็นคนขับเป็นผู้สั่งการ กายจะทำอะไรได้ต้องมีใจเป็นผู้สั่งการ อย่างวันนี้ญาติโยมจะมาวัดได้ ใจต้องคิดก่อน คิดว่าวันนี้จะมาวัด แล้วจึงสั่งให้กายเดินทางมาที่วัด ถ้าใจไม่สั่งการก็จะมาวัดไม่ได้ ถ้าใจสั่งให้ไปที่อื่นกายก็ต้องไปที่อื่น กายจึงเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ที่คนขับจะสั่งจะบังคับให้ไปตามทิศทางที่ต้องการจะไป กายจึงไม่ใช่ตัวสำคัญ ตัวสำคัญที่แท้จริงคือใจ เพราะสุขทุกข์เกิดที่ใจ ใจเป็นผู้ก่อเป็นผู้สร้าง เป็นผู้รับผล
เวลาได้อะไรถูกใจมาก็ดีอกดีใจมีความสุข เวลาเสียไปก็จะมีความเศร้าโศกเสียใจ ความจริงแล้วใจไม่ควรดีใจหรือเสียใจกับอะไรเลย ถ้าฉลาดรู้ทันว่า ไม่ว่าจะได้อะไรมา สักวันหนึ่งก็ต้องสูญเสียไป ถ้าได้อะไรมาแล้วมีความดีอกดีใจ เวลาเสียไปก็จะเสียอกเสียใจ ถ้าไม่ดีอกดีใจก็จะรู้สึกเฉยๆ เวลาจากไปก็จะไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญนั่นเอง ปัญหาของพวกเราอยู่ตรงที่เรายังหลงกันอยู่ ยังให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ กับคนนั้นคนนี้อยู่ คิดว่าเป็นตัวเป็นตน แต่ความจริงเป็นเพียงดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง ร่างกายของพวกเราทุกคนเป็นดินน้ำลมไฟ แต่ใจไม่ได้เป็นดินน้ำลมไฟ ใจเป็นธาตุรู้ ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจเป็นผู้รับรู้เรื่องต่างๆ เช่นได้ยินได้ฟังเสียงแล้วก็ส่งไปให้ใจอีกทีหนึ่ง ถ้าไม่มีใจก็จะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย กายก็เป็นซากศพไป ใจได้ออกจากร่างกายไปสู่ภพใหม่ชาติใหม่แล้ว เวลาพูดกับคนตาย พูดไปจนวันตาย ก็จะไม่ได้ยิน เพราะผู้ที่จะได้ยินเสียงรับรู้เสียง ก็คือใจ ไม่ได้อยู่กับร่างกายแล้ว ถ้าปล่อยคนตายทิ้งไว้ตรงไหน ก็จะอยู่ตรงนั้น จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ถ้าไม่มีใครมาขยับเขยื้อนไป จะอยู่ตรงนั้นแล้วก็สลายไปในที่สุด สลายกลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟไป ร่างกายจึงไม่ใช่ตัวสำคัญ ตัวที่สำคัญก็คือใจ ที่สุขที่ทุกข์กับร่างกายนี้เอง ถ้าใจฉลาดมีธรรมะก็จะรู้ทันธรรมชาติของกาย จะไม่รู้สึกอะไรเวลาที่กายเป็นอะไรไป ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยแก่ชราหรือตายไป ก็จะไม่ร้องห่มร้องไห้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เพราะรู้ว่าใจไม่ได้เป็นอะไรไปด้วย รู้ว่ากายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ใจเป็นผู้รู้ที่ไม่ตายตามกายไป ถ้ายังไม่มีสรณะคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจครบสมบูรณ์แล้ว ก็ยังต้องไปเกิดต่อ ไปเกิดที่สูงบ้าง ที่ต่ำบ้าง ที่สูงก็เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ ที่ต่ำก็เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นไปตามบุญตามกรรม ถ้าเป็นบุญก็จะส่งให้ไปที่สูง ถ้าเป็นบาปก็จะส่งให้ไปที่ต่ำ เป็นเหมือนกับตั๋วเครื่องบิน เวลาจะขึ้นเครื่องบินก็ต้องมีตั๋ว ถ้าไม่มีตั๋วก็ขึ้นไม่ได้ ถ้ามีหนี้มีสินไม่มีเงินซื้อตั๋วก็ต้องเดินไป คนมีบุญก็เป็นเหมือนคนมีเงินซื้อตั๋ว ก็บินไปที่สูงได้ คนมีหนี้มีสินก็จะต้องไปสู่ที่ต่ำ เป็นเรื่องของใจหลังจากร่างกายแตกสลายไปแล้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้หมั่นทำความดี หมั่นทำบุญทำทาน หมั่นละบาปด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ เพื่อป้องกันไม่ให้ใจตกไปที่ต่ำเพราะถ้าไม่รักษาศีลแล้ว ก็จะทำบาปทำกรรม แล้วก็ต้องไปใช้บาปใช้กรรมต่อไปในอนาคต หลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดศีลผิดธรรม ตายไปก็ไม่ต้องไปใช้หนี้ ไม่ต้องไปเกิดในที่ต่ำ ได้ไปเกิดในที่สูง และจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด คือพระนิพพาน สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เต็มเปี่ยมอยู่ในใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้แลจะพาเราไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตจิตใจ สู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จากความทุกข์ทั้งปวง จะไม่ต้องไปพลัดพรากจากใครอีกต่อไป เพราะไม่ได้เกิด ไม่ได้เป็นอะไรกับใคร แต่ถ้ายังเกิดอยู่ ก็จะมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีเพื่อนฝูง แล้วก็ต้องจากกันไปทีละคนสองคน พ่อจากไป แม่จากไป พี่จากไป น้องจากไป เพื่อนจากไป แล้วในที่สุดเราก็จากไป เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เกิดแก่เจ็บตายเป็นอย่างนี้
ถ้ายังไม่ได้สร้างสรณะคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ในใจ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าได้บำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็จะเวียนว่ายตายเกิดในที่สูงในที่ดี จะเกิดเป็นมนุษย์เป็นเทพเป็นพรหม สลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน เราจึงต้องน้อมเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาปฏิบัติ ทรงสอนให้ทำความดี ก็ต้องหมั่นทำความดีอยู่เสมอ เป็นคนดี มีความเมตตากรุณา ไม่โหดร้ายทารุณ ใจแคบ ใจไม้ไส้ระกำ ให้เป็นคนใจกว้าง ยินดีจะช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นเสมอ แล้วก็ให้ละเว้นจากการกระทำที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความหายนะ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรและเกียจคร้าน ที่จะฉุดลากให้ลงไปสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความทุกข์ ความเสื่อมเสียต่างๆ เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้บรรลุถึง ได้รู้ถึงอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ไม่สงสัยเลยว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะไม่เป็นความจริง จะไม่สงสัยเลย เพราะเห็นอย่างชัดเจนแล้วจากการปฏิบัติ ถ้าอยากได้ดีมีความสุขมีความเจริญ ก็ต้องหมั่นทำความดี ถ้าไม่อยากมีความทุกข์ความวุ่นวายใจ ก็อย่าทำบาปทำกรรม อย่าไปหลงไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ เพราะความหลงก็เป็นความชั่วอีกแบบหนึ่ง เป็นความชั่วทางจิตใจ เป็นอกุศล ความหลงนี้แลที่ทำให้เราต้องทุกข์ต้องวุ่นวายใจ ให้ยึดติดสิ่งนั้นสิ่งนี้ บุคคลนั้นบุคคลนี้ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
เราจึงไม่ควรเห็นว่าอะไรเป็นของเรา เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นสมมติทั้งนั้น เช่นสมมติว่ารถคันนี้เป็นของเรา ว่าร่างกายนี้เป็นของเรา แต่ก็เป็นได้ไม่นาน เพราะจะต้องเสื่อมไปกับกาลกับเวลา แล้วก็สลายหายไปหมด ไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากใจผู้รู้เท่านั้น ดูบรรพบุรุษของพวกเราที่ตายไปหมดแล้ว ร่างกายกลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่าน กลายเป็นดินไปหมดแล้ว แล้วตัวเขาอยู่ตรงไหน มันไม่มี มันเป็นเพียงสมมติเท่านั้นเอง สมมติว่าร่างกายของเขาเป็นปู่ย่าตายาย เป็นบรรพบุรุษของเรา แต่ความจริงเป็นเพียงก้อนดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง แต่ใจของเขายังไม่ตาย ใจอาจจะได้กลับมาเกิดเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกับเราในขณะนี้ก็ได้ ถ้าได้ทำบุญอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ต้องไปใช้บาปใช้กรรมในอบาย ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในเวลาไม่นานเลย อาจจะได้กลับมาเกิดเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกันอีก จึงอย่าไปหลงยึดติดกับร่างกายว่าเป็นตัวเป็นตน ให้มองว่าร่างกายเป็นเพียงรถยนต์คันหนึ่ง ที่เราใช้อาศัยเดินทางไปไหนมาไหน ถ้ารถยนต์เสียหรือพังไป เราก็ซื้อคันใหม่ ร่างกายก็เช่นเดียวกัน เมื่อแตกดับไป เราก็จะได้ร่างใหม่ ขอให้ทำบุญทำกุศลไว้มากๆก็แล้วกัน เพื่อจะได้กลับมาเกิดใหม่ ได้ร่างกายใหม่ที่ดีกว่าเดิม มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามกว่าเดิม มีผิวพรรณที่ผ่องใสกว่าเดิม มีฐานะการเงินการทองที่ดีกว่าเดิม ที่เป็นผลของการบำเพ็ญบุญกุศลความดีงามทั้งหลาย
อย่าไปตื่นเต้นกับการพลัดพรากจากกัน เพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเหมือนการเปลี่ยนบ้าน คนที่ตายไปก็เหมือนย้ายไปบ้านใหม่ คนอยู่ก็อยู่กันต่อไป ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้ ไม่ต้องมาเศร้าโศกเสียใจเพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่สำคัญกว่า ว่าจะอยู่เป็นสุขหรือทุกข์ ถ้ามีความลุ่มหลงก็จะอยู่เป็นทุกข์ คิดถึงคนที่ตายไปแล้ว อยากให้กลับมาอีก อยากไปจนวันตายก็ไม่กลับมา ถ้ากลับมาก็จำไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเดิม เพราะตัวที่แท้จริงก็คือใจ แต่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ต้องใช้ตาในที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม จากการนั่งสมาธิ ถ้ามีพลังจิตสูงอย่างพระพุทธเจ้า ก็จะรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน ไปเกิดเป็นอะไร ถ้ายังไม่มีพลังจิต ก็ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ในขณะที่ยังไม่มีก็ให้เชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เหมือนกับคนตาบอดเชื่อคนตาดี ถ้าตาบอดจะเดินไปไหนมาไหน ก็ต้องอาศัยคนตาดีพาไป ฉันใดพวกเราตอนนี้ก็ยังมืดบอดด้วยความลุ่มหลง ยังเห็นผิดเป็นชอบ ยังเห็นตัวตนในสิ่งที่ไม่มีตัวตน ยังเห็นความเที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยง ยังเห็นความสุขในสิ่งที่เป็นความทุกข์อยู่ เราจึงต้องอาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นผู้พาเราไป ให้เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่มีตัวตนว่าไม่มีตัวตน เราสามารถเห็นได้ถ้านำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไปปฏิบัติ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา พิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ เป็นทุกข์ถ้าหลงยึดติด ว่าเป็นเราเป็นของเรา
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว สักวันหนึ่งก็จะมีดวงตาเห็นธรรม คือตาใน ใจจะสว่างไสว ได้บรรลุธรรม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าได้ตรัสรู้ ได้เห็นความจริงของชีวิต เห็นกายเห็นใจ เห็นกายไม่ใช่ตัวตน เห็นใจเป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ที่เวียนว่ายตายเกิดไปตามอำนาจของความหลง ของความโลภ ของความอยาก แต่เมื่อใจได้รับการชำระด้วยธรรมะ คือแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว ก็จะไม่หลงอีกต่อไป จะไม่ไปเกิดอีกต่อไป ไม่ไปเสียอกเสียใจกับการตายของคนนั้นของคนนี้ เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรตายนั่นเอง ใจก็ไม่ตาย ร่างกายก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง เวลาพังไปเราก็ไม่เสียอกเสียใจ ฉันใดร่างกายก็เป็นเช่นเดียวกัน เวลาแตกดับไปก็ไม่ต้องไปเสียอกเสียใจ เพราะรู้แล้วว่า ใจไม่ได้ตาย ได้ไปเกิดใหม่แล้ว จะไปสูงต่ำก็อยู่ที่บุญกรรมที่ได้ทำไว้ ไม่มีใครช่วยใครได้ในเรื่องภพชาติ เราต้องช่วยตัวเราเอง เราเป็นที่พึ่งของเราเอง อัตตา หิ อัตโน นาโถ ถ้าทำความดีอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้ไปเกิดที่ดีอย่างแน่นอน ถ้าไม่ทำความดี ทำแต่บาปแต่กรรม ก็จะต้องไปเกิดในที่ต่ำอย่างแน่นอน ไม่มีใครห้ามไม่มีใครยับยั้งได้ มีตัวเราเท่านั้นที่จะห้ามหรือยับยั้งได้ ด้วยการไม่กระทำบาปในขณะนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกได้รู้ได้เห็น แล้วก็นำเอามาสั่งสอนพวกเรา จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเชื่อก็จะมีโอกาสได้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกได้รู้ได้เห็น แต่ถ้าไม่เชื่อเราก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด จะมืดบอดไปตลอด จะไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต้องร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เวลาที่สูญเสียสิ่งที่รักไป
เราจะต้องเลือกว่าจะไปทางไหน ถ้าจะไปทางสว่างไปที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก็ต้องเชื่อฟังพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติตาม ต้องทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา พิจารณาความแก่ความเจ็บความตาย ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันหมด ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตื่นเต้นหวาดกลัว เพราะไม่ได้ทำลายใจให้สูญสิ้นไป แต่ใจกำลังทำร้ายตัวเองด้วยความหลง ยึดติดร่างกายว่าเป็นตัวเราของเรา พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาก็เกิดความวิตกความหวาดกลัว เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราไปอยากไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจะสร้างความทุกข์ให้กับเรา ถ้ายอมรับความจริงว่า อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้เกิดไป จะตายก็ให้ตายไปแล้วรับรองได้ว่าเราจะไม่วุ่นวายใจ ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ จะอยู่อย่างปกติ นี่คืออานิสงส์ที่จะได้รับจากการสร้างสรณะ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปรากฏขึ้นมาในใจ ดังที่พวกเราทั้งหลายได้มากระทำกันเป็นประจำ เรากำลังมาสร้างที่พึ่งของใจ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายใจ
แต่ถ้าไม่สร้าง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้เป็นที่พึ่งแล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นมา เราจะวุ่นวายใจ จะทุกข์มาก จะกินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้ คนที่ต้องฆ่าตัวตายก็เพราะไม่มีสรณะอยู่ในใจนั่นเอง เวลาสูญเสียอะไรไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ทั้งๆ ที่ชีวิตยังดีอยู่ ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ยังสามารถหาสิ่งใหม่ ๆ สร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้อยู่ แต่เพราะความหลงทำให้หมดกำลังใจ ขาดสรณะ ขาดที่พึ่งนั่นเอง จึงอย่าประมาท อย่าเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตจิตใจ ที่เราควรสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาชีวิตจิตใจ ให้อยู่อย่างสุขอย่างสบาย ปราศจากความทุกข์ทั้งหลาย ขอให้มีความแน่วแน่มั่นคงต่อการบำเพ็ญ ต่อการปฏิบัติ ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพื่อเสริมสร้างสรณะที่พึ่งทางจิตใจ ไว้ปกป้องรักษาจิตใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้วุ่นวายใจ ขอให้ปฏิบัติไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ รับรองได้ว่าชีวิตจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับจนถึงจุดสูงสุด ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ดำเนินไปถึง จะเป็นสมบัติของเราอย่างแน่นอน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้