กัณฑ์ที่ ๒๘๙      ๒๘ มกราคม ๒๕๕๐

 

ศาสนาไม่ได้สอนให้ขอ

 

 

 

วันนี้เรามาวัดเพื่อมาประกอบคุณงามความดี  สร้างความร่มเย็นเป็นสุข  ความเจริญก้าวหน้า กำจัดความทุกข์ กำจัดภัยอันตรายทั้งหลาย ไม่ให้เข้ามาเหยียบย่ำทำลายชีวิตจิตใจของเรา เพราะเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  เชื่อว่าความดีความชั่วเป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเรา  เราจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่มีใครสามารถมาเสกมาเป่าให้เราดีให้เราชั่วได้  ถ้าสามารถเสกเป่าได้แล้ว ไม่มีใครจะมีความสามารถเท่ากับพระพุทธเจ้า   พระองค์จะเสกให้พวกเราได้กลายเป็นพระอรหันต์กันไปหมดเลย จะได้ไม่ต้องมาทุกข์กับการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ เพราะไม่เป็นสิ่งที่ดีเลย  เกิดแต่ละครั้งก็ต้องมาเจอกับความทุกข์  เจอกับเรื่องราวต่างๆที่ไม่ปรารถนากัน  ถ้าพระพุทธเจ้ามีอำนาจเหนือหลักกรรมแล้ว พระองค์ก็จะเสกเป่าให้พวกเราได้บรรลุถึงพระนิพพานกัน  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เนื่องจากหลักกรรมอยู่เหนือความสามารถของทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นพระอริยเจ้า อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี หรือปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเราทั้งหลายก็ดี จึงไม่มีใครสามารถไปห้ามหลักกรรม คือเหตุและผลได้ เหตุก็คือการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็ส่งให้เกิดผลตามมา คือความสุข ความเจริญ ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ไม่มีใครล้มล้างได้  จะต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ด้วยกันทุกคน  ทางเดียวที่พระพุทธเจ้าจะช่วยเหลือพวกเรา ให้สุขให้เจริญได้ ก็คือสั่งสอนให้รู้ว่าเหตุที่จะทำให้เกิดความสุขความเจริญนั้นเป็นอย่างไร  เหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ความเสื่อมเสียนั้นเป็นอย่างไร

 

เมื่อรู้แล้วเราจะได้ทำแต่เหตุที่ดี ที่จะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า  ความร่มเย็นเป็นสุข แล้วก็ละเว้นเหตุที่จะสร้างความทุกข์  สร้างความเสื่อมเสียให้กับเรา มีอยู่เท่านี้ที่พระพุทธเจ้าจะช่วยเราได้ คือสอนเรา ชี้บอกทางสู่ความดี  ความประเสริฐเลิศโลก แต่ไม่สามารถฉุดดึงลากเราไปได้ หรือเสกเป่าให้เราได้ เราเท่านั้นที่จะต้องเป็นผู้เดินไปเอง ด้วยการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  ถ้าไม่ทำก็จะไม่มีทางที่เราจะดีได้ จะเจริญได้เลย ต่อให้จุดธูปเทียนบูชากราบไหว้พระพุทธรูป อธิษฐานขอสิ่งต่างๆ มากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ขอ เพราะขอกันไม่ได้  ความสุขความเจริญขอกันไม่ได้   ความไม่ทุกข์ไม่วุ่นวายใจก็ขอกันไม่ได้ ต้องทำกันเอง ไม่ยากเย็นอะไรถ้ารู้จักวิธี ทุกวันนี้ที่เราไม่ค่อยได้พบกับความสุขและความเจริญเท่าที่ควร และยังอยู่ภายใต้อำนาจของความทุกข์ของความวุ่นวายใจอยู่ ก็เพราะไม่มีความรู้ ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงพอ หรือได้ฟังแล้วแต่ยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้  เพราะมีสิ่งคอยฉุดลาก ให้ไปทำตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ เช่นไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขทั้ง ๕ คือ  ๑. เสพสุรายาเมา  ๒. เล่นการพนัน ๓. เที่ยวกลางคืน ๔. คบคนชั่วเป็นมิตร ๕. เกียจคร้าน  ถ้ามีอยู่ในผู้ใดแล้วก็จะนำไปสู่ความเสื่อมความหายนะ เพราะไม่ได้ส่งเสริมคุณงามความดีความสุขและความเจริญ  ผู้ที่ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้แล้วชีวิตมีแต่จะปักหัวลงต่ำ ดิ่งลงไปสู่อบาย ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องไปทำผิดศีลผิดธรรม

 

เพราะไม่สร้างรายได้มีแต่สร้างรายจ่าย เวลาเสพสุรายาเมาก็ต้องเสียเงินเสียทอง เสียเวลาทำมาหากิน แล้วจะไปเอาเงินทองมาจากที่ไหน เมื่อเสพสุรายาเมาจนเงินทองหมดไปแล้ว ก็ยังเลิกดื่มไม่ได้ เพราะติดเป็นนิสัยไปแล้ว วันไหนไม่ได้เสพก็จะเกิดอาการทุรนทุราย ต้องดิ้นรนหามาดื่มให้ได้   เมื่อไม่มีเงินซื้อก็จะต้องไปลักขโมย   เรื่องของอบายมุขต่างๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่สร้างรายได้สำหรับใช้กับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ คนเราทุกคนเกิดมาต้องมีปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย ถ้าไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารรับประทาน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มียารักษาโรค  ก็จะลำบากลำบน และอาจจะถึงแก่กรรมไปได้  จึงต้องมีรายได้มาจุนเจือ   ก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียร   ในเบื้องต้นก็ขยันศึกษาหาวิชาความรู้ต่างๆ เป็นเด็กก็ขยันไปโรงเรียนไปเรียนหนังสือ  ไปหาความรู้ เรียนให้มากๆ เรียนให้สูง ๆ เพราะยิ่งเรียนได้มากเรียนได้สูงเท่าไร เวลาออกมาทำมาหากิน หางานหาการ ก็จะได้รายได้ดี ได้งานที่สบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องใช้กำลังกาย ใช้แต่สติปัญญาความรู้ที่ได้เรียนมา จะได้มีรายได้มาก เพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์  ส่วนหนึ่งก็เอามาดูแลรักษาร่างกาย ซื้ออาหารรับประทาน  ซื้อเสื้อผ้าใส่  ซื้อยารักษาโรคยามเจ็บไข้ได้ป่วย  ซื้อบ้านพักไว้อยู่อาศัย  แต่ต้องรู้จักประมาณ ไม่ควรใช้เกินฐานะ เกินความจำเป็น  เพราะจะเป็นความฟุ่มเฟือย  ที่จะขูดรีดเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็จะฉุดลากให้ไปทำในสิ่งที่เสียหายต่อไป   เวลาใช้เงินใช้ทองจึงต้องรู้จักประมาณ 

 

ไม่ควรใช้เกินรายได้ ที่นอกจากใช้กับปัจจัย ๔ แล้ว ควรแบ่งไว้อีก ๒ ส่วน  ส่วนหนึ่งก็เก็บไว้เผื่อวันข้างหน้า เวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สามารถทำมาหากินหารายได้ได้ ก็ต้องอาศัยเงินส่วนนี้ไว้ดูแล อีกส่วนหนึ่งก็เอาไว้ทำบุญทำประโยชน์ เพราะชีวิตของเราไม่ได้จบเพียงแค่ชาตินี้เท่านั้น ยังต้องดำเนินต่อไปอีก  หลังจากที่เราตายไปแล้ว ใจของเราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ก็จะต้องไปเกิดใหม่ ไปเกิดสูงเกิดต่ำก็อยู่ที่การกระทำของเราในปัจจุบันนี้ ทำบาปหรือทำบุญ ถ้าทำบาปก็ต้องไปเกิดที่ต่ำ  ถ้าทำบุญเราก็ไปเกิดที่สูง มีฐานะที่ดีกว่าเดิม มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเดิม มีเงินทองมากมายกว่าเดิม  มีสติปัญญาฉลาดรู้มากกว่าเดิม   เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่เราตายไปแล้ว  ถ้าอยากจะมีทรัพย์  มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็ต้องทำบุญให้ทาน มีเงินทองอย่าหวงอย่าเก็บไว้ อย่าเอาไปใช้กับของที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่นเอาไปดื่มสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน ไม่เกิดประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต    ในปัจจุบันก็จะดูดทรัพย์สมบัติเงินทองที่มีอยู่ให้หดหายไป แล้วก็จะต้องไปทำบาปทำกรรมต่อไป  ในอนาคตก็จะไม่มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง  รูปร่างหน้าตาที่สวยงามกว่าเดิม รอเราอยู่ข้างหน้า แต่ถ้าเอาเงินส่วนที่เก็บไว้เพื่อทำบุญมาช่วยเหลือผู้อื่น มาสงเคราะห์ผู้อื่น ก็เหมือนกับเอาเงินไปฝากในธนาคารบุญ ที่เราจะเบิกได้ในภพหน้าชาติหน้า  พอไปเกิดในภพหน้าชาติหน้า ก็จะมีเงินมีทองรอเราอยู่ ไปเกิดบนกองเงินกองทอง มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเดิม 

 

ไม่ว่าจะให้ด้วยเงินด้วยทองก็ดี ให้กำลังจิตกำลังใจก็ดี ให้ธรรมะเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจก็ดี  ให้วิชาความรู้ก็ดี เป็นการให้ทั้งสิ้นเรียกว่าทาน แปลว่าให้  ไม่ได้หมายความว่าเวลาให้กับฆราวาสจะเป็นทาน  ให้กับพระจะเป็นบุญ จะให้กับพระหรือให้กับฆราวาสก็เป็นทานเหมือนกัน  บุญคือผลที่เกิดจากการให้ เมื่อให้แล้วผลที่จะเกิดขึ้นก็คือบุญ คือความสุขใจ ไม่ว่าจะให้กับพระก็ดี ให้กับฆราวาสก็ดี ก็เป็นบุญเหมือนกัน ประโยชน์อาจจะมีมากน้อยต่างกันไป ให้กับฆราวาสกับให้กับพระ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่เท่ากัน   ให้กับคนไม่ดีประโยชน์จะน้อยกว่าให้กับคนดี   เพราะคนดีย่อมทำประโยชน์มากกว่าคนไม่ดีนั่นเอง คนไม่ดีนอกจากไม่ทำประโยชน์แล้ว ยังสร้างความวุ่นวายให้กับผู้อื่นอีก เช่นคนเสพสุรายาเมากับคนไม่เสพสุรายาเมา   ถ้าให้เงินไป  คนหนึ่งก็จะซื้อสุราดื่ม แล้วก็เกิดอาการมึนเมา แล้วก็ออกไปอาละวาด สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ให้กับคนที่ไม่ดื่ม ที่มีความขยัน ชอบทำงานทำการ ทำความสะอาด ก็จะไปทำประโยชน์ เห็นสถานที่ใดสกปรกก็จะทำความสะอาด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นคนรักความสะอาด  ชอบทำความสะอาด ก็จะทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ นี่คือความแตกต่างระหว่างการให้คนดีกับคนไม่ดี นอกจากเป็นบุญแล้วยังมีประโยชน์หรือมีโทษตามมาด้วย  ช่วยคนไม่ดีก็ช่วยให้เขาไปสร้างความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เช่นช่วยโจรผู้ร้ายเป็นต้น ช่วยไม่ให้ถูกตำรวจจับ พอเผลอเขาก็อาจจะฆ่าเราได้ เหมือนกับช่วยงูพิษ  ถ้าไม่ระมัดระวังก็จะกัดเราได้   การให้หรือการช่วยเหลือผู้อื่นจึงมีผลแตกต่างกัน ถ้าช่วยคนดีประโยชน์สุขก็จะเกิดตามมา

 

พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบว่า ถ้าช่วยคนธรรมดาจะได้ประโยชน์ ๑ เท่า  ช่วยพระภิกษุจะได้ประโยชน์สิบเท่า  ช่วยพระอริยเจ้าคือพระโสดาบันจะได้ร้อยเท่า  พระสกิทาคามีได้พันเท่า  พระอนาคามีได้หมื่นเท่า พระอรหันต์ได้แสนเท่า  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ล้านเท่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นพันล้านเท่า นี้คือความแตกต่างของมนุษย์ ความสามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับโลกได้  ไม่มีใครจะทำประโยชน์ได้มากเท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผู้ตรัสรู้โดยชอบด้วยตนเอง แล้วประกาศพระธรรมคำสอนให้กับสัตว์โลก  เช่นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้กันอยู่นี้ หลังจากที่ได้ตรัสรู้ธรรมแล้วก็ไม่ได้เก็บธรรมไว้เฉยๆ ถ้าเก็บไว้เฉยๆก็จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงมีอยู่ ๒ ชนิดด้วยกันคือ ๑. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่หลังจากตรัสรู้ธรรมแล้วก็ไม่ประกาศสอนผู้อื่น  ไม่สอนเรื่องมรรคผลนิพพาน เรื่องบาปบุญคุณโทษ  เรื่องนรกสวรรค์ ไม่สอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ทรงอยู่เฉยๆเงียบๆ ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร  อาจจะเป็นเพราะคนที่จะฟังไม่มีความสามารถที่จะเข้าถึงได้ก็ได้  เพราะอยู่ในยุคมืด ที่มีแต่ความมืดบอดมีแต่ความหลงใหล กับการแสวงหาความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ  แสวงหาลาภยศสรรเสริญ  คนเหล่านี้จะไม่สนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ   เรื่องนรกสวรรค์  เมื่อเป็นเช่นนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เห็นว่าสอนไปก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลาก็เลยไม่สั่งไม่สอน   

 

พระพุทธเจ้าของเราหลังจากที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ว่าสิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับมนุษย์ทั่วๆไปจะชื่นชมยินดีได้ จะไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เพราะสอนตรงกันข้ามกับความอยาก  ความปรารถนาของมนุษย์  เพราะมนุษย์ทุกคนมีความอยากจะร่ำรวย  มีตำแหน่งมีฐานะสูงๆ  มีบริษัทบริวาร  มีคนสรรเสริญเยินยอยกย่อง นับถือเคารพบูชาทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจะยากจนต่ำต้อย ไม่มีความสามารถหาความสุขจากสิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ เช่นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ  ที่ผ่านมาทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้วเข้าไปสู่ใจ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนปรารถนากันทั้งนั้น กลับทรงสั่งสอนไม่ให้แสวงหาสิ่งเหล่านี้ ให้แสวงหาความดีงาม ด้วยการเสียสละ มีเงินมีทองแทนที่จะเอาไปซื้อข้าวซื้อของมาใช้มากิน มาให้ความสุขกับตน ก็ให้เอาไปแจกจ่าย ไปสงเคราะห์ ไปช่วยเหลือผู้อื่น ก็จะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนทั่วไปจะทำได้ ในเบื้องต้นจึงทรงมีความรู้สึกท้อแท้ไม่อยากจะสั่งสอน แต่หลังจากนั้นไม่นานท้าวมหาพรหมก็ได้มาอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลก ขอให้พิจารณาว่าสัตว์โลกก็มีอยู่หลายระดับด้วยกัน เป็นเหมือนกับบัว ๔ เหล่า พวกที่เป็นคนดีมากๆก็มี ดีปานกลางก็มี  ดีน้อยก็มี และไม่ดีก็มี ก็แบ่งเป็น ๔ พวกด้วยกัน  จึงอยากให้ทรงช่วยเหลือคนดี  คนที่ชอบทำบุญทำทาน รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ     เมื่อเป็นดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงถอดพระทัย แต่ทรงตัดสินพระทัยที่จะประกาศสอนพระศาสนาให้กับสัตว์โลก

 

ในเบื้องต้นทรงมุ่งไปสอนพวกที่เก่งที่ดีที่สุดก่อน คือพวกนักบวชทั้งหลาย เช่นพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕  ที่เป็นนักบวช ที่เคยติดตามพระพุทธเจ้า   หลังจากนั้นก็สั่งสอนนักบวชในลัทธิอื่นๆ  ก็ปรากฏมีผู้สามารถนำเอาไปปฏิบัติ และบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เป็นจำนวนมากหลังจากนั้นก็ได้ช่วยเหลือพระพุทธเจ้า ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนมาอยู่เรื่อยๆจนถึงปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาจึงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้  เพราะความสามารถของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว  ถ้าทรงตัดสินพระทัยไม่ประกาศพระศาสนาแล้ว ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในโลกในขณะนี้เลย  นี่คือความสามารถของคนๆเดียว ที่สามารถช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ได้ เป็นจำนวนมากมายก่ายกอง ดังนั้นการที่เราเลือกทำบุญกับบุคคล จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เสียหายตรงไหน เพราะต้องเล็งถึงประโยชน์สุขที่จะเกิดขึ้นตามมา  แต่ก็ไม่ได้ให้เราไร้ความปรานี  ถ้าเดือดร้อนจริงๆ เช่นไม่มีอาหารรับประทาน ไม่มียารักษาโรคยามเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงแม้จะเป็นคนไม่ดีหรือเป็นคนเลวก็ตาม ก็ต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะเป็นหลักของมนุษยธรรม  เช่นเวลา  ตำรวจไปจับผู้ร้าย แล้วเกิดการต่อสู้กันจนผู้ร้ายบาดเจ็บ ตำรวจก็ต้องเอาไปรักษาที่โรงพยาบาลก่อนให้หายดี แล้วจึงค่อยจับไปลงโทษต่อไป  การช่วยเหลือกันในเรื่องที่จำเป็น คือเรื่องปัจจัย  ๔ นี้ ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดีหรือแม้แต่เดรัจฉาน ก็ต้องช่วยเหลือกัน  เวลาเห็นสุนัขไม่มีอาหารรับประทาน มาขออาศัยอยู่  ก็ไม่ควรขับไล่ไสส่ง พอจะเลี้ยงได้ก็เลี้ยงไป  ปล่อยให้อยู่อาศัยไป  อย่างนี้ก็เป็นบุญเป็นกุศลเหมือนกัน 

 

บุญคือความสุขใจ แต่ประโยชน์ที่จะได้จากสุนัขก็อาจจะไม่มากเท่ากับมนุษย์  แต่สุนัขบางตัวก็ยังดีกว่ามนุษย์บางคน  สุนัขยังช่วยเห่ายังช่วยเฝ้าบ้านให้  แต่คนบางคนแทนที่จะเฝ้าบ้านให้ กลับขนข้าวของออกไปจากบ้านช่องจนหมดก็มี เพราะฉะนั้นเวลาจะช่วยเหลือใคร สงเคราะห์ใคร ก็ต้องรู้จักเลือก  เลือกคนดีที่จะทำคุณทำประโยชน์ให้กับเรา ให้กับสังคม ให้กับตัวเขาเอง ถ้าไปช่วยคนไม่ดี ก็จะช่วยให้เขาสร้างปัญหา สร้างความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้กับเรา ให้กับผู้อื่น ให้กับตัวเขาเอง   นี้คือความหมายของการให้ทาน   ให้แล้วก็เป็นบุญ  คือจิตใจมีความสุข ไม่ว่าจะให้ใครก็ตาม ได้บุญเท่ากัน มีความสุขใจเหมือนกัน   ให้สุนัขก็มีความสุข  ให้มนุษย์ก็มีความสุข ให้พระก็มีความสุข เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ เป็นอาหารของจิตใจ  ทำให้มีความอิ่มเอิบใจ  มีความภูมิใจ  ความสุขคือบุญนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะทำกับใคร  แต่อาจจะมีมากหรือน้อยต่างกัน อยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจ ถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือไม่หวังผลตอบแทนจากผู้รับเลย ก็จะได้ความสุข  ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ได้เต็มที่ ถ้าอยากให้ผู้รับทำอะไรตอบแทน  เช่นให้ยกมือไหว้ ให้ขอบใจ ให้ทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ทำตามที่ต้องการ  ก็จะไม่สุขใจ จะเสียใจแทน อย่างนี้ไม่เป็นการทำบุญ  เพราะการทำบุญต้องไม่หวังผลตอบแทนจากผู้รับเลย   เช่นการทำบุญปิดทองหลังพระเป็นต้น ไม่ต้องให้ผู้อื่นรู้ว่าได้ทำบุญ ได้ถวายเงิน  ได้สร้างกุฏิ  ได้สร้างแท็งก์น้ำ ไม่ต้องเขียนชื่อประกาศให้ผู้อื่นรู้ เพราะถ้าอยากให้คนอื่นรู้ก็แสดงว่าไม่บริสุทธิ์  ๑๐๐  เปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าชื่อที่เขียนไว้เกิดจางหายไป เวลาเราเห็นก็จะไม่สุขใจ ก็ต้องเขียนขึ้นมาใหม่อีก

 

แต่ถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่สนใจว่าใครจะรู้หรือไม่ก็ตาม จะมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงหรือมองเห็นสิ่งที่ได้ทำไว้   เช่นเคยสร้างกุฏิไว้เวลาผ่านมามองเห็นกุฏินั้น ก็จะมีความสุขใจ คนอื่นจะไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราได้ทำความดีไว้   นี้คือความหมายของการทำบุญให้ทาน     ทานเป็นการกระทำ เป็นเหตุ   บุญเป็นผลที่จะเกิดขึ้นในจิตในใจ   ส่วนประโยชน์เป็นผลที่จะเกิดขึ้นจากบุคคลที่เราได้ช่วยเหลือ ช่วยคนดีเขาก็จะไปทำความดีต่อ สร้างประโยชน์ ความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ที่จะย้อนกลับมาหาเราอีกทีหนึ่ง   ถ้าช่วยคนไม่ดีเขาก็จะไปสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับสังคม ที่จะย้อนกลับมาหาเราอีกทีหนึ่ง   นี้คือเรื่องของการทำบุญกับบุคคลที่มีความแตกต่างกัน เป็นสิ่งที่เราควรทำกันอยู่เสมอ เพราะจะทำให้จิตใจของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข  เจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง เมื่อตายไปแล้วจะได้มีสิ่งที่ดีงามรอเราอยู่ มีเงินทอง มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเดิม   ถ้าอยากจะเกิดเป็นมนุษย์   ก็ต้องทำบุญอีกระดับหนึ่งคือรักษาศีล ๕ เพราะถ้าให้ทานอย่างเดียวแต่ไม่รักษาศีล ๕  เวลาไปเกิดใหม่ ถึงแม้จะได้เกิดบนกองเงินกองทอง มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่จะไม่ได้ร่างของมนุษย์    เช่นไปเกิดเป็นสุนัขที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม มีคนมีเงินมีทองซื้อเอาไปเลี้ยง ให้อยู่อย่างสุขสบาย อยู่อย่างลูกเศรษฐี แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์เพราะไม่ได้รักษาศีล ๕ จึงต้องไปเกิดเป็นสุนัข ถ้าอยากจะเกิดเป็นลูกของมนุษย์ เป็นลูกของเศรษฐี มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็ต้องรักษาศีล ๕ ไปด้วย ต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เพราะศีลเป็นเหตุที่จะพาให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหมตามลำดับต่อไป      

 

ถ้าอยากจะเป็นเทพก็ต้องทำบุญให้ทานให้มากๆ ต้องมีหิริโอตตัปปะ ความละอายและกลัวบาป   ถ้าไหว้พระสวดมนต์   ทำจิตใจให้สงบ นั่งทำสมาธิด้วย ก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าอยากจะเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี  พระอนาคามี  พระอรหันต์  ก็ต้องเจริญปัญญาด้วย นั่งสมาธิก็คือทำจิตใจให้สงบ ด้วยการสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ไม่ให้คิดเรื่องอะไร  ให้อยู่กับบทสวดมนต์ หรือจะบริกรรมพุทโธๆไปเรื่อยๆก็ได้ อย่าไปคิดอะไร ให้อยู่กับพุทโธๆไป จนจิตสงบตัวลงรวมเป็นหนึ่ง ก็จะมีความสุขเย็นสบาย ความคิดต่างๆจะหายไปชั่วคราว ในขณะนั้นเหมือนกับไม่มีอะไรอยู่ในโลกนี้เลย มีแต่จิตอยู่ตามลำพัง ไม่วุ่นวายกังวลกับเรื่องราวต่างๆ พอถอนออกมาก็ต้องเจริญปัญญา ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา พิจารณาให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรอยู่ไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี  ของผู้อื่นก็ดี เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน  ถ้าพิจารณาปลงอยู่เรื่อยๆแล้ว จะไม่ยึดไม่ติด  จะปล่อยวาง เวลาเกิดการพลัดพรากจากกัน ก็จะไม่เสียอกเสียใจ ไม่เศร้าโศก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะใจไม่ยึดไม่ติด ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ทำให้ไม่หวาดผวาเศร้าโศกเสียใจ แต่ถ้าไม่รู้จักปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่คอยเตือนตนอยู่เรื่อยๆ  ว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เรารักก็ต้องจากเราไป  คนที่เรารักก็ต้องจากเราไป หรือเราก็ต้องจากเขาไปเป็นธรรมดา ไม่ช้าก็เร็ว เมื่อทำความเข้าใจแล้วจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เพราะใจไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีอะไรเลย เป็นเพียงผู้ครอบครองชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง

 

ร่างกายกับใจก็เป็นคนละส่วนกัน เหมือนกับรถยนต์กับคนขับ    เวลารถพังไป คนขับไม่ได้พังไปกับรถ  คนขับก็ไปหารถคันใหม่ได้  ใจของเราก็เป็นอย่างนั้น เวลาร่างกายแตกดับไป ใจก็ไปหาร่างใหม่ เวลาภรรยาหรือสามีตายจากไป เราก็ไปหาภรรยาใหม่หาสามีใหม่ได้  เวลาลูกตายไป ก็มีลูกใหม่ได้ จึงไม่ต้องไปตื่นเต้นหวาดกลัว    ถ้าปลงอนิจจังทุกขังอนัตตาอยู่เรื่อยๆ  สอนใจอยู่เรื่อยๆแล้ว ก็จะไม่ยึดไม่ติด จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่กังวลหวาดกลัวกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะบรรลุเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกิทาคามีบ้าง  พระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง ขึ้นอยู่ว่าจะปลงได้มากน้อยเพียงไร จะตัดได้มากน้อยเพียงไร  ถ้าตัดได้หมดก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  เป็นผลที่เกิดจากการบำเพ็ญ จากการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้าไม่สามารถเสกเป่าให้เราเป็นได้ แต่พวกเราสามารถเสกเป่าให้เราเป็นได้ ด้วยการปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่การทำบุญให้ทาน รักษาศีล  ภาวนา  นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เจริญปัญญา ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตาอยู่เรื่อยๆ รับรองได้ว่าความสุขและความเจริญจะเป็นผลที่ตามมาอย่างแน่นอน  จึงขอฝากเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน อย่างสม่ำเสมอ อย่างมั่นใจ ไม่ท้อแท้ ไม่หยุดยั้ง ให้ท่านนำไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้