กัณฑ์ที่ ๒๙๒ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
สร้างกำลังใจ
การบำเพ็ญศาสนกิจตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน เป็นการสร้างประโยชน์สุข สร้างความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจ สร้างกำลังใจไว้ต่อสู้กับปัญหาต่างๆ อุปสรรคต่างๆ ความเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ ให้ชีวิตดำเนินไปอย่างร่มเย็นเป็นสุขราบรื่นดีงาม ถ้าปราศจากกำลังใจแล้วก็จะไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ เมื่อหมดกำลังใจแล้ว ก็คิดสั้นทำลายชีวิตของตน โดยไม่รู้ว่าสามารถสร้างกำลังใจที่หมดไป ให้มีกลับขึ้นมาใหม่ได้ เหมือนกับกำลังกายที่หายไปในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าได้พักผ่อนหลับนอนกินอาหาร ร่างกายก็จะฟื้นขึ้นมาจนหายเป็นปกติ ก็จะมีกำลังกายทำอะไรต่อไปได้ กำลังใจก็เช่นเดียวกัน เมื่อหมดกำลังใจก็อย่าไปท้อแท้ อย่าไปคิดสั้นทำลายชีวิตของตน เพราะสามารถสร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่ได้ ใช้เวลาบ้าง ขอให้รู้จักวิธีสร้างกำลังใจเท่านั้น เหมือนรู้จักวิธีสร้างกำลังกาย เวลาขาดกำลังกายก็พักผ่อนหลับนอนรับประทานอาหารให้เต็มที่ ออกกำลังกาย ต่อไปร่างกายก็จะสมบูรณ์แข็งแรง เวลาขาดกำลังใจก็ต้องเข้าหาพระศาสนา เข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นแหล่งฟื้นฟูสร้างกำลังใจ ด้วยการมาวัด มาทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นวิธีสร้างกำลังใจ ให้จิตใจมีกำลังที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือชั่วอย่างไร จิตใจจะไม่หวั่นไหว ไม่เสียหลัก ไม่เสียใจ จะสามารถผ่านไปได้อย่างสบาย เราจึงควรให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการมาวัด มาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน กำลังใจมีองค์ประกอบอยู่ ๕ ประการด้วยกันคือ ๑. ศรัทธาความเชื่อ ๒. วิริยะความพากเพียร ๓. สติการระลึกรู้ ๔. สมาธิความตั้งมั่นของใจ ๕. ปัญญาความรู้ความฉลาด
คุณธรรมทั้ง ๕ ประการนี้เราสามารถมาเติมได้ที่วัด เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนอันประเสริฐ เกี่ยวกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ถ้าเคยฟังแล้วเมื่อได้ฟังซ้ำอีกก็จะเกิดความเข้าใจดีขึ้น ทำให้ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์แก่กล้ายิ่งขึ้น เมื่อมีศรัทธาแล้วก็จะมีวิริยะความพากเพียรที่จะประกอบกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ทำไว้เป็นตัวอย่างเพราะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ทำให้เราก้าวหน้า มีความสุขอย่างแท้จริง มีความพากเพียรที่จะเจริญสติอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไร จะต้องทำด้วยสติความรู้สึกตัว รู้อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น รู้ว่ากำลังคิดอะไร กำลังพูดอะไร กำลังทำอะไร ถ้ามีสติกำกับแล้วการทำกิจกรรมต่างๆ จะเป็นไปอย่างถูกต้องดีงาม ถ้าไม่มีสติก็จะเป็นเหมือนคนบ้า ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้ดีให้งามเป็นปกติได้ เหมือนกับคนทั่วไปทำกัน เพราะไม่มีสติ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จะทำไปตามความคิดโดยไม่กลั่นกรองเสียก่อนว่าดีหรือไม่ เช่นคนเสพสุรายาเมา เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ เวลาเสพแล้วจะไม่รู้สึกตัว ว่ากำลังคิดอะไร กำลังพูดอะไร กำลังทำอะไร พอคิดอะไรก็ทำไปตามความคิดนั้น โดยไม่แยกแยะว่าดีหรือชั่ว เป็นคุณหรือเป็นโทษ ส่วนใหญ่เวลาไม่มีสติความคิดจะไหลไปทางต่ำ ไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อปล่อยให้ไปทางนั้นแล้ว ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ดังที่เห็นกัน เวลาเสพสุรายาเมาแล้วขับรถ ก็ไม่สามารถควบคุมรถได้ ไม่รู้สภาพถนนหนทางว่าเป็นอย่างไร ควรจะใช้ความเร็วมากน้อยเพียรไร จึงมักเกิดอุบัติเหตุ
สติจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ต่อจากศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ในการทำความดี ละเว้นการทำบาป ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ความวุ่นวายใจ ถ้าไม่มีสติก็จะไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จึงต้องมีสติเพื่อจะได้รู้ว่ากำลังคิดอะไร ดีหรือไม่ คิดชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงหรือไม่ ถ้ามีสติจะรู้อยู่ตลอดเวลา สติคือการมองดูกายกับใจ ดูใจก่อนเพราะใจเป็นต้นเหตุให้มีสติอยู่ที่ความคิด ให้รู้ว่ากำลังคิดอะไร อย่างวันนี้คิดมาวัดกัน รู้ว่าการมาวัดเป็นการกระทำที่ดี ก็ปล่อยให้ความคิดนี้ไหลไปสู่การกระทำทางกายและทางวาจา ชวนญาติพี่น้องชวนเพื่อนฝูงมา แล้วก็เดินทางมาที่วัดกัน นำกับข้าวกับปลาอาหารของคาวของหวานต่างๆ มาถวายพระ เป็นการกระทำที่มีสติ ถ้าไม่มีสติแล้วจะไม่สามารถมาวัดได้ เพราะยังหลับนอนอยู่ เมื่อคืนนี้ออกไปเที่ยวจนดึกดื่น เสพสุรายาเมาจนหมดสติไป นอนจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา เพราะยังไม่ได้สตินั่นเอง คนที่ไม่มีสติแล้วจะทำความดีไม่ได้ จะต่อสู้กับความชั่วไม่ได้ จะกลายเป็นทาสของความชั่ว จะถูกความชั่วฉุดลากให้ไปทำสิ่งต่างๆ ที่เสื่อมเสียและทำลายตนในที่สุด คุณธรรมสำคัญที่ควรเจริญอย่างยิ่งและตลอดเวลาก็คือสติ สติหมายถึงให้รู้อยู่ในปัจจุบัน พยายามดึงใจให้อยู่ที่นี้เดี๋ยวนี้ เช่นขณะนี้ถ้ามีสติก็จะรู้ว่ากำลังฟังอะไรอยู่ แต่ถ้านั่งฟังไปอย่างไม่มีสติ ปล่อยให้ใจไปคิดเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดี ที่จะเกิดขึ้นก็ดี แสดงว่าไม่มีสติ ถึงแม้จะฟังอยู่แต่ไม่รู้เรื่องว่ากำลังฟังอะไร เสียงเข้าหูซ้ายแล้วก็ออกหูขวาไป ไม่ได้เข้าไปในใจ เพราะไม่มีสติดึงเสียงให้เข้าไปสู่ใจ ก็จะไม่รู้ว่ากำลังฟังเรื่องอะไรอยู่ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟัง ถ้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่คุยกัน อย่างที่เห็นกันเวลาไปงานกุศลงานบุญต่างๆ เวลามีพระสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา ส่วนใหญ่จะไม่ได้ฟังพระเทศน์ ไม่ได้ฟังพระสวดกัน มีแต่คุยกัน พนมมือไป แล้วก็กระซิบกระซาบคุยกัน อย่างนี้แสดงว่าขาดสติในการฟัง ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในการฟังก็จะไม่มี
เวลาฟังธรรมจะเกิดประโยชน์หลายประการด้วยกัน อย่างที่ได้แสดงไว้ในเบื้องต้นว่า จะได้ยินได้ฟังเรื่องที่ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกัน เรื่องของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ถ้าได้ฟังเทศน์ฟังธรรม จะรู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกได้ดีขึ้น จะรู้ว่าท่านประเสริฐขึ้นมาได้อย่างไร พ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร ก็จะทำให้เกิดศรัทธาที่จะปฏิบัติตาม เพราะไม่มีอะไรดีเท่ากับการหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ที่ไม่ดีเลย เกิดทีไรก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันเสมอ เป็นความทุกข์ทั้งนั้น ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ตราบนั้นก็ยังต้องเจอกับความทุกข์อยู่ เมื่อได้ศึกษาว่าท่านเหล่านี้เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนเรา เวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน แต่มีความขยันที่จะศึกษาหาทางออก แล้วก็เดินตามทางที่ได้ศึกษาไว้ จนหลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงเกิดศรัทธาความเชื่อที่จะดำเนินตาม ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแผนที่ เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าชี้ให้ไป ก็จะเกิดวิริยะความขยันหมั่นเพียรขึ้นมา ขยันทำความดี ขยันละการกระทำที่ไม่ดี ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตรและความเกียจคร้าน ที่พาให้ไปสู่ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความหายนะ จะมีกำลังใจต่อต้านการกระทำเหล่านี้ เพราะได้เห็นตัวอย่างที่ดี คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ที่ได้ละแล้วและได้พบกับสิ่งที่ดีที่เลิศกว่า เราก็จะมีกำลังจิตกำลังใจ มีวิริยะความพากเพียร ที่จะดำเนินตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เจริญสติอย่างสม่ำเสมอ เพราะได้ยินแล้วว่าการเจริญสติจะเป็นเหตุให้ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
เราจึงต้องดูที่ใจของเราอยู่ทุกขณะ ว่าใจกำลังเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือไม่ ถ้าคิดแวบออกไปนอกทางก็จะได้ดึงกลับเข้ามาเหมือนกับเวลาขับรถยนต์ ก็ต้องมีสติคอยดูว่ารถวิ่งอยู่บนถนนหรือไม่ ถ้าเริ่มส่ายออกไปนอกถนนก็จะได้ดึงกลับเข้ามาได้ ถ้าไม่มีสติก็เหมือนคนขับที่ดื่มสุราจนมึนเมา เวลารถวิ่งแหกโค้งก็จะไม่สามารถดึงกลับเข้ามาในถนนได้ ก็จะประสบอุบัติเหตุ เกิดความเสียหายตามมา เพราะไม่มีสตินั่นเอง เราจึงต้องเจริญสติให้มากๆ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยจนถึงเวลาหลับ ควรมีความรู้สึกตัวเสมอ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้ากำลังรับประทานอาหารก็ให้อยู่กับการรับประทานอาหาร อย่าคุยกัน เดี๋ยวสำลักอาหารตายไปก็มี เพราะไม่มีสติ รับประทานไปก็คุยไปหัวเราะไป อาหารที่อยู่ในปากก็เลยหลุดเข้าไปในหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออก ทำให้ตายได้ แต่ถ้ามีสติแล้วจะรู้อยู่ทุกขณะว่ากำลังเคี้ยว กำลังกลืน จะไม่ไปคุยกันให้เสียเวลา ดูตัวอย่างเวลาที่พระสงฆ์ฉันอาหารกัน จะไม่คุยกัน จะมีสติอยู่กับการรับประทานอาหารเสมอ การมีสติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีสติแล้วก็จะทำให้เกิดสมาธิและเกิดปัญญาตามมา เวลามีสติจิตจะไม่วอกแวก ไม่ส่ายไปส่ายมา จิตจะตั้งมั่น มีสมาธิ เช่นฟังเทศน์ด้วยสติ ไม่ส่งจิตไปคิดถึงเรื่องต่างๆ จิตก็จะตั้งมั่นอยู่กับการฟัง ก็จะมีสมาธิในการฟัง จะทำให้จิตใจสงบ เป็นอานิสงส์ของการฟังธรรมด้วยสติ ฟังแล้วจิตก็จะสงบ มีความสุข มีความสบายระงับความคิดที่สร้างความวุ่นวาย ความกังวลใจได้ระยะหนึ่ง ในขณะที่ฟังธรรมแล้วไม่ไปคิดเรื่องอื่น ก็จะไม่มีเรื่องมาสร้างความวุ่นวายให้กับใจ ใจก็จะสงบเย็นสบาย นอกจากนั้นก็ยังได้ปัญญาด้วย จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร รู้ว่าการดำเนินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะพาไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ถ้าเดินไปตามความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว ก็จะพาไปสู่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ เพราะสิ่งต่างๆที่เราอยากเราต้องการ ไม่ได้ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง ให้ความสุขเพียงขณะที่ได้มาใหม่ๆ แต่หลังจากนั้นก็จะสร้างความทุกข์ให้กับเรา ไม่ว่าได้อะไรมา ใหม่ๆเราจะรู้สึกดีอกดีใจ แล้วต่อไปก็จะมีความกังวลใจ เพราะถ้ารักอะไรชอบอะไร ก็อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ ไม่อยากให้จากไป เพราะไม่มีปัญญา ไม่รู้ถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆที่แท้จริง ว่าเป็นอย่างไร จึงไม่รู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่มีอะไรอยู่เหมือนเดิมไปตลอด ได้อะไรมาในวันนี้ ต่อไปก็จะเปลี่ยนแปลงไป จากของใหม่ก็กลายเป็นของเก่าไป จากหนุ่มสาวก็กลายเป็นคนแก่ไป จากคนดีกลายเป็นคนไม่ดีไป เพราะนี่คือธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เมื่อเราไม่รู้ทัน ก็จะอยากได้ เมื่อไม่ได้สมอยาก เมื่อสิ่งที่ได้มาเปลี่ยนแปลงไป ไม่เป็นเหมือนเดิมเหมือนกับวันแรกที่ได้มา ก็เสียอกเสียใจ เป็นเพราะไม่มีปัญญานั่นเอง ถ้ามีก็จะมีความเห็นที่ถูกต้อง จะเห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอยู่เหมือนเดิม เป็นเหมือนเดิมไปตลอด จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะให้ความสุขกับเราได้อย่างไร ก็ต้องให้ความทุกข์กับเรา เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา หรือในขณะที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็สร้างความกังวลความห่วงใยให้แล้ว ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่ถ้าได้ศึกษาได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆแล้ว จะรู้ว่าไม่ควรยึดติดกับอะไร มีอะไรก็มีได้ ใช้ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ แต่อย่าไปยึดอย่าไปติด อย่าไปหวังให้เป็นไปตามที่ต้องการเสมอ เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการสูญเสีย จะไม่ทำให้เสียอกเสียใจ เพราะไม่ได้หวัง ไม่ได้ยึดติด ปล่อยให้เป็นไปตามความเป็นจริง จะอยู่ก็ได้ จะจากไปก็ได้
ถ้าอยู่ก็หาประโยชน์หาความสุขไป เมื่อถึงเวลาจากไปก็ให้ไปโดยดี ไม่เสียอกเสียใจ โกรธแค้นอาฆาตพยาบาท ถ้าไม่มีปัญญาก็จะมีความทุกข์ เวลาสูญเสียอะไรไปจะเสียอกเสียใจ โกรธแค้นโกรธเคือง อาฆาตพยาบาท กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้ไปทำสิ่งที่เลวร้ายต่อไป ถ้าไม่สามารถทำร้ายผู้อื่นได้ ก็ทำร้ายตนเอง หรือทำร้ายทั้งผู้อื่นและตนเอง เวลาสูญเสียอะไรไปหมด ดังที่ได้ยินข่าวเมื่อไม่กี่วันที่มีหัวหน้าครอบครัวฆ่าภรรยาฆ่าลูกและฆ่าตนเองไป เพราะเกิดการสูญเสีย จากการมีเงินมีทองมาไม่มีเงินมีทอง มีหนี้มีสิน ไม่มีปัญญาที่จะใช้คืนได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป แล้วก็ไม่รู้วิธีที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ก็เลยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง โดยคิดว่าฆ่าตนเองและผู้อื่นแล้วจะทำให้ปัญหาหมดไป แต่ความจริงแล้วปัญหายังไม่หมด เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่กาย ที่สมบัติข้าวของเงินทอง แต่อยู่ทีใจ คือความหลงความมืดบอด ทำให้เสียอกเสียใจ หมดกำลังใจ ถ้ามีสติมีปัญญาจะรู้วิธีแก้ปัญหา ถ้ามีหนี้ที่ยังใช้คืนไม่ได้ก็ยอมรับความจริง ถ้าจะต้องถูกยึดข้าวของเงินทองอะไรไป ก็ให้ยึดไป จะถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางก็ให้จับไป ไม่เป็นไร ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องพ้นโทษออกมาจนได้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ถ้าไม่ท้อแท้ ไม่ผิดหวังเสียอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ เพราะเมื่อตอนที่เกิดมาใหม่ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเหมือนกันแล้วทำไมสามารถสร้างสิ่งต่างๆให้มีขึ้นมาได้ อย่างที่มีกันอยู่ในวันนี้ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย ถ้าเกิดสูญเสียจนหมดสิ้นไป เหลือแต่ร่างกายเหลือแต่ตัวเพียงอย่างเดียว ถ้ายังมีชีวิตอยู่ มีสติมีปัญญา มีกำลังใจ ก็เริ่มต้นใหม่ได้ หาสิ่งต่างๆได้ใหม่ จะได้มากได้น้อยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อาจจะเกิดปัญญามีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาก็ได้ ว่าไม่ควรจะแสวงหาแบบเดิมๆอีกต่อไป เพราะจะเจอปัญหาแบบเดิมอีก หาได้มาแล้วเดี๋ยวก็จะหมดสิ้นไปอีก สู้หาอย่างอื่นดีกว่า หาอย่างที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกหากัน คือหาความสุขในใจของตนเองนี้แหละ เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่มีใครเอาจากเราไปได้ ไม่สูญหายจากเราไป ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็จะออกบวชได้ ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้อาจจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็ได้ คนบางคนต้องอาศัยเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต เคยร่ำรวยแล้วหมดเนื้อหมดตัวไป จึงเกิดมีดวงตาเห็นธรรม เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วต่อไปก็จะไม่ยึดไม่ติดกับอะไร ไม่อยากจะได้อะไร ถ้าเคยมีสามีมีภรรยา แล้วเกิดตายจากไป ถ้ามีสติมีปัญญาก็จะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ว่าไม่มีอะไรจีรังถาวรในโลกนี้ ไม่ควรหลงยึดติด ไม่ควรแสวงหา ควรแสวงหาสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา ที่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความสุขภายในจิตในใจ ที่เกิดจากการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะได้พบกับสิ่งที่ดีสิ่งที่เลิศที่มีอยู่ในตัวเรา ที่เราไม่รู้มาก่อน ถ้าไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จะไม่ปรากฏขึ้นมาให้เรากราบไหว้บูชาได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนกับเรา แต่มีความฉลาดมองเห็นความเสื่อมของสิ่งต่างๆในโลกนี้ เห็นว่าไม่มีอะไรจีรังถาวร ไม่มีอะไรให้ความสุขได้อย่างแท้จริง จึงตัดจึงละความสุขทางโลก แล้วก็หาความสุขทางด้านจิตใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ทำความดีละความชั่ว นั่งสมาธิ เจริญปัญญา จนบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก นี่แหละคือสิ่งที่เราควรยินดี ควรไขว่คว้าหามา ให้เป็นสมบัติของเราให้ได้ ด้วยการศึกษา เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมบ่อยๆ แล้วก็ปฏิบัติตาม เพื่อจะได้มีกำลังใจที่จะดำเนินตามทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินมา จึงอยากจะขอฝากเรื่องการมาเสริมสร้างกำลังใจ ด้วยการสร้างศรัทธาความเชื่อ วิริยะความขยันหมั่นเพียร สติความระลึกรู้ สมาธิความตั้งมั่นของจิตใจ และปัญญาความฉลาดรู้ทันให้ท่านทั้งหลายได้นำเอาไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อนำพาชีวิตของท่านไปสู่ความสุขและความเจริญในลำดับต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้