กัณฑ์ที่ ๒๙๔ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ใจเป็นเพียงผู้รับรู้
วันนี้เรามาทำบุญกัน มาบำเพ็ญ มาปฏิบัติธรรม ตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่พึงกระทำกัน เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสอน ในพระอริยสงฆสาวก ว่าเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง เป็นคำสอนที่ถูกต้องตามหลักความจริง สามารถยังประโยชน์ให้กับผู้ปฏิบัติได้อย่างแน่นอน ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงสงสัย หน้าที่ของเราจึงอยู่ที่การปฏิบัติตามเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆสาวกก็ดี ได้กลั่นกรองสิ่งแปลกปลอมต่างๆออกไปหมดแล้ว เหลือแต่ความจริงล้วนๆ สิ่งแปลกปลอมต่างๆไม่มีอยู่ในใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายแล้ว เพราะได้รับการชำระจนสะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความหลงอันเป็นเหตุทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสิ่งที่มีว่าไม่มี เห็นสิ่งที่ไม่มีว่ามี เมื่อไม่มีสิ่งหลอกลวงเจือปนอยู่ในจิตใจแล้ว ก็มีแต่ความจริงล้วนๆ ความจริงนี้แล ที่ทำให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง หลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้ายังไม่ได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็ยังจะมีความหลงครอบงำอยู่ ก็จะมีความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นว่าโลกนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดี เห็นว่าการได้เกิดเป็นสิ่งที่น่ายินดี เพราะเห็นเพียงข้างเดียว เวลาเกิดเราจะดีอกดีใจกัน ได้ลูกได้หลาน ทุกคนดีอกดีใจ มีความสุข เพราะไม่ได้มองอีกด้านหนึ่ง คือด้านลบ เวลาเกิดความเสื่อมขึ้นมา เกิดความดับขึ้นมา เห็นเพียงด้านเดียว เป็นลักษณะของจิตที่มีความหลงครอบงำ ไม่เห็นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เห็นในส่วนที่อยากจะเห็น
ส่วนที่ไม่อยากเห็นก็พยายามที่จะลืมๆมันไป พยายามไม่คิดถึงมัน เมื่อไม่คิดถึงมัน ก็เหมือนกับว่าไม่มีสิ่งนั้น แต่ความจริงแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่พยายามลืมกัน ไม่คิดถึงกัน ก็จะโผล่ออกมาให้เห็นจนได้ เวลาที่คนรักจากเราไป ต่อให้ไม่คิดเพียงไร ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเห็นอยู่ตำตา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจก็จะรุมเร้าจิตใจ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ บางคนเสียหลัก ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ต้องฆ่าตัวตายไปก็มีเป็นจำนวนมาก เป็นอานิสงส์เป็นผลของความหลงที่ครอบงำจิตใจ จะเป็นอย่างนี้ จะคิดว่าถ้าคิดแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียว จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ คิดว่าคนที่คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี เช่นความเสื่อม ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นการคิดที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคลแก่ชีวิต คนที่มีความหลงจะคิดอย่างนี้ คิดแต่จะได้จะเจริญจะมีความสุข เป็นความคิดของคนที่มีความหลงครอบงำอยู่ แต่คนที่ได้ทำลายความหลงหมดสิ้นไปจากใจแล้ว จะไม่คิดอย่างนั้น จะมองทุกอย่างตามหลักความเป็นจริง เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ลบล้างไม่ได้ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ จะต้องสัมผัส ถ้ารู้จักวิธีปฏิบัติกับความจริงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบ เจริญหรือเสื่อม ก็จะไม่ทำให้ใจเสียหลัก เพราะใจสามารถรับรู้ทุกสภาพได้ เพราะใจไม่ได้ไม่เสียกับสิ่งต่างๆ ที่สัมผัสรับรู้เลย ธรรมชาติของใจเป็นอย่างนี้ เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพความจริง คนสวยเวลาไปยืนหน้ากระจก ก็ไม่ได้ทำให้กระจกสวยตามไปด้วย กระจกเพียงสะท้อนภาพของคนสวยเท่านั้น เช่นเดียวกับคนไม่สวย เวลาไปยืนอยู่ที่หน้ากระจก กระจกก็จะสะท้อนภาพของคนไม่สวยเท่านั้น กระจกก็ไม่ได้ไม่สวยตามไปด้วย
ใจของเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีกิเลสตัณหาความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำแล้ว จะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ด้วยความปล่อยวาง เป็นอุเบกขา ไม่ยินดียินร้าย ไม่รักไม่ชัง ไม่อยากให้อยู่ ไม่อยากให้หายไป เพราะใจรู้ว่าไม่ได้ไม่เสียกับสิ่งต่างๆที่สัมผัสรับรู้ ที่มาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ เป็นอยู่อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ถ้าพิจารณาดูก็จะเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ วันนี้เราเห็นรูปคนนั้นเห็นรูปคนนี้ เดี๋ยวสักระยะหนึ่งรูปคนนั้นรูปคนนี้ก็หายไป เปลี่ยนเป็นรูปของคนนั้นคนนี้อีกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เสียงที่เราได้ยินก็เช่นเดียวกัน ได้ยินแล้วก็ผ่านไป จะชอบหรือไม่ชอบก็ผ่านไป ถ้ามีความหลงก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับสิ่งต่างๆที่ได้สัมผัสรับรู้ ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบก็จะเกิดความสุขใจ ก็จะเกิดตัณหาความอยาก เกิดความโลภอยากจะได้ ถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบก็จะเกิดตัณหาความไม่ชอบไม่อยากได้ อยากจะให้หายไป เกิดความโกรธ ความเกลียด ที่เป็นผลของความหลงทั้งนั้น ถ้ายังไม่ได้ชำระความหลง จิตใจจะแกว่งไปแกว่งมา ระหว่างความรักกับความชัง ความโลภกับความโกรธ เมื่อจิตยังแกว่งอยู่ จิตจะหาความสุขไม่ได้ ไม่ว่าจะได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็จะไม่ได้ทำให้จิตมีความสุขอย่างแท้จริง มีแต่จะเป็นระเบิดเวลาคอยสร้างความทุกข์ให้กับจิต เวลาที่สิ่งต่างๆที่ได้มาต้องสูญหมดไป ต้องจากจิตไป ถึงเวลานั้นจิตที่มีความหลงครอบงำอยู่ จะเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ นี่คือจิตของปุถุชนอย่างพวกเราทั้งหลาย ซึ่งต่างจากจิตของพระพุทธเจ้า ที่ได้ชำระจนสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีความหลงเหลืออยู่แล้ว เมื่อไม่มีความหลงก็ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ จิตของพระอรหันต์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ท่านจึงนำเอาสิ่งที่ถูกต้อง ที่ดีที่ควรสำหรับจิตใจ มาสั่งสอนพวกเรา เพื่อเราจะได้มีความสุขอย่างแท้จริง
ถ้ายังไม่ได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็จะไม่รู้หน้าที่ที่แท้จริงของเราว่าอยู่ตรงไหน จะไม่รู้ว่าความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราก็จะวนเวียนอยู่กับความทุกข์ไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ได้แล้วเสียไป แต่ถ้านำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ที่สอนให้ทำลายให้ชำระความหลงที่มีอยู่ในจิตในใจให้หมดสิ้นไป ถ้าหมดไปเมื่อไรแล้วจิตจะได้รับความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่มีทุกข์เจือปน ไปตลอดอนันตกาล ไม่มีการเสื่อม ไม่เหมือนกับความสุขที่พวกเราได้รับกันในภพนี้ชาตินี้ หรือในภพอื่นๆ เป็นความสุขที่ไม่จีรังถาวร เป็นความสุขที่มาแล้วก็ไป ที่ทำให้เกิดความทุกข์ตามมา เวลาได้อะไรมาก็มีความสุข พอสูญเสียไปความทุกข์ก็มาแทนที่ จะเป็นอย่างนี้อยู่ไปเรื่อยๆ ถ้ายังหลง ยังยินดีกับสิ่งต่างๆ ที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ลิ้มรสด้วยลิ้น ดมกลิ่นด้วยจมูก และสัมผัสด้วยกาย เราก็จะต้องวนเวียนกับอยู่ความสุขความทุกข์ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ตามพระอรหันตสาวก ตัดความยินดี ความผูกพัน ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะต่างๆ ไม่ยินดี ไม่อยากได้มาครอบครอง สัมผัสแล้วปล่อยวาง รับรู้แล้วปล่อยวาง ไม่มีความผูกพัน ถ้าสามารถทำได้ ใจจะเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา เข้าสู่ความสงบ เข้าสู่ความนิ่ง เข้าสู่ความสบาย เข้าสู่ความสุขที่แท้จริง หน้าที่ของเราที่แท้จริงจึงอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ดูแลรักษาใจไม่ให้ไปยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรจะมาสัมผัสก็เพียงรับรู้แล้วก็ปล่อยวาง จะทำได้ก็ต้องปฏิบัติธรรม ต้องเจริญสติ สติเป็นตัวสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาจิตใจ ให้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เวลาสัมผัสอะไรต้องรู้ว่ากำลังสัมผัส รู้อยู่เสมอ รู้ว่าเกิดแล้วก็ดับ มาแล้วก็ไป ถ้ารู้อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา ถ้ารู้ด้วยปัญญาแล้วก็จะไม่ยินดียินร้าย ไม่ผูกพัน ไม่ยึดติด รู้ว่ามาแล้วก็ต้องไป ไม่มีอะไรอยู่กับใจไปได้ตลอด อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา
ถ้ามีสติก็รู้ว่าขณะนี้กำลังสัมผัสอะไร กำลังได้ยินเสียง กำลังเห็นภาพ จะรู้ทันเวลาความหลงปรากฏขึ้นมา เช่นเห็นภาพแล้วก็เกิดความชอบหรือเกิดความชังขึ้นมา ถ้ามีสติจะรู้ว่ากำลังชอบหรือชังหรือเฉยๆ ถ้าชอบก็รู้ว่ากำลังหลงแล้ว กำลังจะพาไปสู่ความทุกข์ ถ้าชอบอะไรก็ต้องตัดใจอย่าไปชอบมัน ถ้าเกลียดอะไรก็ต้องตัดใจอย่าไปเกลียดมัน เพราะไม่ได้มาทำอะไรให้กับเรา ไม่ได้สร้างความสุขความประเสริฐให้กับใจ ทำลายใจไม่ได้ ไม่ต้องกลัวเวลาสัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัว ไม่ต้องยินดีเวลาสัมผัสกับสิ่งที่รักที่ชอบ เพราะใจไม่ได้ไม่เสียกับสิ่งเหล่านี้ ใจเพียงแต่รับรู้เท่านั้นเอง สิ่งต่างๆที่ได้มา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ อีกไม่นานก็จากเราไป หรือไม่เช่นนั้นเราก็จากมันไป ไม่ได้อยู่กับใจไปตลอด เหมือนกับภาพที่ปรากฏในกระจก ไม่ได้อยู่ในกระจกไปตลอด เดี๋ยวก็หายไป คนนี้เดินผ่านไป อีกคนก็เดินเข้ามาที่หน้ากระจก ก็เป็นภาพของคนอีกคนหนึ่งไป ภาพที่ปรากฏในกระจกไม่ได้เป็นของกระจก ฉันใดสิ่งต่างๆที่ใจรับรู้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นของใจ ใจเป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม สมมุตติว่าวันนี้มีคนเอาเงินมาให้ก้อนหนึ่ง ก็อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา ให้เพียงแต่รับรู้ว่าได้รับเงินก้อนนั้นมา ไม่ช้าก็เร็วเงินก้อนนั้นก็ต้องจากเราไป ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เอาไปซื้อข้าวซื้อของก็จากเราไป เอาไปให้คนอื่น เอาไปทำบุญทำทาน ก็จากเราไป เอาไปซื้อสุรามาดื่ม ก็จากเราไปเหมือนกัน ไม่ได้อยู่กับใจไปตลอด จึงไม่ควรยินดีกับอะไรทั้งสิ้น เพราะเมื่อยินดีแล้วก็เกิดความยึดติดขึ้นมา เกิดความอยากขึ้นมา อยากจะได้อีก เวลาใครให้เงินมาก็ดีอกดีใจ มีความยึดติดกับเงินกับทอง อยากจะได้เงินอยากจะได้ทองอีก เมื่อเงินที่ได้มาหมดไปก็ต้องไปหามาใหม่ ก็ต้องหาอยู่เรื่อยๆ หาได้ก็ดีใจ หาไม่ได้ก็เสียใจ ไม่มีเงินไม่มีทองก็อยู่ไม่ได้ ทุกข์วุ่นวายใจ
แต่ใจนั้นความจริงไม่มีเงินไม่มีทองก็อยู่ได้ ไม่มีอะไรก็อยู่ได้ ไม่มีร่างกายก็อยู่ได้ เวลาร่างกายแตกดับไปแล้ว ใจไม่ได้แตกดับไปกับร่างกาย ใจก็ไปหาร่างกายใหม่ ตามบุญตามกรรม ถ้ายังมีความหลงอยู่ก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าหมดความหลงแล้วก็ไม่ไปหาใหม่ เพราะรู้ว่าหามาได้เท่าไรก็เหมือนเดิม ได้มาแล้วก็ต้องทุกข์กับมันอีก ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องเลี้ยงดูมัน ต้องทำมาหากิน ลำบากลำบนทุกวันนี้ก็เพราะร่างกายนี้เอง เมื่อมีร่างกายก็ต้องมีอาหารหล่อเลี้ยง มีเสื้อผ้าใส่ มียารักษาโรค มีที่อยู่อาศัย ก็ต้องไปหาสิ่งเหล่านี้มาเยียวยา มาดูแลรักษา ชีวิตก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องเหล่านี้ หาความสุขไม่เจอ เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจปล่อยวาง อยู่ที่ใจสงบนิ่งเท่านั้น ถ้าไม่สงบนิ่งแล้วจะหาความสุขไม่เจอ จะสงบนิ่งได้ก็ต่อเมื่อได้กำจัดความหลงต่างๆให้หมดไป เมื่อหมดไปแล้วก็จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสิ่งต่างๆ ที่ใจสัมผัส อะไรมาสัมผัสก็รับรู้เฉยๆ รู้ว่ามาแล้วเดี๋ยวก็ไป รู้ว่าไม่ใช่เป็นสมบัติของใจ ไม่มีอะไรที่ใจจะครอบครองได้ มีแต่ตัวใจเท่านั้นที่เป็นสมบัติของใจ และเป็นสมบัติที่ประเสริฐที่สุด ถ้ารู้จักดูแลรักษาใจด้วยการชำระความหลงให้หมดไป เพราะเมื่อความหลงถูกกำจัดหมดสิ้นไปแล้ว ใจจะสบาย จะสงบ จะอิ่ม จะพอ ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป มีความสุขเต็มเปี่ยมอยู่ในใจ มีความอิ่มเต็มที่อยู่ในใจ ไม่ว่าจะได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็ไม่สุขไม่อิ่มเหมือนกับความสุข ที่ได้จากการกำจัดชำระความหลงให้หมดไป นี้แลคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ค้นพบ ได้ชำระจนจิตใจของท่านสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว จึงนำเอาความรู้นี้มาสั่งสอนพวกเรา คำว่าตรัสรู้ก็อยู่ตรงนี้เอง รู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ที่ได้รับการชำระความหลงจนหมดสิ้นไป
พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนวิธีที่จะพาให้ไปถึงจุดนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถชำระจิตด้วยสติด้วยปัญญาได้ เพราะยังไม่ได้สะสมสติปัญญาบารมีมามากพอที่จะชำระความหลงได้ทันที จึงต้องก้าวไปจากขั้นต่ำไปสู่ขั้นสูง สติปัญญาบารมีเป็นธรรมขั้นสูง ถ้าฟังแล้วเข้าใจก็สามารถกำจัดความหลงได้ทันที แสดงว่าได้บำเพ็ญสติปัญญามามากแล้ว เข้าใจความหมายที่ว่าให้มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้มีปัญญากำจัดความหลง สามารถทำความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจได้ แต่ถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ยังกำจัดความหลงไม่ได้ กำจัดความยินดียินร้ายไม่ได้ กำจัดความรักความเกลียดความชังไม่ได้ ก็แสดงว่ายังขาดสติขาดปัญญา ก็ต้องบำเพ็ญธรรมที่ต่ำลงมาคือสมาธิก่อน ทำจิตใจให้สงบรวมลงเป็นหนึ่งก่อน ขณะที่จิตสงบรวมลงเป็นหนึ่ง ความหลงก็ถูกระงับไปชั่วคราว เหมือนกับถูกฉีดยาสลบ เวลาที่ความหลงถูกระงับดับไป จิตจะมีความสุข เหมือนกับได้หลุดพ้น เพียงแต่เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว เพราะความหลงยังไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างถาวร กำลังของสมาธิอย่างเดียวไม่สามารถทำลายความหลงได้ ต้องปัญญาเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็จะทำให้จิตได้สัมผัสกับความสุข กับความอิ่มความพอ ที่เกิดขึ้นเวลาที่ความหลงถูกระงับไป ถ้าได้สัมผัสกับความสงบแบบนี้แล้ว จะรู้ว่าเป้าหมายของการบำเพ็ญอยู่ที่ตรงนี้เอง พอออกจากสมาธิแล้ว เวลาความหลงแสดงอาการรักหรือชังขึ้นมา ก็จะสร้างความทุกข์ให้เห็นทันที จิตจะรู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่จะต้องกำจัด คือความรักและความชัง ความยินดียินร้ายทั้งหลาย ความอยากทั้งหลาย ความโกรธความเกลียดทั้งหลาย จะต้องไม่ปรากฏขึ้นมาในใจ เพราะเวลาปรากฏขึ้นมา มันเป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงจิตใจ
ถ้ายังไม่มีสมาธิจะไม่เข้าใจจะไม่รู้ ถ้าฟังอย่างนี้ยังไม่เข้าใจ แสดงว่ายังไม่มีสมาธิ ก็ต้องทำสมาธิให้ได้ ถ้านั่งสมาธิจิตยังไม่สงบ ยังนั่งสมาธิไม่ได้ ก็แสดงว่าไม่มีศีลเป็นเครื่องสนับสนุน ก็ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไปก่อน เพื่อจิตใจจะได้ไม่วุ่นวายกับเรื่องต่างๆ ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้ก็แสดงว่ายังมีความโลภ มีความยึดติดในเงินทอง ในข้าวของ ในบุคคลต่างๆอยู่ ก็ต้องทำบุญทำทานก่อน ต้องปล่อยวาง อย่าไปเสียดายเงินเสียดายทอง เก็บไว้เท่าที่จำเป็น ไว้ดูแลรักษาชีวิตของเรา และเผื่อวันข้างหน้าที่เราเดือดร้อน ถ้ามีมากกว่านั้นก็อย่าเก็บเอาไว้ เอาไปทำบุญทำทานแจกจ่ายผู้อื่น เพื่อจะได้ตัดความยึดติดในเงินทอง ตัดการพึ่งพาอาศัยเงินทอง เพราะถ้ามีเงินมากแล้วมักจะเอาไปซื้อความสุขกัน ไปซื้อของฟุ่มเฟือย ไปเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลงกัน จะไม่สนใจกับความสุขที่แท้จริงที่อยู่ในใจ ไม่สนใจรักษาศีล พอเงินหมดก็ต้องหาเงินมาใหม่ หาด้วยวิธีที่สุจริตไม่ได้ก็ต้องทุจริต ไปฉ้อโกง ลักเล็กขโมยน้อย โกหกหลอกลวง เพื่อให้ได้เงินได้ทองมา แต่ถ้าเอาเงินทองที่เหลือใช้มาทำบุญทำทาน มาแจกจ่าย ความโลภความอยากได้ก็จะน้อยลงไป ทำให้จิตมีความสงบ มีความสบาย มีความสุข ไม่อยากจะเบียดเบียนผู้อื่น เวลาหาเงินหาทองก็จะหาในกรอบของศีลธรรม ทำให้มีศีลมีธรรมขึ้นมา พอนั่งทำสมาธิ จิตก็จะสงบลงได้ จะเห็นความสุขที่เกิดจากการระงับดับของความหลงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเจริญปัญญาก็จะกำจัดความรักความชัง ความโลภความอยากต่างๆให้หมดไปได้ โดยพิจารณาให้เห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จีรังถาวร ไม่มีอะไรเป็นสมบัติที่แท้จริง ไม่มีอะไรจะอยู่กับใจไปตลอด มีแล้วก็กลายเป็นภาระความทุกข์ ความห่วงใย ความกังวล เวลาจากกันก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ
ถ้าเห็นด้วยปัญญาว่าเป็นไตรลักษณ์แล้ว ใจก็จะปล่อยวาง จะไม่ยินดียินร้ายกับอะไร เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ ไม่อยากจะได้ นอกจากเอามาเพื่อใช้ตามความจำเป็นเท่านั้น เอาอาหารมาเลี้ยงร่างกาย เอาเสื้อผ้ามาใส่ เอาที่อยู่อาศัยไว้หลบแดดหลบฝน เอายามารักษาโรค ดูแลรักษาให้อยู่ไปจนถึงวันสุดท้าย เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายจะแตกดับก็ปล่อยไป ไม่ทุกข์ไม่เสียใจไม่หวาดกลัวกับความแตกดับของร่างกาย เพราะมีปัญญา ไม่ยึดไม่ติด ได้ปล่อยวางแล้ว จิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอย่างนี้ ได้เจริญปัญญาจนปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว แม้แต่ร่างกายก็ปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด เวลาอยู่ก็ไม่กลัว เวลาตายก็ไม่กลัว เป็นตายเท่ากันสำหรับจิตของพระพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์ เพราะรู้ว่าไม่ได้ไม่เสียอะไร รู้ว่าเกิดแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไปในที่สุด นี้แลคือความสุขที่ประเสริฐที่สุด ถ้ากำจัดความหลงได้ จิตจะเป็นอย่างนี้ จะอยู่อย่างเป็นสุข และตายอย่างเป็นสุข ไม่ต้องไปเกิดตายใหม่อีกต่อไป จึงควรหมั่นปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ทำได้ขั้นไหนก็ทำไป พยายามขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทำบุญให้ทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญปัญญา จนถึงวิมุติหลุดพ้น ถ้าเราปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อไม่หยุดยั้งสักวันหนึ่งจิตของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้