กัณฑ์ที่ ๒๙๖ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
สุปฏิปันโน
วันนี้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาวัด เพื่อมาบำเพ็ญ มาสร้างสรณะที่พึ่งทางใจที่ประเสริฐที่สุดกัน เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งแก่จิตใจได้อย่างแท้จริง นอกจากพระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะเท่านั้น ที่จะทำให้เราอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลาย หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไปได้ เมื่อไม่เกิดก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย นี่คือสิ่งที่พระรัตนตรัย ที่เรายึดเป็นสรณะที่พึ่งทางจิตใจให้กับเราได้ ที่พึ่งอื่นๆที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ให้เราอยู่เหนือความทุกข์ ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย การพลัดพรากจากกันได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้เรารู้สึกเฉยๆ ไม่วุ่นวายใจ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เวลาที่เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องจากคนที่เรารักไป มีพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ที่จะช่วยเราได้ ที่จะทำให้เราไม่ว้าวุ่นขุ่นมัว เศร้าโศกเสียใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม นี่คือความวิเศษ ความประเสริฐของพระรัตนตรัย เป็นวาสนาของพวกเราที่ได้มาพบกับพระรัตนตรัย เพราะไม่เป็นสิ่งที่จะปรากฏขึ้นตลอดเวลา ถึงแม้จะได้เกิดเป็นมนุษย์ในสมัยที่มีพระรัตนตรัยก็ตาม ถ้าไปเกิดในประเทศที่พระธรรมคำสอนแผ่ไปไม่ถึง เราก็จะไม่รู้จัก จะไม่ได้พบกับพระรัตนตรัย ในบางสมัยก็จะไม่มีพระรัตนตรัยปรากฏขึ้นเลย นานๆทีจึงจะมีพระรัตนตรัยปรากฏขึ้นมาให้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกได้ อย่างในสมัยปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงทำนายไว้ว่า พระรัตนตรัยคือพระพุทธศาสนานี้ จะอยู่กับโลกได้เพียงห้าพันปีเท่านั้น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๒๕๕๐ ปี อีกไม่นานพระรัตนตรัยก็จะหายไปจากโลกนี้ ถ้าเราได้กลับมาเกิดใหม่ในคราวหน้า ก็อาจจะไม่ได้พบกับพระรัตนตรัยก็ได้ เราก็จะไม่มีที่พึ่งทางใจ ที่จะช่วยกำจัดปัดเป่า ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจต่างๆให้กับเราได้ จะมีแต่ความรุ่มร้อนวุ่นวายใจ
พวกเราโชคดีที่ได้พบพระรัตนตรัย จึงไม่ควรปล่อยให้พระรัตนตรัยหลุดจากมือเราไป ควรสร้างพระรัตนตรัยให้อยู่กับจิตใจของเราไปตลอด เราควรสนใจศึกษา เพื่อน้อมเอาพระรัตนตรัยเข้าสู่จิตใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ได้สั่งสอนให้พวกเราปฏิบัติกัน เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พระรัตนตรัยอยู่กับเราไปตลอด ไม่สูญหายไปจากจิตจากใจ ถึงแม้จะยังไม่ได้บรรลุถึงที่สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องกลับมาเกิดอีกก็ตาม เราจะมีพระรัตนตรัยอยู่ในใจของเราเสมอ ถึงแม้โลกที่เรามาเกิดอาจจะไม่มีพระรัตนตรัยปรากฏอยู่ก็ตาม เราจะมีพระรัตนตรัยอยู่ในใจไว้เป็นที่พึ่งของเราเสมอ ดีกว่ามีพระรัตนตรัยในโลกนี้ แต่ไม่ได้อยู่ในใจของเรา เช่นในขณะนี้พวกเราก็รู้จักพระรัตนตรัยกัน รู้ว่ามีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ แต่พระรัตนตรัยที่เรารู้จักนี้ ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในใจของเรา ถ้ายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในใจ เราก็ยังต้องมีความว้าวุ่นขุ่นมัว เศร้าโศกเสียใจ กังวลใจ ห่วงใย หวาดกลัวอยู่ นี่คือสิ่งที่จะบ่งบอกให้พวกเรารู้ว่าเรามีพระรัตนตรัยอยู่ในใจหรือยัง ถ้ามีแล้ว เราจะไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์กับอะไร เราจะสามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม จะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายขนาดไหนก็ตาม ก็จะไม่ทำให้จิตใจของเราต้องว้าวุ่นขุ่นมัวเศร้าโศกเสียใจ วิธีที่จะทำให้มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นภายในใจของเราได้ ก็คือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ทำความดี ละการกระทำบาป ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปจากจิตจากใจ นี่คือวิธีนำเอาพระรัตนตรัยเข้ามาสู่ภายในใจ ยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน พระอริยสงฆ์สาวกเป็นตัวอย่าง ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร ท่านประพฤติอย่างไร ท่านปฏิบัติอย่างไร ท่านสั่งสอนอย่างไร เราก็ปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ถึงแม้จะมีพระพุทธรูปอยู่ในบ้านไว้กราบไหว้บูชา มีพระไว้ห้อยที่คอ ก็ยังไม่ได้เป็นที่พึ่งของใจเรา เพราะพระพุทธรูปมีไว้เพื่อเตือนสติเตือนใจ ให้เราประพฤติตามพระพุทธเจ้า ตามพระอริยสงฆ์สาวกเท่านั้น
ถ้าเราห้อยพระแต่ปฏิบัติสวนทางกับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เช่นทรงสอนให้ละอบายมุขต่างๆ เช่นสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร มีความเกียจคร้าน แต่เรายังเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อยู่ ยังเสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนันอยู่ ถึงแม้จะห้อยพระราคาเป็นล้านก็ตาม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เพราะพระที่ห้อยคอไม่สามารถเป็นสรณะของเราได้ สรณะที่แท้จริงต้องเกิดจากการกระทำความดี ละการกระทำบาป ละเว้นจากอบายมุขต่างๆ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงต่างหาก ที่เป็นสรณะของเรา จึงควรทำความเข้าใจไว้ว่า การจะมีสรณะมีที่พึ่งได้ เราต้องปฏิบัติ ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดำเนินในชีวิตประจำวันของเรา เช่นทรงสอนให้ทำความดี มีความกตัญญูกตเวที สำนึกในบุญคุณของผู้มีพระคุณ และตอบแทนบุญคุณตามสมควรแก่ฐานะ เช่นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เราไม่ควรลืมท่าน ควรรำลึกถึงพระคุณของท่านอยู่เสมอ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่กับท่าน ก็ควรกราบท่านไหว้ท่านเสมอ อย่างน้อยก็ทุกเช้าทุกเย็น เวลาที่กราบพระเสร็จแล้ว ก็กราบพ่อกราบแม่ เพื่อจะได้รำลึกถึงบุญคุณที่ท่านได้ให้กับเรา เพราะถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เราก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนทุกวันนี้ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดกับเรา เราต้องรำลึกถึงท่านอยู่เสมอ ถ้าไม่รำลึกแล้ว เวลาไปทำธุระต่างๆ ก็จะลืมท่านได้ อาจจะปล่อยปละละเลยไม่ดูแลท่านเลย เพราะมีเรื่องต่างๆที่ต้องทำมากมาย แต่ถ้าเรากราบไหว้ รำลึกถึงคุณพ่อคุณแม่อยู่ทุกเช้าทุกเย็น ก็จะทำให้ไม่ลืม จะทำให้คิดถึงท่าน อยากจะไปเยี่ยมท่าน อยากจะไปดูแลท่าน นี่คือการกระทำความดีในเบื้องต้น ทรงสอนให้มีความกตัญญูกตเวที
แล้วก็ให้มีสัมมาคารวะ ให้รู้จักที่สูงที่ต่ำ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ คนเราเกิดมาในโลกนี้ มีฐานะไม่เท่าเทียมกัน มีคนสูงกว่า เสมอเท่า และต่ำกว่าเรา คนที่สูงกว่าก็ต้องให้ความเคารพ เช่นครูบาอาจารย์ บิดามารดา พระสงฆ์องค์เจ้า ทางสังคมถือว่าเป็นบุคคลที่สูงกว่า ต้องให้ความเคารพ รู้จักกราบไหว้ ไม่ตีตนเสมอท่าน ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เจียมเนื้อเจียมตัว แล้วก็ทรงสอนให้มีความเสียสละ ให้คิดถึงผู้อื่น คิดถึงความลำบาก ความทุกข์ของผู้อื่น มีอะไรพอที่จะช่วยเหลือกันได้ ก็ไม่ควรดูดาย เพราะเป็นการทำความดี สร้างความสุขให้กับใจ คนที่มีความเสียสละ จะไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนใจกว้าง มีความสุข เพราะคิดถึงผู้อื่นด้วย ว่าเขาก็มีจิตมีใจเหมือนเรา มีความต้องการความสุขเหมือนเรา ถ้ามีความสุขพอเพียงแล้ว ก็ควรแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น จะทำให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้น ทรงสอนให้มีความเมตตา มีไมตรีจิต ไม่จองเวรจองกรรม รู้จักให้อภัย สอนให้มีความกรุณา สงสารผู้ตกทุกข์ได้ยาก ยินดีที่จะช่วยเหลือกัน ตามฐานะตามกำลังที่จะทำได้ นี่เป็นตัวอย่างของการกระทำความดี เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อได้ทำความดีแล้ว จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวายใจ ไม่ทุกข์ใจ แล้วก็สอนให้ละเว้นจากการกระทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เป็นการป้องกันไม่ให้เราไปทุกข์ ไปวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ คนที่มีศีลแล้วจะมีจิตใจที่สงบเย็นสบาย คนที่ไม่มีศีลจิตใจจะวุ่นวาย เพราะเวลทำผิดศีลแล้ว จะหวาดกลัว ที่จะต้องรับใช้โทษ เวลาพูดปดมดเท็จหรือลักทรัพย์ จะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ จะตำหนิ จะประณาม จะไม่คบค้าสมาคมด้วย จะเห็นว่าเป็นคนเลว เป็นคนไม่ดี เราทุกคนสามารถป้องกันตัวเรา ไม่ให้เป็นคนเลว ไม่ให้เป็นคนไม่ดีได้ ด้วยการมีศีลมีธรรม
ต้องมีสติเสมอ เวลาทำอะไรพูดอะไร ต้องรู้ว่าอยู่ในกรอบของศีลธรรมหรือไม่ ถ้าพูดปดก็ต้องรู้ ก่อนจะพูดปดถ้ามีสติรู้ว่ากำลังจะพูดปด ก็อย่าไปพูดเสีย ให้คิดว่าการพูดปดเสียหายมากกว่าสิ่งที่เราพยายามจะรักษาไว้ เราอยากจะรักษาชื่อเสีย เราก็พูดปดไป แต่แทนที่จะรักษาชื่อเสียง กลับทำให้เสียชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นไปอีก เราทำผิดอะไร แทนที่จะโกหกว่าไม่ได้ทำ ก็ยอมรับเสียดีกว่า รับแล้วก็สบายใจ ผู้อื่นก็เห็นใจ ยกโทษให้กับเรา ไม่ประณาม เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่พลั้งเผลอผิดพลาดได้ คนที่ยอมรับความผิด ถือว่าเป็นคนซื่อตรง เป็นคนดี แต่คนที่พยายามพูดปด เพื่อปกปิดความผิด ถือว่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่ดี เวลาที่จะพูดอะไรจึงควรมีสติ ต้องพูดความจริง ถึงแม้จะสร้างความเสียหายให้กับเราบ้าง ก็ยังดีกว่าพูดปด เช่นทำผิดแล้ว ก็ยอมรับผิดเสีย ก็เท่านั้นเอง ดีกว่าไปปกปิด ทำให้ไม่สบายใจ กังวลกลัวจะถูกจับได้ ว่าได้พูดปดมดเท็จ แต่ถ้ายอมรับผิดแล้ว จะสบายใจ ใครจะว่าอะไรก็พร้อมให้ว่า จะประณามก็พร้อมให้ประณาม แต่เราจะสบายใจ ไม่วุ่นวายใจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาดังสุภาษิตโบราณที่ว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วปุถุชนอย่างเราอย่างท่าน จะไม่ผิดพลาดบ้างเลยหรือ แต่เราต้องเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนสอนเรา ต้องยอมรับผิด จะได้จำไว้เป็นบทเรียน ต่อไปจะได้ไม่ทำอีก แต่ถ้าเราปกปิดความผิด คิดว่าคนอื่นไม่รู้ คราวต่อไปก็จะกลับไปทำผิดซ้ำอีก เพราะคิดว่าทำไปแล้วสามารถปกปิดได้ คนอื่นไม่รู้ แต่ภายในใจกลับสะสมความทุกข์ความวุ่นวายใจ ให้มีมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัยไป ทำให้แก้ยาก เวลาอยากจะเป็นคนดี ไม่อยากพูดปด จะรู้สึกทำได้ยาก เพราะเคยพูดปดจนติดเป็นนิสัยนั่นเอง การกระทำอย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน การลักทรัพย์ การฉ้อโกง การประพฤติผิดประเวณี การเสพสุรายาเมา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าปล่อยให้ทำไปเรื่อยๆ ก็จะติดเป็นนิสัยไป แล้วจะแก้ยาก จะเจริญก้าวหน้าเป็นคนดีไม่ได้ หาความร่มเย็นเป็นสุขภายในจิตใจไม่ได้
จึงควรมีสติเฝ้าดูการกระทำให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอยู่เสมอ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา ขอให้เห็นว่าศีลธรรมมีค่ายิ่งกว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพราะสิ่งต่างๆในโลกนี้ ไม่สามารถส่งให้ไปเกิดในสุคติ ให้ไปเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยบุคคลได้ มีศีลเท่านั้นที่จะส่งเราไปได้ ดังในท้ายศีลที่ได้แสดงไว้ในเมื่อครู่นี้ว่า สีเลนะ สุคติ ยันติ ศีลเป็นเหตุที่จะพาไปสู่สุคติ คือภพของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหม ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ศีลจึงมีคุณค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดาที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้าหาเพชรนิลจินดามาด้วยการกระทำผิดศีล เช่นไปฉ้อโกง ลักทรัพย์ โกหกหลอกลวง เราก็จะมีความร่ำรวยในชาตินี้ แต่ใจของเราได้เสื่อมจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว กลายเป็นเดรัจฉาน กลายเป็นเปรต กลายเป็นสัตว์นรกไปแล้ว เมื่อร่างกายแตกดับไป เพชรนิลจินดาที่หามาด้วยการฉ้อโกง ลักขโมย โกหกหลอกลวง ฆ่าผู้อื่น ก็จะไม่สามารถยับยั้งการไปเกิดในอบายได้ มีแต่ศีลเท่านั้นที่จะยับยั้งได้ ถ้ารักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว อบายจะไม่สามารถฉุดลากเราไปได้ เพราะมีศีลเป็นเครื่องคุ้มกันดึงเอาไว้นั่นเอง ศีลจึงมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ ขอให้เราจงเห็นศีลว่ามีคุณค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ชีวิตของเรา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ให้สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองเพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละชีวิตเพื่อรักษาคุณงามความดี คือศีลธรรมนี้เอง เพราะศีลธรรมจะทำให้ไปเกิดในภพชาติที่ดี ถ้าไม่รักษาศีล เวลาตายไปแล้ว จะได้ภพชาติที่เลว จะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะต้องไปเกิดในอบาย เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก นี่คือที่ไปของผู้ที่กระทำผิดศีลผิดธรรม
เราจึงควรปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพราะการปฏิบัติเป็นการเสริมสร้างสรณะที่พึ่งทางจิตใจ เมื่อเรากระทำแต่ความดี ละเว้นจากการกระทำบาปแล้ว จะไม่มีอะไรมาสร้างความทุกข์ สร้างความวุ่นวายใจให้กับเราได้ แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม ไม่ทำความดี ไม่ละเว้นจากการกระทำบาป เราจะมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจตลอดเวลา จึงขอให้เราเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ว่าเป็นวิถีทางที่จะพาเราไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ไปสู่ความเจริญ พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาอย่างนี้ ทรงทำความดี ละเว้นจากการกระทำบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง จนหมดสิ้นไปจากจิตจากใจ จึงได้กลายเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เมื่อก่อนนั้นพระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือนเรา เป็นปุถุชนที่ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความทุกข์กับความเกิดแก่เจ็บตาย กับการพลัดพรากจากกัน แต่หลังจากที่ได้ทรงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง จนหมดสิ้นไปจากจิตจากใจแล้ว พระทัยของพระพุทธเจ้าก็มีสรณะปรากฏขึ้นมาเป็นที่พึ่ง ที่สามารถกำจัดความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆได้ พระพุทธเจ้าจึงไม่เดือดร้อนกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย การพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นบุคคล เป็นวัตถุข้าวของต่างๆ จะไม่สร้างความทุกข์ให้กับพระพุทธเจ้าได้เลย เพราะมีเกราะคุ้มกันคือพระรัตนตรัยนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงทรงนำความรู้นี้มาสั่งสอนพวกเรา เพราะเห็นว่าพวกเรายังต้องทุกข์ ต้องวุ่นวายใจอยู่ อยากจะให้พวกเราหลุดพ้นจากความทุกข์จากความวุ่นวายใจทั้งหลาย จึงได้อุตส่าห์เสียสละเวลาตลอด ๔๕ พรรษาด้วยกัน ประกาศสอนพระศาสนาให้สัตว์โลกอย่างพวกเรา จะได้รู้จักวิธีสร้างที่พึ่งอันประเสริฐ เพื่อจะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ขอให้พวกเราให้ความสำคัญต่อการดำเนินตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำดีอยู่เรื่อยๆ ละเว้นจากการกระทำบาป ลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ในจิตในใจให้น้อยลงไปและหมดสิ้นไป เพราะถ้าทำได้แล้ว รับรองได้ว่าจะไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ ความวุ่นวายใจ ความหวาดกลัวเลย จึงขอให้นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้