กัณฑ์ที่ ๓๐๔ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๐
ผัวเดียว เมียเดียว
ชีวิตของพวกเรามี ๒ ส่วนด้วยกัน คือกายและใจ กายจำเป็นต้องมีปัจจัย ๔ ได้แก่อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นเครื่องยังชีพ ใจก็จำเป็นต้องมีปัจจัย ๔ ของใจเหมือนกัน คือบุญกุศล ไว้เป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคของใจ การที่เรามาวัดมาประกอบคุณงามความดีต่างๆ มาทำบุญทำกุศล ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยก็ดี การถวายทานทำบุญตักบาตรก็ดี การรักษาศีลก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี การฟังเทศน์ฟังธรรมก็ดี ล้วนเป็นการเสริมสร้างปัจจัย ๔ ให้กับใจ เพื่อใจจะได้มีอาหารหล่อเลี้ยง มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามไว้สวมใส่ มีที่พึ่งพาอาศัยไว้หลบภัย จากทุกข์ภัยอันตรายต่างๆ มียารักษาโรคใจ คือความทุกข์ทรมานใจ เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพุ่งมาที่ใจเป็นหลัก ดูแลรักษาใจเป็นหลัก เราจึงควรให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อใจจะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข อย่างสบาย อย่างอิ่ม อย่างพอ ไม่มีทุกข์มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ การให้ทานก็เป็นการให้อาหารใจ เวลาให้ทานแล้วจะมีความอิ่มเอิบใจ มีความสุขใจ มีความพอใจ การรักษาศีลก็เป็นการให้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามไว้สวมใส่ เพราะคนที่มีศีลจะละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เป็นคนน่าชื่นชมยินดีน่ารัก เพราะไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง ความสวยที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ไม่ได้อยู่ที่การแต่งหน้าทาปาก ทำผม ทำเล็บ ใส่เสื้อผ้าสวยๆงามๆ ซึ่งเป็นความสวยงามอย่างหนึ่ง แต่ไม่ประทับใจเหมือนกับความสวยงามทางศีลธรรม คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม แต่ถ้าความประพฤติไม่ดีเสียอย่าง ก็จะไม่น่าประทับใจ ไม่น่าชื่นชมยินดี
ไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้คนที่ไม่มีศีลมีธรรม คนที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เพราะเป็นคนที่น่ารังเกียจ ถึงแม้จะสวยงามทางด้านร่างกาย ถ้าใจไม่สวยก็หมดความหมายไป ในทางตรงกันข้ามคนที่ไม่สวยงามทางร่างกาย แต่มีความสวยงามทางจิตใจ ก็จะเป็นคนที่น่ารักน่าชื่นชมยินดี น่าคบค้าสมาคม เพราะเวลาอยู่กับคนแบบนี้ มีแต่ความสบายอกสบายใจ เราจึงต้องให้ความสำคัญต่อการรักษาศีล ถ้าอยากจะเป็นคนสวยงาม อยากให้ผู้อื่นรักชื่นชมยินดีคบค้าสมาคมด้วย ความสวยงามอยู่ตรงนี้ ความสวยงามทางร่างกายไม่จีรังถาวร เพราะร่างกายจะต้องค่อยเสื่อมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะกลายเป็นคนแก่คนชราไป ไม่มีใครเห็นคนแก่คนชราว่าเป็นคนสวยงาม เหมือนกับคนหนุ่มคนสาว แต่ความหนุ่มสาวมันไม่จีรังถาวร จะต้องค่อยๆผ่านไปหมดไป ความสวยงามทางร่างกายก็จะหมดไป ถ้าไม่มีความสวยงามทางจิตใจจะต้องว้าเหว่ ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ร่างกายก็ไม่สวยใจก็ไม่สวย ก็เลยไม่มีอะไรที่น่าประทับใจ แต่การสร้างความสวยงามทางจิตใจก็ต้องใช้เวลาพอสมควร เราจึงต้องพยายามทำเสียแต่บัดนี้ เป็นเหมือนกับการปลูกต้นไม้ กว่าจะออกดอกออกผลให้ ก็จะต้องใช้เวลานาน มีสุภาษิตที่ว่า ระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์ม้า เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน เพราะเวลารู้จักกันใหม่ๆ จะแสดงความดีงามต่อกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นการแสดงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ความดีงามที่ออกมาจากใจจริง แต่ถ้าแสดงความดีงามไปได้เรื่อยๆอย่างสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย นั้นแหละถึงจะรู้ว่าเป็นคนดี เป็นคนมีศีลมีธรรม เวลาจึงเป็นเครื่องพิสูจน์คน
ถ้าอยากจะแต่งชีวิตของเราให้สวยงามให้น่ารัก ก็ต้องทำเสียแต่วันนี้ ทำอย่างสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่รักษาศีลเพียงวันพระ แล้วอีก ๖ วันก็ทิ้งไป ไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ถ้าทำอย่างนี้ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ไว้เพียงวันเดียว แล้วก็ถอนมันขึ้นมา แล้วอีก ๖ วันค่อยปลูกลงไปในดินใหม่ ทำอย่างนี้ต้นไม้ก็จะไม่เจริญงอกงาม โตเป็นต้นไม้ใหญ่ ออกดอกออกผลได้ ฉันใดความสวยงามด้วยศีลธรรมก็เป็นอย่างนั้น จะรักษาศีลเพียงวันเดียวแล้วกลายเป็นคนน่ารักสวยงาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รักษาศีลอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง การสมาทานศีลกันทุกวันพระนี้ ไม่ได้ให้รักษาศีลเพียงแต่เฉพาะในวันพระเท่านั้น แต่เป็นการทบทวนศีลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อจะได้ไม่ลืม ถ้าไม่ทบทวนกันอยู่เรื่อยๆ เผลอไปสักระยะหนึ่ง ก็จะหายไปจากจิตจากใจ พระภิกษุสงฆ์มีศีลอยู่ ๒๒๗ ข้อ ท่านก็ต้องทบทวนกันทุก ๑๕ วัน ทุกๆ ๑๕ วันพระสงฆ์จะต้องประชุมกัน ๑ ครั้ง แล้วมีพระรูปหนึ่งเป็นผู้สวดศีลทั้ง ๒๒๗ ข้อ ให้ทราบกันให้รู้กัน เพื่อจะได้ไม่หลงไม่ลืม สิ่งใดก็ตามถ้าไม่ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อยๆแล้ว สิ่งนั้นก็จะอยู่ห่างไกลจากใจและจะจางหายหมดสิ้นไป เรื่องศีลเรื่องธรรมเป็นสิ่งที่ดีที่งาม ที่ควรรำลึกถึงอยู่เสมอ เวลารำลึกถึงศีลถึงธรรมจะทำให้ใจมีความสงบ มีความสุขโดยเฉพาะรำลึกถึงศีลธรรมที่มีอยู่ในตัวเรา จะทำให้มีความภูมิใจ ว่าเป็นคนดี ในขณะเดียวกันก็จะทำให้เห็นว่ามีข้อใดบ้างที่ยังบกพร่องอยู่ ที่ยังรักษาไม่ได้ ก็จะได้รีบปรับปรุงแก้ไข รีบรักษาเสีย
ถ้าพิจารณาเห็นว่ายังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ ยังตบยุงยังฆ่าแมลงอยู่ ก็ต้องตั้งเป้าไว้ว่าต่อไปนี้จะไม่ตบยุง ไม่ฆ่าแมลง ถ้ายังหยิบข้าวของของคนโน้นคนนี้ไป โดยไม่ได้ขออนุญาต ก็ต้องเปลี่ยนนิสัย ถ้าเป็นของของคนอื่นไม่ใช่ของเรา ก็ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน ถึงค่อยหยิบมา ถ้ายังชอบไปยุ่งเกี่ยวกับสามีกับภรรยาของผู้อื่น ก็ต้องหยุด ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าอยากจะมีความสัมพันธ์กับใคร ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามประเพณี ไปสู่ขอกัน แต่งงานกัน อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ผัวเดียวเมียเดียว เท่านี้ก็พอแล้วความสุขสำหรับมนุษย์ ที่ยังข้องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ มีสามีมากมีภรรยามาก ไม่ได้สร้างความสุขให้มีมากขึ้น แต่กลับสร้างความทุกข์ให้มีมากขึ้น ลองมีสามี ๒ คนดู มีภรรยา ๒ คนดู แล้วจะรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ความหลงมักจะหลอกใจเสมอ ให้คิดว่าได้มาแล้วจะมีความสุข แต่ไม่เคยคิดว่าความอยากไม่มีคำว่าพอ ได้มาเท่าไรก็จะไม่รู้สึกว่าพอ ได้แล้วก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก คนบางคนจึงมีสามีมีภรรยาเป็นโหล ก็เพราะความอยากเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ให้เราอิ่มให้เราพอกับสิ่งที่ได้มา เราจึงต้องใช้ศีลของพระพุทธเจ้าเป็นกรอบเป็นรั้ว คอยควบคุมความอยากไม่ให้เตลิดเปิดเปิง พาเราไปสู่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
ถ้ามีสามีคนเดียวภรรยาคนเดียว มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ชีวิตของฆราวาสจะมีความสุขมาก เพราะไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่ากับการมีสามีเดียวมีภรรยาเดียว ต่างคนต่างมีความซื่อสัตย์ต่อกัน มีความรักมีความเคารพกันไปตลอดจนวันตาย มีความสุขไปตลอดจนวันตายเลย จึงอย่ามองข้ามความสำคัญของศีลข้อ ๓ นี้ ในสังคมที่ไม่มีศาสนาทุกวันนี้ จะไม่เห็นความสำคัญ จะคิดไปตามกระแสของเดรัจฉาน คืออยากจะได้อะไร อยากจะเสพกับใคร ก็จะทำไป ไม่ต่างกับเดรัจฉานเลย เดรัจฉานจึงไม่มีงานแต่งงาน ไม่มีสามีเดียวภรรยาเดียว เจอใครที่ไหนเมื่อไร เมื่อเกิดความต้องการ ก็จะมีความสัมพันธ์กันทันที พอไม่มีความต้องการแล้ว ต่างคนต่างไปกันคนละทิศคนละทาง ชีวิตที่ไม่มีความผูกพันกันจะมีความมั่นคงได้อย่างไร เพราะมนุษย์ต้องอยู่เป็นครอบครัว อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อพึ่งพาอาศัยกัน เพราะคนเราทุกคนสักวันหนึ่งก็ต้องแก่ลง ก็ต้องอาศัยลูกหลาน อาศัยเพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหาย คอยดูแลคอยช่วยกัน ถ้าต่างคนต่างไม่มีความผูกพันกันไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ก็จะอยู่กันเยี่ยงเดรัจฉาน เวลาตกทุกข์ได้ยากลำบากลำบนเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะไม่มีใครดูแล ไม่มีใครช่วยเหลือเพราะไม่ดำเนินชีวิตตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ดำเนิน การจะมีศีลธรรมได้ก็ต้องมีคุณธรรมหลายอย่างด้วยกันคือ
๑. ต้องมีจาคะการเสียสละ เพราะเมื่ออยู่ร่วมกันจะเอาแต่ใจของเราไม่ได้ ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย ต่างคนต่างต้องเสียสละ ถ้าต่างคนต่างเสียสละแล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ถ้าไม่เสียสละ จะเอาแต่ใจของตัวเอง ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแตกแยกกัน สามีภรรยาที่ต้องหย่าร้างกันไปก็เพราะไม่มีจาคะ ไม่มีความเสียสละ ต่างคนต่างตามใจตัวเอง ถึงแม้จะเคยรักกันขนาดกลืนกินกันเลยทีเดียวก็ตาม แต่เมื่ออยู่กันไปสักระยะหนึ่งแล้วความรักแบบนั้นก็จะจางหายไป ถ้าไม่มีความรักทางด้านศีลธรรม ทางด้านจิตใจ เข้ามาทำหน้าที่ต่อแล้ว ชีวิตคู่ก็จะไม่สามารถอยู่ไปได้ตลอด จะอยู่ร่วมกันไปได้ตลอดต้องมีจาคะการเสียสละ ให้แก่กันและกัน เอาใจเขาใส่ใจเรา เขาอยากจะได้อะไร เราอยากจะได้อะไร ก็ผลัดกัน วันนี้ทำเพื่อเขา พรุ่งนี้เขาทำเพื่อเรา อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการเสียสละกัน แต่ถ้าทำเพื่อเราไปตลอดแล้ว ใครจะทนอยู่กับเราได้ ถ้าให้เราทำตามใจเขาไปตลอด เราก็จะทนอยู่กับเขาไปไม่ได้ตลอดเช่นเดียวกัน จึงต้องมีการให้แก่กันและกัน เวลาที่เขาอยากได้เราก็ให้เขา เวลาเราอยากได้เขาก็ให้เรา ถ้าอย่างนี้ก็จะอยู่กันไปอย่างยั่งยืน อย่างเป็นสุข
๒. ต้องมีสัจจะ ความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวงกัน พูดความจริง ถ้ามีความซื่อสัตย์ก็จะไม่กล้าทำผิดศีลผิดธรรม ไม่กล้าไปแอบมีอะไรนอกบ้านกับคนนั้นกับคนนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตอบคำถามถ้ามีความซื่อสัตย์ก็จะต้องพูดความจริง ก็จะไม่ไปทำในสิ่งที่เสียหายเพราะถ้าทำแล้ว แต่ไม่อยากจะบอกความจริง ก็จะต้องเสียสัจจะ เสียความซื่อสัตย์ แต่ถ้ามีความซื่อสัตย์แล้ว มันก็จะบังคับไปในตัว ทุกครั้งเวลาที่จะทำอะไร จะคิดก่อนเสมอว่า จะสามารถตอบคำถามได้หรือไม่ ถ้ามีความสงสัยในพฤติกรรมของเรา ว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
๓. ต้องมีขันติ ความอดทน เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้โรยอยู่บนกลีบกุหลาบเสมอไป บางทีก็มีขวากหนาม มีอุปสรรค มีความทุกข์ยากลำบาก เวลามีความสุขจิตใจจะสงบสบาย ไม่มีปัญหาอะไร แต่เวลาทุกข์ยากลำบาก จะยังรักษาความสงบ ความเป็นปกติของใจได้หรือไม่ หรือคิดหาทางออกที่ไม่ถูก เวลาอดยากขาดแคลนจะทนอยู่กับคู่ครองได้หรือไม่ หรือเอาตัวรอดทิ้งกันไป ถ้ามีความอดทนก็จะสู้ต่อไป ความอดทนก็ไม่ยากลำบากอะไร เพียงยอมรับความจริงว่าชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา แต่ใจไม่ได้ขึ้นไม่ได้ลงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้ารู้จักรักษาใจให้เป็นปกติ ทำใจให้เป็นอุเบกขาด้วยการทำสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ บริกรรมพุทโธๆ หรือกำหนดดูลมหายใจเข้าออก พยายามฝึกทำอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน ทุกเช้าทุกเย็น มีเวลาว่างแทนที่จะเปิดดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือไร้สาระ ก็มาทำจิตให้สงบ ให้เป็นอุเบกขา เวลามีปัญหาอะไร มีความทุกข์ยากลำบาก จะได้ใช้สมาธิเผชิญกับสิ่งต่างๆได้ เพียงทำใจให้นิ่งให้สงบ ให้เป็นอุเบกขา ให้ปล่อยวางเท่านั้น ใจก็จะไม่แบกไม่ทุกข์กับอะไร ความทุกข์อยู่ภายนอก เพียงแต่ใจเราหลง จึงไปเอาความทุกข์ภายนอกมาแบก ด้วยความอยากให้มันหายไป หรือความไม่อยากที่จะเผชิญกับมัน ก็ทำให้หนักอกหนักใจ ถ้าไม่เอาเข้ามาในใจ ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่อง จะทุกข์จะยากจะลำบากก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ก็อยู่กับมันไป ไม่ต้องไปอยากอะไรกับมัน ก็จะไม่รู้สึกหนักอกหนักใจ จะรู้สึกเฉยๆ เป็นธรรมดา ไม่เดือดร้อนอะไร จึงควรที่ฝึกทำสมาธิกัน ไหว้พระสวดมนต์ทุกเช้าทุกเย็น บริกรรมพุทโธๆไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาใด ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องคิดอะไร ก็ให้รำลึกถึงคำว่าพุทโธๆไปภายในใจ จะทำให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่แบกไม่หามกับเรื่องราวต่างๆ ปล่อยให้เรื่องราวต่างๆ อยู่ภายนอกใจ ไม่ไปดึงมันเข้ามา พอเข้ามาในใจแล้วจะทำให้หนักอกหนักใจ
๔. ต้องมีทมะ ความอดกลั้น อดกลั้นกับความรู้สึกต่างๆที่ไม่ดี เช่นความโกรธ เวลาเกิดขึ้นมาต้องอดกลั้น ไม่ปล่อยมันออกไป เวลามีความโลภก็ไม่ปล่อยให้มันออกไป เวลามีความหลงก็ไม่ปล่อยให้มันออกไป เพราะจะไปทำในสิ่งที่เสียหาย เวลาโกรธก็อยากจะทุบตีทำลายสิ่งของต่างๆ อยากจะทำลายบุคคลต่างๆ ให้มองความโลภโกรธหลงเป็นเหมือนเมฆหมอกในท้องฟ้า ไม่ได้อยู่ไปตลอด เดี๋ยวก็พัดผ่านไป อารมณ์ต่างๆที่มีอยู่ในใจก็เป็นอย่างนั้น จะโกรธจะโลภจะหลงก็ดี ไม่ได้อยู่ไปตลอด เดี๋ยวก็ผ่านไป เหมือนในขณะนี้ เราไม่มีความโกรธ ไม่มีความโลภ ไม่มีความหลงอยู่ในใจ เพราะตอนนี้กำลังฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนกับลมที่พัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ออกไปจากจิตจากใจ ถ้าเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเตือนใจอยู่เรื่อยๆ ได้ยินได้ฟังอะไรก็นำเอากลับไปคิด คิดอยู่เรื่อยๆ คิดอยู่บ่อยๆ คิดจนเป็นนิสัย เวลามีอะไรเกิดขึ้นมา เราจะมีธรรมะปัดเป่าสิงที่สร้างความทุกข์ ความหนักอกหนักใจให้กับเรา นี้คือคุณธรรมทั้ง ๔ ประการ ที่เราควรมีไว้คือ ๑. จาคะการเสียสละ ๒. สัจจะความซื่อสัตย์ ๓. ขันติความอดทน ๔. ทมะความอดกลั้น ถ้ามีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว เราจะสามารถรักษาศีลธรรมความดีงาม ให้อยู่กับเราไปได้ตลอดแล้วเราจะอยู่อย่างสงบมีอุเบกขา จะไม่โลภโมโทสันกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ นอกจากสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้นที่เราจะแสวงหา คือปัจจัย ๔ หามาด้วยความถูกต้องไม่ผิดศีลไม่ผิดกฎหมาย เมื่อได้มาพอเพียงแล้วก็ไม่ต้องไปดิ้นรนหามาอีก เอาเวลาที่เหลืออยู่มาสร้างทรัพย์ภายในใจดีกว่าเพราะทรัพย์ภายนอกนั้น ต่อให้มีมากน้อยเพียงไร เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป ก็จะไม่สามารถนำเอาติดตัวไปได้ ไม่เหมือนกับทรัพย์ภายใน เช่นบุญกุศล ที่จะติดไปกับจิตกับใจ ที่จะทำให้ไปเกิดที่ดีที่เจริญกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พาให้ไปถึงจุดที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ดำเนินไปถึงได้ ก็ต้องอาศัยเวลาว่างจากการทำมาหากิน มาบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลอย่างในวันนี้
มีเวลาว่างจากภารกิจการงานจึงมาวัดกัน แทนที่จะไปแสวงหาทรัพย์ภายนอก หาความสุขภายนอก ก็หันเข้ามาหาทรัพย์ภายใน หาความสุขภายใน ที่เกิดจากการทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นการสะสมทรัพย์และความสุขที่ไม่มีใครสามารถพรากจากเราไปได้ ไม่เหมือนกับทรัพย์ภายนอกความสุขภายนอก ที่คนอื่นสามารถพรากจากเราไปได้ อาจจะถูกคนอื่นแย่งสามีหรือภรรยาของเราไป แย่งทรัพย์สมบัติของเราไปก็ได้ แต่ทรัพย์ภายในใจ คือบุญกุศลและความสุขภายในใจ จะไม่มีใครสามารถมาพรากจากเราไปได้ มันเป็นเหมือนเงาตามตัวเรา เราไปที่ไหนมันก็ไปกับเรา ถ้ามีทรัพย์ภายในมีความสุขแล้ว ภพชาติของเราต่อไปก็จะเป็นภพชาติที่ดี จะวนเวียนอยู่แต่ในสุคติ เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้าง เป็นพรหมบ้าง และในที่สุดก็ได้เกิดเป็นพระอริยบุคคล ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้าไป นี้คือสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตของเราจะเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้ามัวไปหาทรัพย์ภายนอก ไม่สนใจต่อเรื่องศีลธรรม เวลาตายไปจะเวียนว่ายตายเกิดทั้งในภพน้อยและภพใหญ่ ถ้าทำบาปทำกรรมก็ต้องไปตกนรก ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง สลับกับการไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นเทพ ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำกันในวันนี้ ถ้าทำแต่บุญอย่างเดียว สร้างแต่กุศลอย่างเดียว ไม่ทำบาปทำกรรม ชีวิตของเราภพชาติของเราต่อไป จะมีแต่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด จึงควรให้ความสำคัญต่อการเจริญ ต่อการบำเพ็ญ ต่อการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามกำลังศรัทธา สติปัญญาความพากเพียร พยายามทำให้มาก ยิ่งมากยิ่งดี เพราะไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการดำเนินตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้