กัณฑ์ที่ ๓๐๖ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๐
ธรรมกับตถาคต
เราไม่ควรปล่อยเวลาที่มีคุณค่าให้ล่วงผ่านไป โดยไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำบุญทำกุศล เพราะชีวิตของเรามีเวลาจำกัด อายุของเราคงไม่เกิน ๑๐๐ ปีเป็นส่วนใหญ่ พอตายไปแล้วจะไม่สามารถทำความดี ทำบุญทำกุศลได้ จะทำได้ก็ตอนที่มีชีวิตอยู่ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยพิกลพิการ ก็จะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ไม่สามารถทำบุญทำกุศลทำความดีได้เท่าที่ควร จึงอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ได้ทำความดี วันๆหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ถามตัวเองอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำความดี ทำบุญทำกุศล ละบาปอยู่หรือเปล่า หรือกำลังสนุกสนานกับการหาความสุข ทางรูปกลิ่นเสียงโผฏฐัพพะ ดูสิ่งต่างๆ ฟังสิ่งต่างๆ ดื่มรับประทานอาหารชนิดต่างๆ แม้จะเป็นความสุขแต่ก็เป็นความสุขชั่วขณะตอนที่ได้สัมผัสเท่านั้น ไม่ได้เป็นความสุขที่จีรังถาวร ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ มีแต่จะให้ความหิวความกระหายความอยากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีความอิ่ม ไม่มีความพอแล้ว ต่อให้มีมากน้อยเพียงไร ต่อให้ได้สัมผัสได้เสพสิ่งต่างๆมากน้อยเพียงไร ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะจะกลับมาอยู่ที่จุดเดิม คือหิวกระหายอยากเหมือนเดิม เหมือนกับไม่ได้เสพสัมผัสมาเลย เราจึงต้องออกไปหาสิ่งต่างๆมาเยียวยาความหิวความอยาก ของกิเลสตัณหาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่วันเกิดมาจนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่ได้เคยพบกับความอิ่มความพอเลย เพราะไปหาสิ่งที่ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอกับจิตใจนั่นเอง สิ่งที่ให้ความอิ่มความพอมีอยู่ในโลกนี้ แต่เราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ต้องมีคนอย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มารู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ความอิ่มความพออยู่ตรงไหน เมื่อรู้แล้วก็นำเอามาเผยแผ่สั่งสอน ให้กับพวกเราที่ยังไม่รู้กัน เพื่อจะได้มีหูตาสว่าง จะได้ไม่หลงไปหาสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวก มาสั่งสอนอย่างต่อเนื่องแล้ว พวกเราก็จะไม่มีวันพบกับความอิ่มความพอ กับความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ได้ แต่วันนี้ชาตินี้พวกเรามีวาสนา ได้มาเกิดได้มาเจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้เจอพระอริยสงฆสาวกของพระพุทธเจ้า แม้จะไม่ได้เจอกับพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็เหมือนได้เจอ เพราะได้ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ถ้าได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับได้พบกับพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะสาระสำคัญของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา ไม่ได้อยู่ที่อาการ ๓๒ ซึ่งมีเหมือนกันหมดทุกคนในโลกนี้ มีรูปร่างมีหน้าตา มีอาการ ๓๒ เหมือนกันหมด แต่ไม่มีสาระสำคัญอะไร เพราะเป็นเพียงเครื่องมือของใจเท่านั้นเอง ใจต่างหากที่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรม เป็นพระอริยสงฆสาวก ถ้าใจได้ศึกษาได้ปฏิบัติความจริงของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้จนเข้าใจอย่างเต็มที่แล้วว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ให้ความสุข ให้ความพอกับจิตใจได้ นอกจากบุญกุศลเท่านั้น เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วจะได้ไม่ไปหลงหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก แต่หันเข้ามาหาความสุขภายในใจ ที่เกิดจากการทำบุญทำกุศลทำความดีต่างๆ พวกเราโชคดีที่ได้พบกับพระธรรมคำสอน ได้พบกับพระอริยสงฆสาวก ที่ยังสามารถนำเอาความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้ทรงเห็น มาสั่งสอนเผยแผ่ให้กับพวกเรา หน้าที่ของพวกเราคือฟัง ให้เกิดศรัทธาขึ้นมา ให้เชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อเชื่อแล้วจะได้นำเอาไปปฏิบัติต่อไป เมื่อปฏิบัติแล้วผลคือความอิ่มความพอก็จะเกิดขึ้นมาในจิตในใจ แล้วจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ภายในใจที่สงบที่ปล่อยวาง ใจจะปล่อยวางจะสงบได้ ก็ต้องทำบุญทำทาน ทำความดีต่างๆ เพราะจะทำให้เราปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด
อย่างวันนี้ญาติโยมนำเอากับข้าวกับปลาอาหารคาวหวาน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ และเงินทองที่มีค่า ที่ญาติโยมไม่ยึดไม่ติด เมื่อเห็นว่ามีเหลือกินเหลือใช้มีเกินความจำเป็น ก็ไม่เก็บเอาไว้ให้เป็นภาระทางจิตใจ เมื่อได้เอามาทำบุญ เอามาแจกจ่าย เอามาถวายให้กับพระภิกษุสามเณร และศรัทธาญาติโยมที่มาร่วมทำบุญกัน ก็จะทำให้ใจเรามีความสุข เพราะได้ปล่อยวางไปในระดับหนึ่ง ปล่อยวางข้าวของเงินทองที่มีเหลือกินเหลือใช้ ไม่หวงไม่เสียดาย เป็นการสร้างความสุขให้กับใจในเบื้องต้น ถ้าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราจะมีความอิ่มเอิบใจ มีความพอ ความบริสุทธิ์ใจหมายถึงการทำไปโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนจากผู้รับ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทนเลย เพราะสิ่งตอบแทนมีอยู่ในใจแล้ว ในใจที่ได้ปล่อยวาง ที่ไม่ต้องการอะไรจากใครทั้งสิ้น นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง คือการไม่ปรารถนาไม่ต้องการอะไรจากใคร ถ้าสามารถทำอย่างนี้ไปได้กับทุกสิ่งทุกอย่างทุกเวลาแล้ว ใจจะมีแต่ความสุขความอิ่มความพอตลอดเวลา แต่เรายังไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ทำได้เพียงส่วนที่ไม่มีความจำเป็นกับเรา ส่วนที่ยังมีความจำเป็นเราก็ยังมีความเสียดาย มีความหวง มีความอยากให้อยู่กับเราไปนานๆ ไปตลอดเวลา แต่ถ้าได้ยินได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ว่าใจไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลยก็มีความสุขได้ เป็นความสุขที่ดีกว่าการมีอะไรเสียอีก เพราะไม่ว่าจะมีอะไรก็ตาม ก็จะเป็นภาระทางจิตใจ สร้างความห่วงใย ความกังวล ความทุกข์ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุข้าวของต่างๆก็ดี บุคคลต่างๆก็ดี ร่างกายของเราก็ดี ล้วนเป็นภาระทางจิตใจทั้งสิ้น
แต่ใจไม่รู้ว่าตนสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น จึงหลงไปคว้าหาสิ่งนั้นหาสิ่งนี้มา คว้าเอาร่างกายมาเป็นเครื่องมือหาสิ่งต่างๆ เมื่อมีแล้วก็มีความทุกข์ตามมา เพราะยึดติด ไม่สามารถปล่อยวางได้ หลงคิดว่าต้องมีจึงจะมีความสุขได้ แต่เราก็มีร่างกายมาหลายปีแล้ว มีสมบัติข้าวของเงินทองมากมายก่ายกอง มีสามีมีภรรยา มีบุตรมีธิดา มีลูกมีหลาน มีเพื่อนฝูง มากมายพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่เคยพบกับความอิ่มความพอเพราะใจหลงพึ่งพาอาศัยสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ความสุข แต่เป็นสิ่งที่ไม่จีรังถาวร ไม่ได้อยู่กับใจไปตลอด สักวันหนึ่งสิ่งต่างๆที่มีอยู่ บุคคลต่างๆ ร่างกายของเราก็จะต้องแปรสภาพ เสื่อมลงไปและดับไปในที่สุด แต่ใจไม่ได้ดับตามสิ่งต่างๆ แต่ใจไม่รู้ เพราะไม่มีธรรมะ ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม ที่จะแสดงให้เห็นว่ามีใจเท่านั้นที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่สูญสลายไปเหมือนกับสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ต้องมีอะไร สามารถอยู่ตามลำพังได้อย่างอิ่มอย่างพอ อย่างมีความสุขเต็มที่ นี่คือสิ่งที่เราจะเรียนรู้ ถ้าได้พบกับพระพุทธศาสนา ได้พบกับพระธรรมคำสอน ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเราก็จะปฏิบัติตาม พยายามตัดความยึดติดในสิ่งต่างๆทั้งหมด เพราะมีมากน้อยเพียงไร ก็จะมีความทุกข์มากน้อยตามไปเพียงนั้น มีอะไรก็ต้องทุกข์กับสิ่งนั้น ทั้งในขณะที่อยู่ร่วมกันและในเวลาที่จากกัน เวลาที่อยู่ร่วมกันก็มีความห่วงความกังวล เวลาจากกันก็มีความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ ถ้าไม่มีอะไรเลยกลับจะสบาย เพราะไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ ควรทำให้ได้ ละความยึดติดในทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงร่างกายของเราด้วย เพราะไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องแตกดับไป จะยึดติดหรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องแตกดับไปเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ยึดไม่ติดก็จะไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่อาลัยอาวรณ์ ถ้ายึดติดก็จะวุ่นวาย รุ่มร้อน กังวล เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา
เป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ จะวุ่นวายหรือไม่วุ่นวาย จะเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อน ใจมีทางเลือก ทางที่ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวายก็คือปล่อยวาง ให้รู้ว่าสักวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ จะต้องจากไปทั้งหมด ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย เมื่อรู้แล้วจะไม่ยึดติด จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ เหมือนกับยืมของมา ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องคืนไป เมื่อถึงเวลาที่ต้องคืนไปก็ไม่เสียใจ ไม่เสียดาย เป็นสิ่งที่เราสามารถทำกันได้ทุกคน ถ้าเห็นว่าการยึดติดเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ ถ้าเห็นว่าการไม่ยึดติด เป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ เป็นการอยู่สุขสบายอย่างแท้จริง ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ดูพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง ท่านไม่ยึดไม่ติดกับอะไรเลย ปล่อยวางได้ทั้งหมด สมบัติข้าวของเงินทองบุคคลต่างๆ รวมไปถึงร่างกายของท่าน จะแก่จะเจ็บจะตาย จะอดอยากขาดแคลนอย่างไร ใจไม่วุ่นวายตามไปด้วย เพราะใจมีอาหารหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา คือแสงสว่างแห่งธรรม ความรู้ที่จะปลดเปลื้อง ไม่ให้ใจไปยึดไปติดไปหลงไปอาศัยสิ่งต่างๆ มาให้ความสุขกับใจ เรื่องของพระศาสนาเป็นอย่างนี้ สอนให้เราดำเนินชีวิตไปอย่างร่มเย็นเป็นสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วเราก็ต้องเชื่อ เพราะถ้าไม่เชื่อก็จะไม่สนใจที่จะฟังต่อ ไม่ปฏิบัติตาม เมื่อไม่ได้ปฏิบัติเราก็จะเป็นเหมือนเดิม เคยทุกข์กับอะไรอย่างไรก็จะทุกข์ต่อไป จะวุ่นวายกับอะไรอย่างไรก็จะวุ่นวายต่อไป จะห่วงกังวลก็ต้องห่วงกังวลต่อไป จะเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์กับอะไร ก็จะเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ต่อไป เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วก็ไม่นำเอาไปปฏิบัติ
แต่ถ้าเชื่อแล้วนำเอาไปปฏิบัติ จากง่ายไปสู่ยาก ทำในสิ่งที่ทำได้ก่อน สิ่งที่ตัดได้ก็ตัดไปก่อน สิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพก็ตัดไป เช่น ของฟุ่มเฟือย ไม่มีความจำเป็นอะไร สิ่งที่จำเป็นก็คือ ปัจจัย ๔ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ถ้ามีพอประมาณก็พอแล้ว ถ้ามีเกินเช่นมีเสื้อผ้าอยู่ล้นตู้ ไม่เคยใส่เป็นเวลาหลายปี ก็ไม่ควรเก็บไว้ให้เกะกะ ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะสร้างภาระทางจิตใจ ถ้านำเอาไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็จะได้ประโยชน์ จะได้ปลดเปลื้องภาระทางใจ ความห่วงที่จะต้องคอยดูแลรักษา และได้ความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น เวลาเห็นผู้อื่นมีความสุขจากการกระทำของเรา เราก็จะมีความสุขตามไปด้วย จะมีความอิ่มเอิบใจ มีความพอใจ จะทำให้มีกำลังใจที่จะตัด ที่จะละสิ่งต่างๆ ที่ไม่สำคัญ ที่ไม่จำเป็น การกระทำต่างๆที่ไม่มีคุณมีประโยชน์ เช่นการเสพสุรายาเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนันเป็นต้น เพราะจะสร้างความเสื่อมเสียฉุดลากให้ไปสู่ความทุกข์มากยิ่งขึ้น ถ้าเลิกได้จะทำให้มีเวลาสร้างกำลังใจ ให้สามารถตัดอุปาทานความยึดติดในสิ่งต่างๆได้ ด้วยการมาวัด มาปฏิบัติ มาถือศีล ๘ มานั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เดินจงกรม พิจารณาธรรมในลักษณะต่างๆ ให้เห็นว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ให้ความสุขที่แท้จริง แต่กลับให้ความทุกข์ เพราะสร้างความกังวล ความห่วงใย ความเสียดาย ความอาลัยอาวรณ์ ไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นสมบัติของเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายที่เราเรียกว่าตัวเราของเรา อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะกลายเป็นของสัปเหร่อไป ให้สัปเหร่อเอาไปเผาเท่านั้นเอง กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป แต่ใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย ถ้ายังหลงยึดติดอยู่กับร่างกายก็จะวุ่นวายใจ
แต่ถ้าได้บำเพ็ญได้ปฏิบัติสร้างกำลังใจ สร้างแสงสว่างแห่งธรรมให้เกิดขึ้นมาในใจแล้ว ใจจะมีกำลังตัดความยึดติดในร่างกายได้ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ตัด เมื่อตัดแล้วใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่วุ่นวายกับอะไรอีกต่อไป จะเป็นจะตายก็เท่ากัน อยู่ก็เท่ากับตาย ตายก็เท่ากับอยู่ เพราะใจไม่ได้ตาย ไม่ได้อยู่กับร่างกายนั่นเอง ใจอยู่ส่วนของใจ ใจมีธรรม มีบุญมีกุศล มีปัญญา มีแสงสว่างแห่งธรรม ไว้คอยดูแลรักษาใจให้ตั้งอยู่ในความสงบ เป็นอุเบกขาอยู่ตลอดเวลา นี้คือสิ่งที่พวกเราสามารถทำให้กับเราได้ ถ้าไม่ปล่อยให้เวลาในแต่ละวันผ่านไปหมดไป ด้วยการกระทำสิ่งที่ไร้สาระต่างๆ สะสมความทุกข์ความยึดติดต่างๆ ถ้านำเอาเวลาที่มีคุณค่ามาบำเพ็ญ มาปฏิบัติ มาทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล อย่างที่พวกเราได้มากระทำกันในวันนี้ รับรองได้ว่าชีวิตจิตใจของเราจะดีขึ้นไปตามลำดับ จนถึงจุดสูงสุดได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ในชาตินี้ก็ในชาติต่อๆไป จะไม่มีภพชาติอันยาวนาน เหมือนกับพวกที่ไม่มีความศรัทธา ไม่เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าเชื่อและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแล้ว ภพชาติก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ภพชาติที่เหลืออยู่ก็จะเป็นภพชาตที่ดี จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นเทพเป็นพรหม กลับไปกลับมาระหว่างภพทั้ง ๓ นี้ แต่จะไม่ค่อยได้ลงไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไม่ต้องไปตกนรก เพราะมีบุญมีกุศลไว้คอยคุ้มครอง คอยปกป้องไม่ให้ตกลงไป การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีแต่ได้กับได้ มีแต่ประโยชน์โดยฝ่ายเดียว พวกเราจึงไม่ควรสงสัย ไม่ควรหลงยึดติดกับสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะไม่ได้ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง มีแต่จะสร้างความทุกข์สร้างความกังวลใจให้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น จึงควรศึกษาด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ แล้วนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านไปปฏิบัติ รับรองได้ว่าชีวิตจะเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดได้สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้