กัณฑ์ที่ ๓๑๕ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๐
วันสงกรานต์
วันนี้เป็นวันมงคลอย่างยิ่งสำหรับชาวไทย เนื่องจากเป็นวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย แต่ถ้าเป็นชาวต่างประเทศ จะถือว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๓ ฝรั่งถือมากว่าเป็นวันไม่ดี ก็เป็นเพียงความเชื่อแบบไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะเดี๋ยวก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นไม่ได้อยู่กับวันที่ ไม่ได้อยู่กับวัน แต่อยู่กับการกระทำเป็นหลัก ถ้าทำความดีวันไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้าทำความชั่ววันไหนก็ชั่วทั้งนั้น นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้ยึดถือวันเวลา เพียงแต่อาศัยวันเวลาเป็นเหตุให้ได้ทำความดี อย่างวันนี้เราถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย ก็ต้องเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการทำความดีกัน ก็จะเป็นมงคลแก่ชีวิต จึงมีธรรมเนียมให้ทำความดีกัน เช่นรดน้ำดำหัว ขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ รู้จักที่สูงที่ต่ำ รู้จักผู้มีพระคุณ เช่นบิดามารดาของเราเป็นต้น ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีบุญคุณมากยิ่งกว่าพ่อแม่ของเรา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ตอบแทนเท่าไร ก็ตอบแทนไม่หมด เพราะบุญคุณของท่านล้นฟ้านั่นเอง ถึงแม้จะเลี้ยงดูท่านอย่างดี แบกท่านไว้บนบ่าบนไหล่ของเราทั้งสองข้าง ให้ท่านขับถ่ายรดตัวเรา ก็ยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณของท่านได้ อย่างน้อยเราก็ควรคำนึงรำลึกถึงบุญคุณ และพยายามตอบแทนเท่าที่จะทำได้ เช่นวันนี้เราก็ไปกราบพ่อกราบแม่ ไปรดน้ำไปขอพรจากท่าน มีอะไรที่ท่านใช้ได้เราก็เอาไปฝาก ถ้าท่านล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน เป็นการนำสิริมงคลมาให้กับเรา ดังในพระบาลีที่ทรงตรัสไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมัง กะละมุตมัง การบูชาบุคคลที่สมควรแก่การบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่ง
บุคคลที่สมควรแก่บูชาก็คือบิดามารดาของเรานั่นเอง นอกจากพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์แล้ว ก็มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ กษัตริย์ทรงธรรม ที่เป็นบุคคลสมควรแก่การบูชา การบูชาก็มีอยู่ ๒ วิธี คืออามิสบูชาและปฏิบัติบูชา อามิสบูชาคือการบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียน อย่างวันนี้เราก็เอาน้ำอบน้ำหอมโปรยด้วยดอกไม้ ไปคารวะไปรดน้ำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เราเคารพสำนึกในบุญคุณของท่าน เป็นอามิสบูชา ส่วนปฏิบัติบูชาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นการบูชาที่ดีที่สุด ที่เลิศที่สุด ถ้าไม่ได้ไปกราบพ่อกราบแม่เพราะไม่ได้อยู่ใกล้กัน ท่านก็สอนให้ปฏิบัติบูชา ทำตัวให้เป็นคนดีซื่อสัตย์สุจริต มีความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละ อย่างนี้ก็ได้บูชาพระคุณของคุณพ่อคุณแม่แล้ว เพราะบิดามารดาไม่ได้ปรารถนาอะไรจากเรา นอกจากให้เรามีความสุข ความเจริญเท่านั้น เวลาที่เราสุขเราเจริญเป็นคนดี บิดามารดาก็สุขไปกับเราด้วย แต่ถ้าเราไปทำบาปทำกรรม ไปติดคุกติดตะราง ใช้ชีวิตแบบสำมะเลเทเมา มีแต่ความเสื่อมเสีย พ่อแม่ก็จะเสียอกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีแต่ห่วงกังวล ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่ตกนรก อยากจะให้ขึ้นสวรรค์ ก็ต้องทำความดีกัน ถ้าบวชได้ยิ่งจะดีใหญ่ เพราะจะดึงให้พ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์ไปกับเราด้วย เวลาที่เราบวชพ่อแม่ก็จะต้องมาวัดมาหาเรา มาทำบุญใส่บาตร มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเหมือนบันไดที่จะพาให้ขึ้นไปสู่สวรรค์ ตามปกติแล้วถ้าเราไม่ได้บวช พ่อแม่จะไม่ได้มาวัด เพราะมีธุระมีเรื่องอะไรต่างๆที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา แต่พอเรามาบวชมาอยู่ที่วัด ด้วยความห่วงใยด้วยความรัก พ่อแม่ก็ต้องมาวัด อาจจะมาอยู่ที่วัดกับเราครั้งละ ๓ วันบ้าง ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ก็จะทำให้เขาได้ทำบุญ ได้รักษาศีล ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าได้ทำแล้ว รับรองได้ว่าเมื่อตายไป จะได้ไปสู่สวรรค์อย่างแน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้เลย
จะไม่ต้องไปตกนรก เพราะนรกเกิดจากการทำบาปทำกรรม ไม่รักษาศีล ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดโกหกหลอกลวง เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้าน ต่างหากที่จะเป็นบันไดพาเราไปสู่นรก ไปสู่อบาย ไปเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตเป็นผี อยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่กับใครทั้งสิ้น ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่มีใครเอาความดีของเราไปได้ ไม่มีใครสามารถส่งให้เราไปนรก ไปเกิดเป็นเดรัจฉานได้ แต่ถ้าเราทำแต่บาปทำแต่กรรม ก็ไม่มีใครที่จะยับยั้งห้ามไม่ให้เราไปตกนรกได้เช่นเดียวกัน ทางศาสนาจึงถือเรื่องของการกระทำเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นต้นเหตุของผลต่างๆ อย่างเช่นพวกเราที่มาเกิดเป็นมนุษย์ในวันนี้ เป็นหญิงเป็นชาย เป็นพระเป็นฆราวาส มีความแตกต่างกัน เพราะบุญกรรมที่เราได้ทำมาในอดีตชาติต่างกัน ถ้าเคยทำบุญมามาก ก็จะชอบทำบุญชอบเข้าวัด ถ้าเคยบวชก็อยากจะมาบวชอีก ถ้าเคยดื่มสุราเล่นการพนัน ก็จะไม่อยากเข้าวัด แต่อยากไปเที่ยว ไปดื่มสุรา ไปเล่นการพนัน ฐานะของพวกเราก็มีความแตกต่างกัน บางคนก็มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่า ร่ำรวยมากกว่ากัน มีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบ้าง ไม่ครบบ้าง บางคนก็ฉลาดกว่า เหล่านี้ล้วนเป็นผลของบุญกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตชาติ จึงทำให้เรามีความแตกต่างกัน ทั้งในรูปร่างหน้าตา ฐานะการเงินการทอง ความรู้ความฉลาด ที่ไม่สูญหายตอนที่ตายไป แต่ติดไปกับใจ ที่ไม่ได้ตายตามร่างกายไป ใจเป็นเหมือนกับน้ำที่อยู่ในขวด ที่ถ่ายจากขวดเก่าไปขวดใหม่ได้ ฉันใดบุญกรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อนๆก็จะติดไปกับใจ เมื่อตายจากชาติก่อนมาเกิดชาตินี้ ก็บุญกรรมนี้แลที่ส่งให้เราไปเกิดที่สูงหรือต่ำ เราจึงมีความแตกต่างกันในชาตินี้ เพราะได้ทำบุญทำกรรมมาไม่เท่ากัน
แต่อย่างน้อยก็ได้ทำในระดับเดียวกัน เพราะการจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ต้องได้รักษาศีลกันมา ถ้าไม่รักษาศีลเลยก็จะต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน เช่นสุนัขที่ถูกปล่อยไว้ในวัด ไม่ได้รักษาศีลมาในอดีต จึงต้องมาเกิดเป็นสุนัข ส่วนพวกเราเคยรักษาศีลมาจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเคยทำบุญให้ทานมากๆก็จะมีฐานะดี มีเงินมีทองมากกว่าคนที่ทำบุญน้อย ถ้าหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมหมั่นศึกษาอยู่เรื่อยๆ ก็จะเป็นคนฉลาด ถ้าไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะมีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่พิกลพิการ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน มีอายุยืนยาวนาน นี่คืออานิสงส์ของบุญและบาปที่เราได้ทำกันมา ในแต่ละภพในแต่ละชาติ จึงไม่ควรประมาทเรื่องการทำบุญทำบาป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หมั่นทำบุญอยู่เสมอ ให้หมั่นละบาปอยู่เสมอ เวลาจะทำบาปก็ให้ละเว้นเสีย อย่าทำ ถึงแม้จะได้ในสิ่งที่ต้องการมา แต่จะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป คือเสียความเป็นมนุษย์ไป เวลาไปทำบาป ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดประเวณี จิตใจของเราได้กลายเป็นเดรัจฉาน กลายเป็นสัตว์นรกไปแล้ว เนื่องจากไม่มีศีลธรรมนั่นเอง เพราะศีลธรรมเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ ถ้าไม่มีศีลธรรมก็ไม่เป็นมนุษย์ ถึงแม้จะมีร่างกายของมนุษย์ แต่ใจไม่ได้เป็นมนุษย์เสียแล้ว คนเราถึงแม้จะมีร่างกายเหมือนกัน แต่ใจอาจจะมีความแตกต่างกัน ใจของคนบางคนเป็นพรหมก็มี คนที่รักษาศีล ๘ นั่งสมาธิเข้าฌานได้ ใจอย่างนี้เป็นพรหม แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ ถ้ามีหิริโอตตัปปะ มีความละอายและกลัวบาป ทำบุญทำทานรักษาศีล ใจก็จะเป็นเทวดา ถ้ารักษาศีลแต่ไม่ชอบทำบุญให้ทาน มีความตระหนี่ ใจก็เป็นมนุษย์ ถ้าไม่รักษาศีลเลยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำบาปทำกรรม ใจก็เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เมื่อร่างกายแตกสลายไป ใจก็ต้องเป็นไปตามสถานภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ถ้าใจเป็นนรกก็จะต้องตกนรก ถ้าเป็นเทพก็จะขึ้นสวรรค์ ถ้าเป็นเดรัจฉานก็ต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน
เราเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ด้วยการกระทำของเรา ไม่มีใครเป็นคนสร้างเรา ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน เป็นผู้สร้างสิ่งที่ดีและไม่ดีให้กับตน ถ้าอยากจะได้แต่สิ่งที่ดีๆ มีแต่ความสุขความเจริญ ก็ต้องทำแต่ความดี ถ้าไม่อยากจะตกนรก ก็อย่าไปทำบาป เป็นหลักตายตัว ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ถ้าทำไปแล้วจะต้องได้รับผลอย่างแน่นอน เหมือนกับไฟที่เผาเราได้ เราจะเชื่อหรือไม่ว่ามันเผาเราได้ก็ตาม ถ้าเข้าไปหาไฟแล้ว ไฟก็จะต้องเผาเราอย่างแน่นอน ไม่มียกเว้น เชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อ ความเชื่อเป็นเหตุให้เราทำตามคำสอนของผู้รู้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ยังไม่ได้สัมผัส เราก็ต้องเชื่อไว้ก่อนจะดีกว่า เหมือนกับเชื่อหมอที่ให้ยาเรา ว่ายาจะรักษาโรคของเราให้หายได้ ถ้าไม่เชื่อหมอ กลัวว่ากินยาแล้วจะตาย โรคจะไม่หาย เราก็จะไม่กล้ากิน เมื่อไม่กล้ากิน ก็จะไม่รู้ว่ายาจะรักษาโรคให้หายได้หรือเปล่า ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องตายด้วยโรคนั้นไป
แต่ถ้าเชื่อว่ายาที่หมอให้มาจะรักษาโรคได้ เราก็รับประทานเข้าไป ไม่ช้าก็เร็วก็จะรู้ว่ารักษาโรคได้หรือไม่ ถ้ารักษาได้โรคก็หาย ถ้ารักษาไม่ได้โรคก็ยังไม่หาย อย่างน้อยเราจะได้รู้ เช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็จะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ถ้าเชื่อแล้วลองปฏิบัติดู จะรู้ได้ในชาตินี้เลยไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนว่า นรกมีจริงหรือไม่ สวรรค์มีจริงหรือไม่ การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ บาปบุญมีจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราเห็นได้ในชาตินี้เลย ในขณะที่ปฏิบัติ เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา สมัยพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร สมัยนี้ก็เป็นเหมือนกัน คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เสื่อมไปกับกาลกับเวลา มีอานุภาพ มีประสิทธิภาพเท่ากันทุกยุคทุกสมัย ถ้าปฏิบัติก็จะได้ผลอย่างแน่นอน จึงขอให้เชื่อและพยายามปฏิบัติตาม แล้วจะได้รับแต่สิ่งที่ดีที่งาม ได้แต่ความสุขและความเจริญ ขอให้นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เนื่องในวันสงกรานต์นี้กันต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้