กัณฑ์ที่ ๓๑๗       ๑๕ เมษายน ๒๕๕๐

 

ของใครของมัน

 

 

 

วันนี้เป็นวันที่ ๓ ของเทศกาลสงกรานต์ เป็นเวลาที่เหมาะแก่การทำบุญทำกุศล เพราะไม่มีอะไรที่จะมีคุณมีประโยชน์กับชีวิตจิตใจเท่ากับบุญและกุศล มีบุญมีกุศลมากเพียงไร ก็จะมีความอบอุ่นใจสุขใจ ปลอดภัยจากทุกข์ภัยต่างๆ ที่คอยเหยียบย่ำจิตใจมากเพียงนั้น เพราะบุญกุศลนี้แลเป็นเกราะคุ้มกันป้องกันจิตใจ    ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะปกป้องคุ้มครองจิตใจได้เท่ากับบุญและกุศล ต่อให้มีเงินทองกองเท่าภูเขา เป็นนายกรัฐมนตรี   เป็นประธานาธิบดี  ก็ไม่สามารถป้องกันความทุกข์ให้เข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจได้ นายกฯและประธานาธิบดีก็ยังร้องไห้ยังเครียดได้  มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เครียดไม่ทุกข์กับอะไรทั้งสิ้น   เพราะมีบุญกุศลคอยคุ้มครองคอยปกป้องนั่นเอง     บุญและกุศลนี้แลคือสิ่งที่วิเศษที่ประเสริฐ สิ่งต่างๆในโลกนี้ล้วนเป็นวัตถุทั้งนั้น ไม่วิเศษวิโสอะไร เราไปสมมติว่าวิเศษอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้เอง   แต่ความจริงเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ  ไม่อยู่กับเราไปตลอด   สักวันหนึ่งเราก็ต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างไป รวมทั้งร่างกายของเรา กลับคืนไปสู่ดินน้ำลมไฟ ถ้าไม่มีบุญมีกุศล เวลาที่ต้องคืนสิ่งต่างๆไป  จิตใจจะวุ่นวาย  จะทุกข์อย่างมาก  จะกินไม่ได้นอนไม่หลับ  แต่ถ้าได้สะสมบุญกุศลไว้ในจิตใจแล้ว จะมีที่พึ่งทางใจ  เพราะบุญและกุศลเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของใจ อยู่กับใจไปตลอด  ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จะไปเกิดที่ไหน  ชาติไหนภพไหน บุญกุศลจะดูแลเราตลอดเวลา    ส่วนสมบัติและบุคคลต่างๆที่เรามีอยู่ในชาตินี้  จะไม่ได้ติดตามเราไป  ไม่สามารถไปกับเราได้  อย่างมากก็ทำบุญอุทิศส่วนบุญให้เราไป   ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆ เหมือนกับเงินค่ารถเท่านั้นเอง  

 

ไม่มากเหมือนบุญที่เราทำในขณะที่มีชีวิตอยู่ ที่เราได้ ๑๐๐ ทั้ง ๑๐๐ แต่บุญอุทิศเราอุทิศได้เพียง  ๑ ใน ๑๐๐  เท่านั้นเอง   อีก ๙๙ ส่วนเป็นของผู้ทำ เพราะฐานะของผู้รับบุญอุทิศเล็กนิดเดียว เป็นเหมือนแก้วใบหนึ่ง ไม่ได้เป็นแท็งก์ใหญ่ๆ  จึงไม่สามารถรับบุญอุทิศได้ทั้งหมด   รับไปพอช่วยส่งให้ไปเกิด ไปเสวยบุญเสวยกรรมต่อไปเท่านั้นเอง     เราจึงอย่าหลงยึดติดกับสิ่งต่างๆในโลกนี้มากจนเกินไป   เราได้สัมผัสกันมาแล้วมากมายก่ายกอง  ถ้าจะทำให้เราพ้นทุกข์ เราก็ควรพ้นทุกข์ไปนานแล้ว    แต่ทุกวันนี้เรากลับมีความทุกข์มากยิ่งกว่าสมัยที่เป็นเด็ก  เพราะเรามีสิ่งต่างๆมากขึ้น   ก็มีความยึดติดมากขึ้น   ความทุกข์จึงมีมากขึ้น   ต้องแบกสิ่งต่างๆไว้ในอกในใจ  ไม่เหมือนตอนเป็นเด็ก  วันๆหนึ่งไม่มีอะไรต้องยึดติด  เพียงมีอะไรเล่น มีอะไรกิน  แล้วก็ได้นอน ก็มีความสุขแล้ว   แต่พอโตขึ้นมากิเลสก็โตตาม   หลอกเราว่าถ้าได้มามากๆแล้วจะมีความสุขมากๆ เราจึงหากันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย   พอได้มาแล้วก็ต้องวุ่นวายใจ เพราะไม่ได้ให้ความสุขดังใจ  ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้  แทนที่จะให้ความสุขกลับกลายเป็นความทุกข์ไป  จึงต้องไปหาใหม่มาอยู่เรื่อยๆ   ถ้าได้สมความอยาก ก็เกิดความหวงแหน ไม่อยากจะให้จากเราไป  เวลาไม่เห็นกันก็จะกังวล  ไม่รู้ว่าจะได้เห็นกันอีกหรือเปล่า   เพราะอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน    มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา   มีเกิดได้ก็มีดับได้   มาได้ก็ไปได้    นี้แลคือต้นเหตุของความทุกข์ของพวกเรา   ไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆที่กิเลสหลอกให้ไปหาไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง ให้เพียงเล็กน้อย แต่แถมความทุกข์มาให้อีกมากมายก่ายกอง 

 

ถ้ามีบุญมีกุศลจะทำให้เราปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด มีความสุขกับสิ่งต่างๆตามความจริงของเขา  ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้น  ถ้าเขาดีก็ดีไป   ถ้าไม่ดีก็ไม่เป็นไร   รับได้ทั้ง ๒ อย่าง   ถ้าอยู่ก็อยู่ไป   ถ้าจะจากไปก็ได้   เพราะเรามีปัญญา  รู้ว่าถ้าไปยึดไปติดกับอะไรแล้ว จะต้องทุกข์  ถ้าไม่ยึดไม่ติดก็จะไม่ทุกข์  อยู่ด้วยกันก็ไม่ทุกข์  จากกันก็ไม่ทุกข์  แต่ถ้ายึดติด อยู่ด้วยกันก็ทุกข์   จากกันก็ทุกข์  เพราะความหลงทำให้ไม่รู้จักพอ ไม่มองตามความจริง มีอะไรมากน้อยเพียงไร ก็ไม่ดีพอ   อยากจะให้ดีกว่านี้   มีสามีก็อยากจะให้ดีกว่านี้    มีภรรยาก็อยากจะให้ดีกว่านี้   มีลูกก็อยากจะให้ดีกว่านี้   ไม่เคยมองความจริงเลยว่าเขาดีได้เท่านี้   เขาเป็นได้เท่านี้  ถ้าเขาดีกว่านี้ได้ ก็ดีได้ไปนานแล้ว ไม่ต้องให้เรามาคอยเคี่ยวเข็ญ มาคอยบ่น  เพราเราทำบุญทำกรรมมาไม่เท่ากัน  จึงรับผลของบุญและกรรมไม่เท่ากัน  ดีบ้างไม่ดีบ้างผสมกันไป เวลาอยู่กับใครจึงไม่ควรมองแต่ส่วนที่ไม่ดี เพราะจะไม่สบายใจ   มองในส่วนที่ดีจะสบายใจ  ต้องมองในเวลาที่ต้องจากกันด้วย   ไม่เช่นนั้นแล้วจะเสียอกเสียใจ   เวลาอยู่ร่วมกันก็ควรเมตตากันรักกัน สงสารกันช่วยเหลือกัน    มีปัญหาอะไรพอจะช่วยแก้ได้ก็ช่วยกันไป  อย่าด่าอย่ามาว่ากัน ไม่เกิดประโยชน์อะไร  ช่วยแก้ปัญหากันดีกว่า   ความผิดพลาดนั้นเกิดได้กับทุกคน    เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อย่าโทษอย่าว่ากัน ไม่เกิดประโยชน์อะไร    นอกจากสอนกันว่า เพราะทำอย่างนี้จึงทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา  อย่าไปทำอีกก็แล้วกัน  อย่าไปโกรธ   อย่าไปโมโห เวลาใครทำอะไรผิดพลาด  สร้างความเสียหายขึ้นมา  เพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น  ถ้ามีสติมีปัญญาก็จะรู้จักแยกแยะ   คนอื่นจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา   ถ้าช่วยได้ก็ช่วยไป    ถ้าช่วยไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม    

 

แม้แต่ตัวเราเองบางทีก็ยังช่วยไม่ได้เลย   อยากจะให้ดีกว่านี้ก็ยังทำไม่ได้เลย เช่นมาอยู่วัด  ก็ยังทำไม่ได้  ถือศีล ๘ ก็ยังถือไม่ได้   แล้วเรื่องของคนอื่นจะไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร     ถ้ารู้ว่าอะไรดีก็สอนกันได้บอกกันได้   ถ้ารับได้ก็เป็นประโยชน์เป็นบุญไป  ถ้าไม่ยินดีไม่ต้องการก็ไม่เสียหายอะไร เพราะความหลงทำให้เรารัก ทำให้เรายึดติด ทำให้เราห่วงคนใกล้ตัวเรา  เช่นสามีภรรยาลูก ญาติพี่น้องของเรา   อยากจะให้เขาดี แต่ความอยากบางทีก็ทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดีไป ไปจ้ำจี้จ้ำไช  ไปพูดไปบ่น จนเขารำคาญ  ไม่อยากจะเจอหน้าเรา   เวลาสอนใครต้องรู้จักประมาณ  พูดพอสมควร  พอให้รู้เรื่อง  พอรู้แล้วก็จบ ไม่ต้องไปพูดซ้ำๆซากๆ  ถ้าเขาอยากจะทำเขาทำไปนานแล้ว    ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำอยู่นั่นแหละ ต่อให้พูดอีกกี่ร้อยครั้งก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  แทนที่จะเห็นบุญเห็นคุณ กลับเกลียดชังเรา  ไม่อยากจะฟังเราพูด  ไม่อยากจะเห็นหน้าเรา  แล้วในที่สุดก็ต้องหนีจากเราไป     ทั้งๆที่เราอยากจะให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ แต่การกระทำของเรานั่นเองที่ทำให้เขาต้องจากเราไป  เพราะเขาไม่มีความสุข เวลาเห็นหน้าเราทีไรก็ทำหน้ายักษ์หน้ามารใส่เขาทุกที   แทนที่จะเป็นพระ เป็นแม่พระ  เป็นพ่อพระ  ก็เป็นยักษ์เป็นมารใส่เขา  เราจึงต้องดูตัวเราว่ากำลังเป็นอะไร   เป็นพระเป็นยักษ์   ถ้าเป็นยักษ์ก็ต้องรีบแก้ไข   เช่นเวลาเราโกรธ เพราะเขาทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจเรา  อย่าไปแก้เขา  อย่าไปว่าเขา  ควรระงับความโกรธก่อน  เมื่อหายโกรธแล้วค่อยพูดกัน  ถ้าพูดเวลาโกรธเขาจะไม่ฟังเราอยู่ดี  เพราะพูดด้วยอารมณ์    พูดเพื่อจะเอาชนะกัน    

 

นี่คือเรื่องของพวกเรา   เราขาดบุญขาดกุศลกัน  เพราะไม่ฟังเทศน์ฟังธรรมกัน    มัวแต่หาเงินหาทอง  แล้วก็เอาเงินทองไปเที่ยวกันไปเล่นกัน  เมื่อหมดเงินหมดทองก็ไปหามาใหม่ แล้วก็เที่ยวเล่นกันใหม่ วนไปอย่างนี้  แล้วก็ต้องทุกข์กับเรื่องนั้นทุกข์กับเรื่องนี้   วุ่นวายกับเรื่องนั้นวุ่นวายกับเรื่องนี้   เพราะไม่มีบุญกุศลคอยปกป้องคุ้มครอง    เราจึงต้องเข้าวัดกัน  พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันพระขึ้นมาอาทิตย์ละ  ๑  ครั้ง เพื่อให้เราได้มีเวลาปล่อยวางการหาเงินหาทอง  การใช้เงินใช้ทอง แล้วมาสร้างบุญสร้างกุศลกัน    สร้างความสุข   สร้างปัญญาความฉลาดให้กับจิตใจ  เพื่อจะได้อยู่เป็นสุข เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดที่ดีกว่าเก่า  ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเก่า  ฉลาดกว่าเก่า   มีเงินทองมากกว่าเก่า  แต่ถ้าไม่ทำบุญทำกุศลเลย  มัวแต่หาเงินหาทองแล้วก็ใช้เงินใช้ทอง    พอตายไปก็จะไม่มีบุญกุศลไว้ดูแล   ไปเกิดข้างหน้าก็จะแย่กว่าเดิม   เพราะใช้บุญเก่าเสียหมดแล้ว  ชาตินี้เรากำลังใช้บุญเก่า  จึงมีเงินทองใช้กัน แต่ใช้ไม่ถูกวิธี  แทนที่จะเอามาสร้างบุญไว้สำหรับชาติหน้า เราก็ใช้เสียหมด เกิดมาชาตินี้มากินบุญเก่า   แต่ไม่สร้างบุญใหม่   พอไปข้างหน้าก็จะยากจนในเรื่องบุญกุศล ทำให้เกิดเป็นคนยากจน  ไม่มีสติปัญญา   ไม่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม   นี่คือเรื่องของบุญของกุศล   ซึ่งพวกเราอาจจะมองไม่เห็นกัน อาจจะไม่เชื่อกันก็ได้  แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้เห็นแล้วอย่างแจ้งชัด  จึงได้นำมาสั่งสอนพวกเรา  เพราะรู้ว่าพวกเราเป็นเหมือนคนตาบอด มองไม่เห็น ไม่มีทางจะเห็นได้ นอกจากจะลืมตาขึ้นมาเท่านั้น 

 

พระพุทธเจ้าจึงมาสอนให้พวกเราลืมตากัน   ด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล  ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม เพราะเป็นวิธีที่จะเปิดตาในให้สว่างขึ้นมา  ทำให้เห็นบุญบาป นรกสวรรค์  เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ที่คนตาดีอย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มองเห็นอยู่ตลอดเวลา     แต่พวกเราเป็นคนตาบอดจึงมองไม่เห็นกัน    ถ้าลองหลับตาดูตอนนี้ก็จะมองไม่เห็นอะไร   คนที่หลับตากับคนที่ลืมตานั้นต่างกัน ฉันใดคนที่มีบุญมีกุศลกับคนที่ไม่มีก็เป็นอย่างนั้น  เหมือนคนหลับตากับคนลืมตา    เราจึงต้องมาเบิกตาในให้เปิดขึ้นมา ให้เห็นสิ่งต่างๆ เมื่อเห็นแล้วจะไม่กล้าไปทำบาปอีกต่อไป จะทำบุญอย่างเดียว   จะไม่เสียเวลาหาเงินหาทอง ใช้เงินใช้ทอง จะทุ่มเทชีวิตจิตใจกับการสะสมบุญและกุศลอย่างเดียว   มีเงินทองมากน้อยเพียงไรก็บริจาคไปหมดเลย  สละไปหมดเลย   มีลูกมีเมียมีสามีก็สละไปหมดเลย แล้วก็ออกบวชตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้าทรงเห็นอย่างนั้นจึงกล้าที่จะตัดสิ่งต่างๆ  สละสิ่งต่างๆได้   แต่พวกเรายังมองไม่เห็น จึงต้องเข้าวัดฟังธรรมบ่อยๆ แล้วนำเอาไปปฏิบัติ  ไม่ช้าก็เร็วก็จะเห็น  เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่รู้ว่าจะมีสมบัติต่างๆไว้ทำไม  เพราะเป็นความทุกข์ทั้งนั้น   การไม่มีอะไรนี้แลดีที่สุด   มีสามีก็ต้องทุกข์กับสามี  มีภรรยาก็ต้องทุกข์กับภรรยา  มีลูกก็ต้องทุกข์กับลูก   คนที่ไม่มีสามีไม่มีภรรยาไม่มีลูก ก็ไม่ต้องทุกข์กับสามีกับภรรยากับลูก  นี่ก็เห็นได้อย่างชัดๆ  แต่ทำไมยังอยากจะมีกันนัก  เพราะความหลงมีอานุภาพมาก  มีกำลังมาก   ความฉลาดคือปัญญาเรามีน้อย   ถ้าไม่เสริมสร้างบุญกุศลคือปัญญาแล้ว เราก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 

ถ้าหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วปฏิบัติตาม  เราจะมีปัญญามากขึ้นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราจะชนะความหลงได้  จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย ไม่ต้องทุกข์  ไม่ต้องวุ่นวายใจ  ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เพราะเราสามารถกำจัดความหลงได้   แต่ต้องมีความกล้าหาญ  มีความขยัน ที่จะศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า   อย่าไปเสียดายสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพราะสักวันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งไปหมด   แม้แต่ร่างกายของเรา  ก็ต้องทิ้งมันไป  จะทิ้งแบบไหนดี  ทิ้งแบบขาดทุนหรือแบบกำไร  ถ้าทิ้งแบบขาดทุนก็ไม่ต้องทำบุญทำกุศล   ก็จะได้ทิ้งแบบขาดทุน แบบวุ่นวาย แบบเศร้าโศกเสียใจ ถ้าทิ้งแบบกำไรก็ต้องทำบุญทำกุศล จะได้ทิ้งแบบปล่อยวาง แบบสบายอกสบายใจ  เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทิ้งสิ่งต่างๆไป  เวลาจากโลกไปท่านไม่เสียใจ   ไม่เสียดายอะไร  ไม่ทุกข์กับอะไรทั้งสิ้น   พวกเราทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า  คิดดูให้ดี เพราะสักวันหนึ่งเราจะต้องเจอกับวันนั้นกันทุกคน  วันที่เราจะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป จะมีบุญกุศลช่วยเราหรือเปล่า  ถ้าไม่ทำบุญทำกุศลตั้งแต่วันนี้แล้ว จะไปหาบุญกุศลจากที่ไหน  เพราะบุญกุศลเป็นของใครของมัน   ของพระพุทธเจ้าก็เป็นของพระพุทธเจ้า   แจกจ่ายให้เราไม่ได้   ของเพื่อนของพี่ของน้องของพ่อของแม่ก็แจกจ่ายให้เราไม่ได้  เพราะบุญกุศลเป็นของใครของมัน  ต้องสร้างกันขึ้นมาเอง   ไม่มีใครสร้างให้กันได้   เราทำได้ ทำไมไม่ทำ จะเสียใจภายหลัง    เราจึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพราะพระพุทธเจ้าไม่โกหกหลอกลวง  คำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมากมายถึง  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์  ล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เป็นคำเท็จเลย เราเชื่อได้อย่างมั่นใจ 

 

เหมือนกับเชื่อหมอ   เวลาหมอให้ยามารับประทาน   เราก็รับประทานทุกเม็ด  เพราะเชื่อว่ายาที่หมอให้นี้จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้  ฉันใดคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเหมือนยารักษาความทุกข์ใจ   ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ  ให้เสียสละ  ให้ละนั้น จะช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ได้    ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และตายไป   เราจะไม่ทุกข์กับอะไร  ถ้าสร้างบุญสร้างกุศลจนมีเต็มเปี่ยมอยู่ภายในหัวใจแล้ว   จะไม่มีช่องว่างให้ความทุกข์เข้ามาสู่จิตสู่ใจได้เลย  จึงควรหมั่นศึกษา  หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรม  แล้วปฏิบัติตาม ถึงจะยากจะลำบากอย่างไร ก็ให้คิดว่าเป็นความยากลำบากเพื่อความสุขในบั้นปลาย   ดีกว่าความสุขความสะดวกสบาย จากการกินการดื่มการเที่ยวการเล่น แล้วต้องไปทุกข์ในบั้นปลาย ลำบากในเบื้องต้นแล้วสบายในบั้นปลาย จะดีกว่าสบายในเบื้องต้นแล้วทุกข์ในบั้นปลาย  เพราะเมื่อถึงเวลานั้นความสุขต่างๆที่ได้สัมผัสมาจะหายไปหมด จะมีแต่ความทุกข์รุมเร้าจิตใจอยู่ตลอดเวลา  ถ้าลำบากตอนนี้ พอได้ความสุขในตอนปลาย ความทุกข์ต่างๆก็จะหายไปหมด จะมีแต่ความสุขอยู่ตลอดเวลา  จึงขอให้นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ จะได้บุญและกุศลเป็นสมบัติ เพื่อปกป้องคุ้มครองรักษา ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งปวง การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้