กัณฑ์ที่ ๓๒๗       ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐

 

สวยจริง สวยปลอม

 

 

 

ความสวยงามที่แท้จริงต้องสวยที่ใจ ไม่ได้สวยที่ร่างกาย ที่ไม่จีรังถาวร ต่อให้แต่งให้เสริมมากน้อยเพียงไร ไม่นานก็เสื่อมหมดไป สู้กับกาลเวลาไม่ได้ เพราะร่างกายอยู่ภายใต้กฎของอนิจจังทุกขังอนัตตา มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าไปหลงยึดติด อยากจะให้สวยให้งามไปตลอด ก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา  เพราะไม่ได้เป็นไปตามที่ปรารถนา ไม่ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้เป็นของเรา  ความสวยงามที่เราเสริมสร้างให้อยู่กับเราไปได้ตลอด ก็คือความสวยงามทางจิตใจ ที่ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันสลาย ไม่มีวันหมดไป ถึงแม้ร่างกายจะแก่ชรา ไม่สวยไม่งาม ถ้าสวยในใจ ก็ยังน่ารักน่าชื่นชมยินดีน่าประทับใจ คนเราจึงมีความสวยงามอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน คือสวยกายและสวยใจ ถ้าเป็นดอกไม้ก็มีรูปสวยและมีกลิ่นหอม ดอกไม้จึงมีอยู่ ๔ ชนิดด้วยกันคือ ๑. รูปสวยกลิ่นหอม  ๒. รูปสวยกลิ่นไม่หอม   ๓. รูปไม่สวยแต่กลิ่นหอม  ๔. รูปไม่สวยกลิ่นไม่หอม คนเราก็เป็นเหมือนดอกไม้มีอยู่ ๔ ชนิดเช่นเดียวกันคือ ๑. สวยทั้งรูปสวยทั้งใจ   ๒. สวยแต่รูปแต่ใจไม่สวย  ๓. รูปไม่สวยแต่ใจสวย  ๔. รูปไม่สวยใจไม่สวย พิจารณาดูตัวเราเองว่าเป็นชนิดไหน ถ้าไม่สวยทางใจก็ควรเสริมสร้างขึ้นมา เพราะเราสามารถเสริมความสวยของใจได้ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะมีอายุมากมีอายุน้อย  เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแก่เฒ่าชรา  ส่วนความสวยทางกายเป็นความสวยที่ไม่จีรังถาวร เสริมอย่างไรไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเสื่อมไป  เช่นตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน เราก็อาบน้ำอาบท่า แต่งหน้าทาปาก หวีเผ้าหวีผม  ใส่เสื้อผ้าสวยงาม  พอตกเย็นกลับบ้านหน้าตาก็ห่อเหี่ยว มีเหงื่อไคล มีกลิ่น  ความสวยตอนเช้าก็หายไปเหลือแต่ความไม่สวย เพราะเป็นธรรมชาติของร่างกาย ที่จะต้องเสื่อมอยู่เรื่อยๆ เราจึงต้องคอยเสริมอยู่เรื่อยๆ  ต่อให้เสริมให้มากน้อยเพียงไร ก็สู้กับกาลเวลาไม่ได้ เมื่อแก่แล้วก็จะไม่สามารถเสริมได้อีกต่อไป

 

แต่ใจไม่ได้แก่ไปกับกาลกับเวลา  ไม่ได้แก่ไปกับร่างกาย มีแต่จะสวยขึ้นไปเรื่อยๆ  ถึงแม้ร่างกายจะแตกดับไป  ความสวยของใจก็ไม่ได้สูญหายไปด้วย  ไปเกิดในภพหน้าชาติหน้า จะสวยทั้งกายและใจ เพราะความสวยงามของใจ มีผลต่อความสวยงามของร่างกาย ในภพหน้าชาติหน้าอีกด้วย คือถ้าเราได้เสริมความสวยงามของใจ ด้วยการทำความดี ทำบุญทำทาน รักษาศีลอยู่เรื่อยๆ  พอไปเกิดในภพหน้าชาติหน้า เราจะมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม มีความสุขความสบาย มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองมากกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ เป็นอานิสงส์ของการเสริมความสวยงามทางใจ  เราจึงควรให้ความสำคัญ มากกว่าความสวยงามทางร่างกาย ร่างกายก็ต้องดูแลให้น่าดู ไม่ให้สกปรก อาบน้ำอาบท่า หวีเผ้าหวีผม เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับร่างกาย ไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ใช้น้ำหอม  ใช้เสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆงามๆมาเสริม  สู้เอาเวลาเอาเงินทองมาเสริมความงามทางใจจะดีกว่า ระหว่างของจริงกับของปลอม เราจะเอาอย่างไหน เราก็ต้องเอาของจริง ไม่มีใครต้องการของปลอม  ฉันใดความสวยงามก็เหมือนกัน มีทั้งของจริงและของปลอม  ความสวยงามทางร่างกายเป็นของปลอม  ความสวยงามทางใจเป็นของจริง ที่จะยังประโยชน์สุขให้กับเราได้อย่างแท้จริง จึงควรหมั่นเสริมความสวยงามทางใจ ด้วยการทำความดีกัน ให้รู้จักให้ รู้จักเสียสละ อย่าเอาแต่ได้ อย่าเอาแต่ใจของตน  อย่าเห็นแก่ตัว เพราะไม่สวยงาม ไม่น่ารัก ความสวยงามของใจอยู่ที่การให้ การเสียสละ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซื่อสัตย์สุจริต ส่วนความไม่สวยงามของใจ ก็คือความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย

 

จึงอย่าหลงประเด็น อย่าหาความสวยงามทางร่างกาย จะเสียเวลาไปเปล่าๆ เสียชาติเกิด ไม่ได้สร้างบุญบารมี ไม่ได้สะสมทรัพย์ภายใน ที่จะพัฒนาชีวิตจิตใจให้ดีขึ้นให้สูงขึ้น เกิดชาติหน้าแทนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง ไปตกนรกบ้าง เพราะไม่ได้ดูแลรักษาจิตใจ ปล่อยให้กลายเป็นใจของเดรัจฉาน ของสัตว์นรก  ถ้าหมั่นทำความดี เสียสละ ให้ทาน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีแต่คอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เรื่อยๆ  เวลาตายไปใจก็ได้ไปเกิดเป็นเทพ หลังจากหมดบุญก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เป็นเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เป็นกฎแห่งกรรม ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเท่านั้น ที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเราไม่มีทางเห็นได้เลย เพราะเป็นเหมือนคนที่ปิดตานั่นเอง จะไปเห็นอะไรได้ นอกจากเห็นความมืด หรือเห็นไปตามจินตนาการของตน เช่นเห็นว่าทำบุญแล้วสูญ ทำบาปแล้วสูญ ถ้าเห็นตามความจริงจะต้องเห็นว่าบาปมีจริง บุญมีจริง ผลของบาปและบุญก็มีจริง คือนรกสวรรค์ก็มีจริง  มรรคผลนิพพาน การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็มีจริง เกิดจากการทำความดีหรือการทำความชั่วทำบาปนี่เอง ถ้าอยากจะไปดี เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ไป ก็ต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ทำ ได้สอนให้พวกเราทำ  ถ้าทำตามแล้วก็จะได้ไปที่เดียวกัน เพราะท่านเป็นเหมือนผู้บอกทาง ท่านรู้ว่ามีสถานที่ที่น่าไป ที่มีแต่ความสุข ความอิ่ม  ความพอ ปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งหลาย ท่านไปมาแล้ว จึงบอกพวกเรา ถ้าเชื่อก็ปฏิบัติตาม ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะไปถึงที่เดียวกัน  ไม่มีทางอื่น ต้องเชื่ออย่างเดียว เพราะเราเป็นเหมือนคนตาบอด จะไปเชื่อตัวเองได้อย่างไร  เพราะไม่รู้ว่าที่จะไปอยู่ตรงทิศไหน เหนือใต้ตะวันออกหรือตะวันตก  แล้วจะไปถึงได้อย่างไร ต้องอาศัยคนตาดีชี้ทางให้ 

 

จึงต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ ฟังแล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ อย่างวันนี้ท่านสอนให้เราสร้างความสวยงามทางจิตใจ เพราะจะทำให้เราเป็นคนน่ารักน่าชื่นชมยินดี  มีความสุขความเจริญ ได้ไปถึงที่เดียวกัน ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ไปถึง จึงควรทุ่มเทเวลาให้กับการเสริมสวยความงามทางใจ  อย่าไปเสียเวลากับการเสริมสวยทางกายเลย เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร คนสวยทางกายแต่ไม่สวยทางใจ ไม่มีใครชื่นชมยินดี  หลอกได้ก็เฉพาะคนตาบอดเท่านั้น  คนที่ไม่รู้จักเรา  เห็นเราแต่งตัวสวยงาม ก็ชื่นอกชื่นใจ ดีอกดีใจ เพราะยังไม่รู้ใจ  ยังไม่รู้ธาตุแท้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าอยู่กับเราไปก็จะรู้เอง เมื่อรู้แล้วก็จะไม่อยากจะอยู่กับเรา เราก็ต้องไปหาคนอื่น ไปหลอกคนอื่นต่อ ด้วยความสวยกาย ถ้าสวยใจ จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร  มีฐานะอย่างไร จะยากดีมีจนอย่างไร ก็ไม่สำคัญ จะน่ารักน่าชื่นชมยินดี น่าเลื่อมใสศรัทธา เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เราไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของท่านเลย แต่ได้ยินกิตติศัพท์ที่ดีงาม เราก็อดที่จะมีความชื่นชมยินดี มีความเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้ พระสงฆ์องค์เจ้าทั่วๆไป ท่านก็ไม่มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามอย่างไร ไม่ได้ใช้เครื่องสำอาง ไม่ได้ทำผม เพราะไม่มีผมจะทำ ท่านโกนศีรษะทุกเดือน นุ่งห่มจีวรเหมือนกันทุกองค์ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร  เป็นเพียงผ้านุ่งห่มปกปิดร่างกาย  แต่กลับน่าชื่นชมยินดี  น่าเลื่อมใสศรัทธา  น่าเคารพนับถือ เพราะไม่ได้เคารพนับถือกันที่กาย แต่ที่ใจต่างหาก เพราะใจของท่านมีศีลมีธรรมนั่นเอง  

 

ศีลธรรมนี่แลคือความสวยงามที่แท้จริง อย่าไปหลงกับความสวยงามที่ไม่แท้จริงที่จอมปลอม คือความสวยงามทางร่างกาย ที่ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องร่วงโรยไป  หนังก็จะเหี่ยว ผมก็กลายเป็นสีขาว หรือหลุดจากศีรษะ  ดูอย่างไรก็ไม่สวย  แต่ทำไมพระสงฆ์องค์เจ้าที่มีอายุมากๆ กลับเป็นคนที่น่ารักน่าชื่นชม น่าเคารพนับถือ เพราะท่านสวยที่ใจ ใจไม่ได้เสื่อมไปกับกาลกับเวลา เป็นอกาลิโก ไม่มีอายุขัย เป็นธรรมชาติของใจที่เป็นอย่างนี้ ต่างกับกายที่มีขอบเขต เกิดแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องดับไป ต้องหมดไป แต่ใจไม่ดับไปกับร่างกาย  ใจเอาความสวยงามหรือความไม่สวยงามที่เราได้สร้างไว้ในแต่ละภพแต่ละชาติไปด้วย ทำให้พวกเรามีความสวยงามแตกต่างกัน บางคนก็สวย บางคนก็ไม่สวย  เราจึงควรพยายามเสริมสร้างความสวยงามทางใจ ด้วยการมาวัดอยู่เรื่อยๆ มาบ่อยๆ มาให้มากขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คือวันพระนั่นเอง แต่เนื่องจากสมัยนี้วันพระไม่ตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์ วันหยุดงาน เราก็ต้องปรับเปลี่ยน วันไหนที่เราหยุดงานหยุดการ ก็ถือวันนั้นเป็นวันพระของเรา อย่างเช่นวันนี้เรามาวัดกัน ก็ถือเป็นวันพระของเรา เพราะคำว่าพระ แปลว่าผู้ประเสริฐ  วันพระหมายถึงการทำตัวเราให้ประเสริฐ  ไม่ได้ให้ไปขอความประเสริฐจากพระ ที่ให้กันไม่ได้ แต่สอนกันได้ ว่าทำอย่างไรให้ประเสริฐ แต่ขอไม่ได้  ขอศีลจากพระไม่ได้ ศีลเป็นของใครของมัน ต้องรักษากันเอง พระเป็นเพียงผู้บอกศีล ให้รู้ว่ามีอะไรบ้าง คนที่รับศีลแล้วก็ต้องรักษา ถ้ารับแล้วไม่รักษา ก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร 

 

ความประเสริฐอยู่ที่การกระทำของเรา ทางกายวาจาใจ คิดดีพูดดีทำดี  จะทำให้เราประเสริฐ วันไหนที่เราคิดดีพูดดีทำดี วันนั้นก็เป็นวันพระสำหรับเรา ไม่จำเป็นจะต้องมาวัดเสียด้วยซ้ำไป  ถ้าเราคิดดีพูดดีทำดีเป็น เราไม่ต้องมาวัดก็ได้  เหตุที่เรามาวัดก็เพราะเราไม่ค่อยรู้กัน  จึงต้องมาฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระภิกษุ เพราะพระมีหน้าที่ชี้ทางให้กับเรา ไม่มีงานอย่างอื่น บวชมาแล้วก็ต้องศึกษาร่ำเรียนหาความรู้ แล้วไปประพฤติปฏิบัติกับกายวาจาใจของตน จนปรากฏผลที่ดีที่เลิศที่ประเสริฐขึ้นมา เห็นแล้วว่าการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้จิตใจดี สวยงาม มีความสุข ความอิ่ม ความพอ  ชนะความโลภโกรธหลงได้ ก็นำเอามาเผยแผ่ มาสั่งสอนผู้อื่น ศรัทธาญาติโยมถ้าได้เข้าหาพระสงฆ์ที่รู้จริงเห็นจริง ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็จะได้รับสิ่งที่เลิศที่ประเสริฐ คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วอย่างมั่นใจ ว่าเป็นไปตามที่ทรงสั่งสอน จึงสอนด้วยความมั่นใจ คนฟังก็เกิดความมั่นใจตามไปด้วย ถ้าผู้สอนไม่ได้ศึกษาไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่รู้จริงเห็นจริง ก็จะไม่ได้สอนอย่างมั่นใจ  คนฟังก็จะไม่มั่นใจตาม การฟังเทศน์ฟังธรรมจากผู้รู้จริงเห็นจริง กับผู้ไม่รู้จริงเห็นจริง จึงมีความแตกต่างกันมาก เช่นในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา มีผู้ฟังได้บรรลุธรรมในขณะที่ฟังเป็นจำนวนมาก เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนความจริงล้วนๆ  ฟังแล้วน้อมเอาไปพินิจพิจารณา ก็สามารถบรรลุธรรมได้ในขณะที่ฟังเลย โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ ไม่ต้องเดินจงกรม เพราะการบรรลุธรรมต้องบรรลุด้วยปัญญาเท่านั้น ถ้าฟังแล้วเกิดปัญญาก็บรรลุได้ 

 

แต่ในสมัยนี้พวกเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันอย่างมากมาย แต่ไม่ค่อยได้บรรลุกัน เพราะผู้แสดงก็ไม่ได้รู้จริงเห็นจริง  แสดงไปตามจินตนาการของตน ผิดบ้างถูกบ้าง ทำให้คนฟังลังเลสงสัย ไม่กล้าฟันธงลงไป ไม่กล้าตัด ไม่กล้าละ ความโลภ ความอยาก ความหลงต่างๆ ก็เลยไม่ได้บรรลุกัน  นี่คือความแตกต่างของผู้แสดงธรรม   ถ้าเข้าหาพระที่รู้จริงเห็นจริงเป็นพระสุปฏิปันโน  เราจะได้รับประโยชน์ เพราะสอนด้วยความมั่นใจ เมื่อเราฟังเราก็จะเกิดความมั่นใจตาม กล้าที่จะปฏิบัติตามที่ท่านสอน กล้าที่จะเสียสละ กล้าที่จะให้ทาน กล้าที่จะรักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล้าไปอยู่ในที่เปลี่ยวๆ ที่น่าหวาดกลัว เพื่อบำเพ็ญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา  สร้างความสงบ   สร้างปัญญาความรู้ความฉลาดให้กับจิตใจ จนได้บรรลุธรรมตามลำดับต่อไป    เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังธรรมจากผู้รู้จริงเห็นจริง เราจึงควรเข้าหาพระดี พระที่สอนธรรมะ อย่าไปหาพระที่เสกที่เป่า ให้เครื่องรางของขลัง ถ้าดีวิเศษจริง พวกเราควรเป็นพระอรหันต์กันไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่  มีพระพุทธรูปอยู่เต็มบ้าน  มีพระห้อยคออยู่เต็มคอ แต่กิเลสมันไม่กลัวเลยความโลภโกรธหลงไม่ได้เบาบางลงไปเลย กลับจะมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก พอห้อยพระแล้วก็คิดว่าจะร่ำจะรวยขึ้น  กิเลสก็เกิดขึ้นแล้ว  ความโลภเกิดขึ้นแล้ว สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ให้ละความโลภโกรธหลง ที่มีมากเพียงไร ก็จะสร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจ  ให้มากขึ้นไปเพียงนั้น 

 

เราจึงต้องศึกษาจากผู้จริงเห็นจริง อย่าไปคิดว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้วจะรู้ธรรมะเสมอไป ไม่รู้กันเยอะ เป็นเหมือนคนตาบอดนำคนตาบอด วนไปเวียนมาอยู่ในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี่แล ไม่ได้ไปถึงไหนกันสักที จึงต้องหาพระที่ดี พระที่สอนธรรมะจริงๆ พระที่ดีที่สุดก็คือ  พระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนแล้วมีการจารึกคำสอนไว้ในพระไตรปิฎกนี่แล  ถ้าหาพระเป็นๆไม่ได้ ก็ไปอ่านพระไตรปิฎก  ที่เป็นต้นฉบับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง จะได้มีหลักยืนยัน เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมของพระรูปใดรูปหนึ่ง จะรู้ทันทีว่าสอนจริงหรือไม่ รู้จริงหรือไม่ เพราะมีเครื่องยืนยัน คือพระไตรปิฎกนี่แล เราจึงควรให้ความสนใจต่อการศึกษาแล้วนำไปปฏิบัติ จะได้เสริมสร้างความสวยงามให้กับชีวิตจิตใจ ทำให้เราเป็นคนที่น่ารักน่าชื่นชมยินดี น่าเคารพนับถือ น่าเลื่อมใส มีความสุข จึงขอฝากเรื่องความสวยงามทั้งทางกายและทางใจ ให้นำไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอหยุดติไว้เพียงเท่านี้