กัณฑ์ที่ ๓๒๘ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐
มาดีไปดี
ชีวิตของพวกเราเป็นเหมือนการเดินทาง เวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ มีการมาและมีการไป ถ้ามาดีไปดี ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ถ้ามาไม่ดีไปไม่ดี ก็จะมีแต่ความทุกข์ความเสื่อม ถ้าประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็จะไปดีและมาดี คำว่าดีในที่นี้หมายถึงสุคติ เวลาคนตายไป เรามักจะพูดว่า ขอให้ไปสู่สุคติ คือขอให้ไปดี ส่วนคำว่าไม่ดีก็คือทุคติ คือการไปไม่ดี ทุคติก็คืออบายนั่นเอง ได้แก่ภพของเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก คือที่ไปของผู้ที่ไปไม่ดี ส่วนสุคติ ก็คือภพของมนุษย์ เทพ พรหม อริยบุคคล มรรคผลนิพพาน คือที่ไปของผู้ที่ไปดี คนเราจึงมีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกันคือ ๑. มาดีไปดี ๒. มาดีไปไม่ดี ๓. มาไม่ดีแต่ไปดี ๔. มาไม่ดีไปไม่ดี พวกเราอยู่ในประเภทไหน ก็ขอให้พิจารณาดู การมาดีหมายถึง มาจากสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ เช่นพระพุทธเจ้าของพวกเรา ท่านได้บำเพ็ญบุญบารมี ทำดีมาทุกภพทุกชาติ จนภพสุดท้ายของมนุษย์ ก็ได้เป็นพระเวสสันดร ได้ทำบุญทำทานอย่างมากมาย ไม่เสียดายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ภรรยาบุตรธิดา ถ้าใครขอให้บริจาค ก็ทรงบริจาคไป เพื่อทานบารมี หลังจากที่ได้ตายไป ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ เมื่อหมดบุญที่จะอยู่บนสวรรค์ ก็ลงมาเกิดเป็นราชโอรส เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็บำเพ็ญบุญต่อ ออกบวชปฏิบัติธรรม จนได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงเสด็จดับขันธ์ ก็ได้ไปสู่พระนิพพาน อย่างนี้เรียกว่า มาดีไปดี
พวกเราอาจจะมาดีบ้าง มาไม่ดีบ้าง ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ ถ้าทำดีก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ เมื่อหมดบุญก็กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่ามาดี ต่างกับผู้ที่มาไม่ดี คือผู้ที่ได้ทำบาปทำกรรมไว้ในอดีต แล้วต้องไปใช้กรรมในอบาย เมื่อหมดกรรมก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ต่างจากผู้ที่มาดี มาจากสวรรค์ ที่มีบุญบารมีติดตัวมาด้วย ผู้ที่มาจากอบาย มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไม่ดี จะไม่มีบุญบารมีติดตัวมา รูปร่างหน้าตาก็สู้คนที่มีบุญบารมีไม่ได้ สติปัญญาความฉลาดก็สู้ไม่ได้ ฐานะการเงินการทองก็สู้ไม่ได้ นี่คือลักษณะของผู้ที่มาดีและมาไม่ดี ส่วนมาแล้วจะทำอะไรต่อไป เพื่อจะไปดีหรือไม่ดี ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามาแล้ว มีอุปนิสัยเดิมติดตัวมามาก ชอบทำความดี ชอบทำบุญ ไม่ชอบทำบาป ไม่ชอบอบายมุขต่างๆ ก็จะมุ่งไปสู่การทำความดี ทำบุญทำทาน หลีกเลี่ยงอบายมุขทั้งหลาย เช่นการเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน อย่างที่พวกเราทั้งหลาย ได้มาบำเพ็ญกันในวันนี้ เรียกว่ามาบำเพ็ญเพื่อการไปดี แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องการมาวัด มาทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม ชอบแต่ไปเที่ยว ไปเล่น ไปดื่ม ไปกิน ไปหาความสุขชั่วขณะ จากการเสพสัมผัสรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ เสพสุรายาเมา ประพฤติผิดประเวณี ทำบาปทำกรรม เมื่อตายไปก็จะไปไม่ดี เพราะไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ได้สะสมบารมีไว้ ก็จะไปสู่ที่ต่ำ นี่คือลักษณะของคนเรา มีทั้งมาดีไปดี มาดีแต่ไปไม่ดี มาไม่ดีแต่ไปดี มาไม่ดีไปไม่ดี
เหตุของการมาเป็นเรื่องของอดีต เราไปแก้ไม่ได้ เพราะอดีตผ่านไปแล้ว ถ้าได้ทำดี ทำบุญ ทำกุศล ก็จะมาดี ถ้าได้ทำบาปทำกรรม ก็จะมาไม่ดี แต่การไปเราสามารถควบคุมบังคับได้ เพราะขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบันนี้ ถ้าหมั่นทำความดีอยู่เรื่อยๆ ทำบุญ ละบาป ฟังเทศน์ฟังธรรม กำจัดกิเลสความโลภโกรธหลง ก็จะไปดี ดีที่สุดก็จะไปถึงพระนิพพาน ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ไปถึง เป็นสิ่งที่อยู่ในเอื้อมมืออยู่ในวิสัยของเรา เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม มีพระศาสดา คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีกายมีใจ พร้อมที่จะปฏิบัติ พร้อมที่จะฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ขึ้นอยู่ว่าจะมีศรัทธาความเชื่อหรือไม่ มีวิริยะความขยันหมั่นเพียรที่จะปฏิบัติหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ายังไม่เชื่อก็ควรฟังธรรมให้มากๆขึ้น ควรเข้าหาพระสุปฏิปันโน พระที่รู้จริงเห็นจริง ถ้าได้ยินได้ฟังจากพระที่รู้จริงเห็นจริงแล้ว จะเกิดศรัทธา เพราะท่านสอนด้วยความมั่นใจ ด้วยความถูกต้อง มีเหตุมีผล ฟังแล้วค้านไม่ได้ มีแต่จะยอมรับโดยถ่ายเดียว เมื่อเกิดศรัทธาแล้ว ก็จะมีฉันทะความพอใจความยินดีที่จะปฏิบัติ วิริยะความอุตสาหะ ความพากเพียรก็จะตามมา เมื่อได้บำเพ็ญแล้วก็จะเห็นผล ก็จะยิ่งทำให้มีฉันทะ มีวิริยะ เพิ่มมากขึ้นไปอีก เคยปฏิบัติเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็จะปฏิบัติมากขึ้นไปเรื่อยๆ จะหาเวลาปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นไป ถ้ามีภารกิจการงานที่ไม่จำเป็น มีฐานะดีพอ ไม่ต้องไปหาเงินหาทอง ก็จะหยุดการทำงานทำการ เพื่อปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นไป เมื่อเห็นผลมากยิ่งขึ้นไป ก็จะพร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ในฐานะของคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เพื่อจะได้ออกบวช ตามเสด็จพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงเสด็จไปก่อนหน้านี้แล้ว
พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญอย่างนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ต้องมีครูมีอาจารย์สอนให้เกิดศรัทธา เพราะทรงได้บำเพ็ญบุญบารมี คือปัญญาบารมีมามาก จนสามารถเห็นได้ด้วยตนเองว่า การเกิดแก่เจ็บตายนี้เป็นทุกข์ การที่จะพบกับความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ จะต้องหยุดการเวียนว่ายตายเกิดให้ได้ การที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ต้องลดต้องละตัณหาความอยากต่างๆ ถ้ายังครองเรือนอยู่ ยังมีความอยากในสิ่งต่างๆอยู่ ก็จะไม่สามารถดิ้นหลุดจากบ่วงของมาร บ่วงของการเวียนว่ายตายเกิดได้ ต้องสละต้องตัดความอยากต่างๆให้หมดไป เช่นกามตัณหาความอยากในกาม อยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ เช่นอยากดูหนังฟังเพลง อยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ อยากดื่มเครื่องดื่มต่างๆ อยากรับประทานอาหารต่างๆ ที่เป็นบ่วงคอยรัดจิตใจ ไม่ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ จึงต้องสลัดกามตัณหาให้ได้ ต้องสลัดภวตัณหาความอยากมีอยากเป็น อยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากเป็นดารา อยากจะให้คนยกย่องสรรเสริญนับถือ ต้องอย่าไปอยาก เราเป็นอะไรอย่างไร ก็ให้พอใจกับฐานะของเรา ใครจะสรรเสริญชื่นชมยินดี ก็ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้นหรือเลวลงไป ความดีเลวของเราอยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าอยากจะให้เราดีขึ้น ก็ทำความดีให้มากขึ้น ส่วนคนอื่นจะเห็นจะรู้หรือไม่ จะชื่นชมยินดีหรือไม่ ไม่สำคัญอะไร เพราะความสุขที่ได้รับจากการทำความดีนั้น มันมากกว่าความสุขที่ได้จากการชื่นชมยินดีสรรเสริญของผู้อื่น เราจึงไม่ต้องไปอยากมีอยากเป็นอะไร ใครจะดูถูกเหยียดหยามเรา ว่าเราไม่มีฐานะ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอะไร ก็ไม่ได้ทำให้เราเลวลงไป ถ้าเราดี มีความสุข มีความภูมิใจกับการทำความดี คนอื่นจะดูถูกเหยียดหยามเราอย่างไร ก็ไม่มีความหมายอะไร
จึงต้องทำความดีให้มาก แล้วจะเกิดความภาคภูมิใจ จะไม่มีความอยากมีอยากเป็น อยู่เฉยๆก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องให้ใครมารัก มาชื่นชมยินดี มาสรรเสริญ เพราะความอยากมีอยากเป็น จะทำให้มีความทุกข์ พออยากได้แล้ว ก็อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องดิ้นรน ไปกราบไปไหว้คนนั้นคนนี้ ไปขอการสนับสนุนจากคนนั้นคนนี้ เมื่อได้มาแล้วก็ไม่จีรังถาวร ได้มาไม่กี่เดือนกี่ปีก็หมดวาระไป ก็ต้องไปหามาใหม่ หามาได้เท่าไหร่ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีเรี่ยวมีแรงที่จะหาต่อไป จึงจะหยุดหา แต่ใจก็ยังดิ้นรนอยู่ ยังอยากมีอยากเป็นอยู่ แต่ถ้าไม่มีความอยากมีอยากเป็นแล้ว จะมีแต่ความสุขสบายใจ ไม่ต้องไปง้อใคร ไม่ต้องไปไหว้ใคร ไม่ต้องไปขอการสนับสนุนจากใคร สามารถอยู่ตามอัตภาพของเราได้ มีความสุขตามอัตภาพของเราได้ จะไม่มีความทุกข์ ความกังวล ความดิ้นรนทะเยอทะยาน นี่คือตัณหาตัวหนึ่งที่จะฉุดลากให้ไปเวียนว่ายตายเกิด เพราะถ้ายังมีความอยากมีอยากเป็นอยู่ เมื่อตายไปจิตก็ยังอยากจะไปต่อ ก็จะไปเกิดใหม่ ไปตามกำลังของบุญและกรรม แต่ถ้าไม่มีความอยากแล้ว บุญกรรมก็จะไม่มีกำลัง ที่จะผลักดันให้ไปเกิดได้ เหมือนกับรถยนต์ ถึงแม้จะเติมน้ำมันเต็มถัง แต่ถ้าคนขับไม่สตาร์ทเครื่อง ไม่ขับเสียอย่าง รถก็วิ่งไปไม่ได้ เพราะคนขับไม่มีความอยากไปไหนอีกต่อไปนั่นเอง เมื่อไม่มีความอยากแล้ว ก็ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ความอยากนอกจากกามตัณหา ภวตัณหาแล้ว ก็ต้องละความอยากอีกตัวหนึ่ง คือวิภวตัณหาความอยากไม่เป็นอยากไม่มี เช่นอยากไม่จน ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นสิ่งที่เราห้ามกันไม่ได้ ถ้าถึงเวลาที่จะต้องใช้กรรมเก่า ก็ต้องตกทุกข์ได้ยาก และต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ด้วยกันทุกคน ถ้าอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็จะทุกข์วุ่นวายใจ เวลาที่เราแก่เจ็บตาย แต่ถ้าไม่มีความอยาก ยอมรับความจริงว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ก็จะไม่ดิ้นหนีความแก่เจ็บตาย ก็จะไม่ต้องเกิดใหม่ คนที่ดิ้นหนีความแก่เจ็บตาย ก็จะดิ้นไปหาร่างใหม่อยู่เรื่อยๆ แล้วก็ต้องแก่เจ็บตายอีก
พระพุทธเจ้าจึงต้องสละราชสมบัติออกบวช ปฏิบัติอยู่ถึง ๖ ปีด้วยกัน ต่อสู้กับความอยากต่างๆ จนไม่มีหลงเหลืออยู่ในพระทัยเลย จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป เพราะใจไม่มีความอยากอีกแล้ว เมื่อตายไปก็จะอยู่ในพระนิพพานไปตลอดอนันตกาล พระนิพพานก็คือใจที่สะอาดบริสุทธิ์นี้เอง ไม่ได้เป็นอะไร ใจที่ไม่มีความอยากต่างๆ ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่ได้สูญหายไปไหน เหมือนใจของพวกเราที่ยังมีอยู่ เพียงแต่ใจของพวกเรา ยังไขว่คว้ายังต้องการสิ่งต่างๆอยู่ เมื่อตายไปก็ต้องไปหาสิ่งต่างๆที่เราต้องการ ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก ตามบุญตามกรรมที่ได้ทำไว้ ในแต่ละภพแต่ละชาติ ถ้าอยากจะไปดี ไปสู่มรรคผลนิพพาน โดยผ่านการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม ก็ต้องหมั่นทำความดี ถ้าไม่อยากไปตกนรกไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ก็ต้องละบาป เพราะการได้เกิดภพชาติต่างๆนั้น เกิดจากการกระทำของเราเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากใครเลย ไม่มีใครจะสาปแช่งให้เราไปตกนรกได้ ไม่มีใครวิงวอนให้เราไปเกิดบนสวรรค์ได้ เพราะภพชาติต่างๆเกิดจากการกระทำของเรา ทางกายวาจาใจเท่านั้น ถ้าหมั่นทำความดี ไม่ทำบาป ก็จะไปสุคติไปดี ถ้าไม่ทำความดี ทำแต่บาปทำแต่กรรม ก็จะไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย ไม่มีใครช่วยเราได้ ต่อให้ห้อยพระราคาเป็นล้าน ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ไม่มีใครไปหักห้ามกรรมได้ ไม่มีใครอยู่เหนืออำนาจของกรรม นอกจากผู้ที่ไม่กระทำกรรมเท่านั้น เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านไม่ทำกรรมอีกแล้ว หลังจากที่ท่านได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านไม่ทำกรรมอีกต่อไป
การกระทำของท่านเป็นเพียงกิริยาเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำด้วยโลภโกรธหลง ความอยากต่างๆ ท่านจึงไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะไม่มีการแก่เจ็บตาย การพลัดพรากจากกัน ถ้ายังมีการเกิดอยู่ ไม่ว่าจะเกิดดีขนาดไหน เป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องแก่เจ็บตาย ต้องสิ้นจากการเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรีไป นี่คือเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องของการมาการไปของพวกเรา พวกเราโชคดีที่ชาตินี้ได้เจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่ได้เจอแล้ว จะไม่รู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เรื่องของการไปการมา ทั้งดีและไม่ดี พอได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว ก็จะรู้ว่าการไปการมา ทั้งดีและไม่ดี เกิดจากการกระทำของเราเอง ถ้าอยากจะไปดีก็ต้องทำความดีให้มาก ถ้าไม่อยากจะกลับมาเลย ก็ต้องตัดความอยากให้หมดสิ้นไปจากใจ ตัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้สงบ เจริญวิปัสสนาภวนา ให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อได้บำเพ็ญแล้ว รับรองได้ว่าความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ จะหมดสิ้นไปอย่างแน่นอน ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร มีความแน่วแน่ต่อการปฏิบัติ รับรองได้ว่าในภพนี้ชาตินี้ จะสามารถทำภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นไปได้ เพราะคนอื่นเขาทำกันได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
ที่ทำไม่ได้ เพราะขาดศรัทธาความเชื่อ ขาดฉันทะความยินดี ขาดวิริยะความขยันหมั่นเพียร จึงต้องสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นให้ได้ ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม จากผู้รู้จริงเห็นจริง ฟังบ่อยๆ ฟังแล้วนำเอาไปใคร่ครวญ เอาไปพินิจพิจารณา อย่าฟังแล้วลืม ถ้าฟังแล้วไม่เอาไปคิดต่อ ก็จะลืมได้ ฟังแล้วต้องเอาไปคิดต่อ คิดอยู่เรื่อยๆ จะได้นำเอาไปปฏิบัติ จะได้เห็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติ คือความสงบร่มเย็นเป็นสุขของจิตใจ ที่ดีกว่าความสุขที่ได้จากสิ่งต่างๆในโลกนี้ เมื่อได้สัมผัสกับความสุขในใจแล้ว ก็จะกล้าตัดความสุขภายนอก ไม่แสวงหาความสุขภายนอกอีกต่อไป ไม่หาเงินหาทอง หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แต่จะหาความสุขที่เกิดจากทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนาเท่านั้น แล้วรับรองได้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จึงขอให้นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ไปพินิจพิจารณา เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้