กัณฑ์ที่ ๓๓๐       ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐

 

อธิษฐาน

 

 

 

ไม่ว่าเราจะทำอะไร ที่จะสำเร็จเป็นผลขึ้นมาได้ ในเบื้องต้นต้องมีความตั้งใจก่อน ใจต้องคิดขึ้นมาก่อน เช่นคิดว่าพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงาน มีเวลาว่าง จะไปวัดไปทำบุญ ถ้าไม่ได้ตั้งใจก็จะไม่ได้มา พอตื่นขึ้นมาก็ยังอยากจะนอนต่อ เพราะเห็นว่าเป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงาน ไม่รู้จะไปไหนดี ก็เลยนอนต่อ ป่านนี้ก็อาจจะยังไม่ตื่น  ความตั้งใจทางภาษาพระเรียกว่าอธิษฐาน ที่พวกเราเข้าใจกันเป็นการวิงวอนขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นอยากจะรวยก็จุดธูปเทียน กราบพระ แล้วก็อธิษฐาน ขอให้ร่ำรวย ให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ซึ่งไม่ใช่เป็นความหมายในทางศาสนา  อธิษฐานเป็นหนึ่งใน ๑๐ บารมีที่ต้องบำเพ็ญ  ถ้าอยากจะเจริญก้าวหน้า หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ต้องมีอธิษฐานบารมี มีความตั้งใจทำในสิ่งที่อยากได้  ที่ไม่ได้ลอยมาตามความอยาก เพราะสิ่งที่อยากได้เป็นผลที่เกิดจากการกระทำเท่านั้น เช่นอยากจะร่ำรวย  ถ้านั่งจุดธูปเทียนอธิษฐานขอให้รวยไปจนวันตาย ก็ไม่มีทางรวยได้  เพราะคนจะรวยได้ ต้องทำมาหากิน มีรายได้เข้ามา รู้จักเก็บ รู้จักใช้  ใช้ในสิ่งที่มีประโยชน์ ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ใช้ลงทุนขยายกิจการ ถ้าอยากจะรวย ก็ต้องตั้งใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บเงินเก็บทอง ได้เงินมาก็เอาไปขยายกิจการไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้เป็นมหาเศรษฐี ถ้าศึกษาดูประวัติของเศรษฐีทั้งหลาย เขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น  ไม่ได้อธิษฐานวิงวอนขอให้ร่ำรวย ให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มาจากการกระทำทั้งนั้น ไม่ได้มาจากการขอ ถ้าขอก็จะเป็นเหมือนขอทาน  ที่จะต้องขอไปตลอดชีวิต เพราะงอมืองอเท้า ไม่พึ่งตนเอง

 

ศาสนาไม่ได้สอนให้ขอ แต่สอนให้ทำ ให้พึ่งตนเอง  อัตตา หิ  อัตโน นาโถ  ไม่ว่าจะอยากได้อะไร เราสามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้ ด้วยการกระทำของเรา ทางกายวาจาใจ  อยากจะให้คนรัก ก็ทำตัวให้เป็นคนน่ารัก เขาก็รักเราเอง จะน่ารักก็ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกหกหลอกลวง ไม่เอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อน ต้องขยัน ใจกว้าง เสียสละ ไม่ตระหนี่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่สวยงาม ก็ไม่สำคัญอย่างไร เพราะความสวยงามอยู่ที่ใจ เมื่อทำให้ปรากฏแล้ว จะน่ารักน่าชื่นชม น่าเคารพนับถือ น่ากราบไหว้  เช่นพระพุทธเจ้า ที่ทรงประพฤติปฏิบัติตน ให้เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต  มีความรู้ความสามารถ เสียสละ ทรงสั่งสอนโดยไม่คิดเงินคิดทองเลย พระองค์ไม่ได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง  แต่ร่ำรวยด้วยทรัพย์ภายใน คือความเมตตากรุณา ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ไม่เห็นแก่ตัว จึงน่าเคารพนับถือ น่ากราบไหว้บูชา ถึงแม้จะไม่เคยเห็นเคยพบท่านมาก่อน  แต่กิตติศัพท์อันดีงามของท่าน  ทำให้เราเคารพนับถือ ดังนั้นไม่ว่าจะอยากได้อะไร เราต้องมีความตั้งใจทำเหตุเพื่อให้ผลปรากฏขึ้นมา บางท่านเวลาจะถวายอาหาร  ก็ยกขึ้นมาจบแล้วก็อธิษฐานขอให้ไปถึงพระนิพพาน ความจริงการจะไปถึงพระนิพพานได้ ไม่ได้เกิดจากการทำบุญให้ทานอย่างเดียว ถ้าทำบุญให้ทานอย่างเดียวก็ไม่มีทางไปถึงพระนิพพานได้  แต่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่จะทำให้ไปถึงได้ นอกจากทำบุญให้ทานแล้วยังต้องรักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา ถึงจะไปถึงพระนิพพานได้ 

 

การอธิษฐานเป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ เป็นการเตือนตนเองว่า เกิดมาชาตินี้  เกิดมาเพื่อปฏิบัติให้ไปถึงพระนิพพาน ถ้ามีความตั้งใจอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ไปเสียเวลากับการกระทำอย่างอื่น เช่นวันนี้เราก็มาวัดกัน มาทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม  ถ้าอยู่ได้ก็อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อ นั่งสมาธิเจริญวิปัสสนา แทนที่จะไปเที่ยวกัน ไปสนุกสนาน เฮฮากับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็จะไม่ไป เพราะมีความตั้งใจว่าเกิดมาในชาตินี้ จะต้องตามเสด็จพระพุทธเจ้าให้ได้ จะต้องไปถึงพระนิพพานให้ได้ เพราะรู้ว่าทางที่จะไปสู่พระนิพพาน ถ้ายังไม่อยากจะไปถึงพระนิพพาน แต่อยากจะเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก  มีความสุขในปัจจุบัน ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ก็ไปทางเดียวกัน ทางไปพระนิพพานก็จะผ่านสวรรค์ชั้นต่างๆ ผ่านพรหมโลกก่อน จึงจะถึงพระนิพพาน อยู่ที่การปฏิบัติ ถ้าอยากจะไปแค่สวรรค์ มีความสุขในปัจจุบัน ทำบุญให้ทานกับรักษาศีลก็พอแล้ว  ถ้าอยากจะไปไกลกว่านั้น มีความสุขมากกว่านั้น  ก็ต้องภาวนา ต้องปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ  เดินจงกรม  พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย ให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา  เช่นร่างกายของเราเป็นต้น เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย สร้างความทุกข์ให้กับเราอยู่เรื่อยๆ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทุกข์ เวลาแก่ก็ทุกข์ เวลาตายก็ทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เพราะเวลาตายไปก็ถูกเอาไปเผากลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป  ตัวเราที่แท้จริงก็คือใจนี่เอง เราก็ไปต่อ ไปหาร่างกายใหม่ ไปเกิดใหม่ ถ้าได้ทำบุญรักษาศีลก็จะได้ไปสวรรค์ตามที่ปรารถนา  ถ้าได้ปฏิบัติธรรมด้วยก็จะไปถึงพระนิพพานในลำดับต่อไป 

 

การบำเพ็ญอธิษฐานบารมี จึงสำคัญมาก ควรตั้งใจอยู่เรื่อยๆ ถามตัวเองว่าจะทำอะไรในวันนี้ จะทำความดีหรือไม่  จะทำคุณทำประโยชน์หรือทำสิ่งที่ไร้สาระ  ถ้าไม่ตั้งใจก็เป็นเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ  ที่จะไหลไปตามกระแสน้ำ  น้ำพัดไปทางไหนก็จะไปทางนั้น ใจที่ขาดความตั้งใจก็จะไหลไปตามอารมณ์ ถ้ามีอารมณ์ดีก็จะทำความดี ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็จะทำไม่ดี ถ้าหงุดหงิดใจก็จะไปดื่มเหล้าเสพสุรายาเมา ก็จะไปในทางที่ไม่ดี ถ้าอารมณ์ดีเช่นวันนี้ ก็มาวัดกัน จึงเป็นเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ จะไปซ้ายบ้าง ไปขวาบ้าง คดไปคดมา ไปไม่ถึงที่สักที  วนเวียนอยู่ในอ่าง วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ วัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ถ้ามีความตั้งใจก็เป็นเหมือนเรือที่มีหางเสือ ถ้าตั้งให้ไปสู่พระนิพพาน ก็จะตรงไปทางนี้ทางเดียว จะไม่วกเวียนไปทางนั้นทางนี้ให้เสียเวลา  เพราะไม่ว่าจะแวะไปตรงไหนก็มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น มีแต่ความวุ่นวายใจ ความไม่สบายใจ  ต่อให้ได้มาตามความอยาก ก็จะดีใจในเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะมีความกังวล ความห่วงใย ความวุ่นวายกับสิ่งที่ได้มา เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน  มันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมไปตลอด ไม่รู้ว่าจะจากไปเมื่อไร ไม่รู้จะเสียเมื่อไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ได้อะไรมาใหม่ๆก็ดี แต่ต่อไปก็เก่า แก่เจ็บตาย  เราจึงควรตั้งเป้าไปที่พระนิพพาน เพราะที่พระนิพพานไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ไม่มีทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความกังวล มีแต่ความสุขที่เรียกว่า นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นความสุขที่ประเสริฐเลิศโลกที่สุด  ไม่มีความสุขใดในโลกนี้ ที่จะเท่ากับความสุขของพระนิพพาน ความสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันสาวกทั้งหลาย ได้เสพได้สัมผัสได้มาครอบครองแล้ว  จึงนำมาแบ่งให้กับพวกเรา  มาสอนให้พวกเรารู้วิธี ที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขที่ประเสริฐนี้ 

 

พวกเราทุกคนที่เกิดเป็นมนุษย์นี้ มีความสามารถปฏิบัติได้ทุกคน อยู่ที่ว่าจะรู้หรือไม่  ส่วนใหญ่จะไม่รู้กัน ว่าเกิดมาเพื่อทำอะไร จึงทำไปตามกระแสของอารมณ์ที่มีอยู่ในใจ เห็นคนอื่นทำอะไรก็ทำตาม ตอนเด็กๆก็ไปโรงเรียน พอจบก็ไปทำงาน พอเห็นเขามีครอบครัวก็มีตาม แล้วก็แก่ตายไป  ไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นเลย  ยังไหลวนเวียนอยู่กับอารมณ์ต่างๆ  ตายไปกลับมาเกิดใหม่ก็ทำอย่างนี้อีก เคยทำอย่างนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว จะทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ตั้งใจที่จะผลักดันตนให้ไปสู่พระนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำกัน เราก็จะไม่ได้ไปถึงจุดนั้น วันนี้เราได้ยินได้ฟังธรรมะ ฟังเรื่องชีวิตของเรา เรื่องเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ก็คือการปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงพระนิพพาน ถ้าปฏิบัติตามเราก็จะได้ไปถึงพระนิพพานอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับความพากเพียร  ทำมากหรือทำน้อย  ถ้าขยันมากทำมากก็จะไปเร็ว  ถ้าขยันน้อยทำน้อยก็จะไปช้า  ในเบื้องต้นต้องตั้งใจว่า เกิดมาชาตินี้แล้ว จะต้องหยุดการเวียนว่ายตายเกิดให้ได้ เพราะการเกิดในแต่ละภพแต่ละชาติมันทุกข์ทรมาน มีเรื่องวุ่นวายต่างๆอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันตาย ออกมาจากท้องแม่ก็ร้องไห้แล้ว ไม่ได้หัวเราะออกมา ออกจากท้องแม่มาก็ร้อง แสดงว่าทุกข์แล้ว เวลาอยู่ในท้องมันสบาย  พอออกมาข้างนอกก็ต้องหายใจ เป็นภาระอย่างหนึ่ง เป็นความทุกข์ แล้วก็มีความหิวตามมา หิวข้าวหิวน้ำ  รับประทานแล้วก็ต้องปวดท้อง ปวดปัสสาวะ ก็ทุกข์อีก ก็ร้องอีก ถ้าหนาวไปก็ร้อง ร้อนไปก็ร้อง มีแต่ความทุกข์อยู่รอบตัว ไปจนถึงวันตายเลย นี่คือเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด มีแต่ความทุกข์ ความสุขที่มีก็มีเพียงเดี๋ยวเดียว มีเพียงเล็กน้อย ไม่เหมือนกับพระนิพพานที่ไม่มีทุกข์เลย มีแต่ความสงบ ความสบาย ความสุข ปรมังสุขังเท่านั้น 

 

เมื่อเรารู้แล้วว่าเกิดมาเพื่อทำอะไร เราก็ต้องตั้งใจปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้ทำบุญให้ทาน ให้รักษาศีล ให้ภาวนา  ก็ต้องถือเป็นงานหลักของเรา ไม่ใช่การเป็นอะไรต่างๆ เป็นนายกฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประธานาธิบดี เป็นแล้วก็เท่านั้น ก็ยังมีทุกข์เต็มอยู่ในหัวใจ ต้องเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อมีความตั้งใจแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องมีก็คือสัจจะความจริงใจ   ตั้งใจแล้วต้องรักษาให้ได้ เหมือนกับรักษาคำพูด สัญญาอะไรกับใครไว้แล้ว ถ้าไม่มีสัจจะก็จะไม่รักษา เช่นนัดกันว่าจะมาวัดกันวันนี้ตอนเช้า พอถึงเวลาก็หายตัวไป แสดงว่าไม่มีสัจจะ หลบหนีไปแล้ว ไม่อยากจะมาก็เลยหนีไปที่อื่น  ถ้าไม่มีสัจจะแล้ว ต่อให้มีความตั้งใจมากน้อยเพียงไร ก็จะไม่เกิดเป็นผลขึ้นมาได้ จึงต้องมีสัจจะ ตั้งใจแล้วต้องรักษาให้ได้ เช่นวันนี้ตั้งใจจะมาวัด เมื่อถึงเวลาก็ต้องมา ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไร น้ำจะท่วม ถ้ายังมาได้ก็ต้องมา เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรถ้ายังมาได้ก็ต้องมา ยกเว้นถ้ามาไม่ได้จริงๆ ลุกขึ้นมาไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับเตียง เจ็บไข้ได้ป่วยถึงขนาดลุกขึ้นไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าสุดวิสัย  ถ้าไม่มีสัจจะควบคู่ไปกับอธิษฐานแล้ว จะไม่สามารถทำอะไรให้เป็นผล เป็นความสำเร็จขึ้นมาได้ ดังที่พระพุทธเจ้าในขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ก่อนที่จะตรัสรู้ ก็ทรงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า จะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์นี้  นั่งบำเพ็ญสมถภาวนาคือทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาภาวนาคือเจริญปัญญา จนกว่าจิตใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ได้บรรลุถึงพระนิพพาน ถ้ายังไม่ได้ผล ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้ไปเป็นอันขาด ถึงแม้เลือดในร่างกายจะเหือดแห้งหายไปหมดก็ตาม ไม่มีลมหายใจเข้าออกอยู่เลยก็ตาม ก็จะไม่ลุกจากที่นี่ไปเป็นอันขาด ถ้าไม่ได้พระนิพพานก็ต้องตายเท่านั้น 

 

นี่คือสัจจะอธิษฐาน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตั้งไว้ ในวาระสุดท้ายของการบำเพ็ญเพียร ในวันเพ็ญเดือน ๖  เมื่อได้ตั้งสัจจะแล้วจิตก็ไม่วอกแวก  ไม่สองจิตสองใจ จะนั่งดีหรือไม่นั่งดี จะลุกขึ้นหรือไม่ จะไปทำอย่างอื่น ก็ทำไม่ได้แล้ว มีหน้าที่อย่างเดียวก็คือภาวนา ทำจิตให้สงบ แล้วก็พิจารณาให้เกิดปัญญา  ผลจึงปรากฏขึ้นมาในเวลาไม่นานเลย  ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีความแน่วแน่ เมื่อตั้งใจแล้วต้องไม่เปลี่ยนใจ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า สิ่งที่จะทำเป็นสิ่งที่ดี มีคุณมีประโยชน์ ก็พุ่งไปเลย ทำไปเลย ใครจะมาทักมาท้วง มาขอร้องอย่างไร ก็ไม่สนใจไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย  พอจะทำอะไรก็มีเหตุนั้นเหตุนี้มาอ้างอยู่เรื่อย  เช่นวันนี้ถ้าไม่มีสัจจะ  ตื่นขึ้นมาแล้วยังรู้สึกง่วงนอน  ยังอยากจะนอนต่อ ก็จะนอนต่อไป ก็จะไม่มาวัดตามที่ได้ตั้งใจไว้ ไม่ได้มาทำมาทำบุญ มาฟังเทศน์ฟังธรรม จึงต้องมีทั้งความตั้งใจและมีสัจจะ มีความจริงใจ มีความแน่วแน่ต่อความตั้งใจ เมื่อมีแล้วสิ่งที่จะต้องมีในลำดับต่อไปก็คือวิริยะความพากเพียร ความขยัน  เมื่อได้ตั้งใจแล้วก็ต้องทำ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าบอกว่าไม่เป็นไร ตอนนี้เรายังหนุ่มยังสาวอยู่ ยังมีเวลาอีกมาก ไว้รอเวลาแก่ใกล้ตายก่อนแล้วค่อยทำ เพราะไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ อาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าจะตายกันเมื่อไร เกิดมาแล้วไม่ได้แก่ตายกันทุกคน  มีคนตายทุกอายุ  จึงไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง เมื่อมีเวลามีโอกาส เช่นวันนี้มีเวลาว่าง ก็ต้องรีบทำเลย ผลประโยชน์จะได้เกิดขึ้นมา เพราะเป็นเหมือนเงินที่เอาไปฝากไว้ในธนาคาร  ฝากไว้แล้วก็ปลอดภัย ถ้ายังเก็บไว้ที่บ้าน ไม่เอาไปฝาก อาจจะถูกขโมยลักไปก็ได้ กลายเป็นของคนอื่นไป 

 

บุญบารมีก็เช่นเดียวกัน ต้องเสริมต้องสร้างอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่รีบทำในวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีเวลาก็ได้ เมื่อไม่ได้ทำชีวิตก็จะไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นให้สูงขึ้น  เกิดมาชาตินี้ก็จะเสียชาติเกิด ไม่ได้กำไร  จึงควรตั้งเป้าไว้ ให้มีสัจจะความจริงใจ มีความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติ ต้องมีขันติความอดทน เพราะเวลาทำความดี ทำบุญให้ทาน เสียสละ เป็นสิ่งที่ทำยาก ต้องต่อสู้กับกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความเสียดายในสิ่งของต่างๆที่มีอยู่  ต้องอดทนทำไป จะยากลำบากอย่างไรก็ต้องทำไป  ต้องตื่นเช้ามาวัดก็ต้องตื่น ต้องนั่งรอถวายอาหารให้เสร็จ แล้วก็ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็ต้องอดทน แต่การอดทนแบบนี้เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจ ทำบุญแล้วจะทำให้มีความสุข นั่งเฉยๆ รอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็จะทำให้มีสมาธิ  ใจตั้งมั่น ไม่ไหลไปไหลมา สามารถหยุดใจได้ หยุดกายได้  เวลาโกรธเวลาโลภก็จะระงับได้ ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้  เวลาโกรธก็จะต้องไปทำในสิ่งที่อยากทำ  ถ้าอยากไปด่าคนอื่นก็จะไปด่า  ถ้าอยากไปทุบทำร้ายคนอื่นก็จะไปทำ แต่ถ้าฝึกให้นั่งอยู่เฉยๆ ให้ใจเย็นๆ   เวลาโกรธก็จะบังคับใจได้  ไม่ให้ไปทำอะไร ให้นั่งอยู่เฉยๆ  ถ้าไปพูดไปทำอะไรเวลาโกรธ ก็จะพูดไม่ดีทำไม่ดี ทำให้เป็นคนไม่ดีไป เป็นคนน่ารังเกียจ จะต้องเสียใจในภายหลัง นี่คือสิ่งที่เราได้จากการมีความอดทน ในการทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ถ้ามีบารมีทั้ง ๔ ประการนี้คือ ๑. อธิษฐานบารมีความตั้งใจ  ๒. สัจจะบารมีความจริงใจ  ๓. วิริยะบารมีความพากเพียร ๔. ขันติบารมีความอดทน รับรองได้ว่าการดำเนินตามพระพุทธเจ้าจะเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว จะพาให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางในเวลาอันไม่นานเลย จึงอย่าประมาทในความสามารถของเรา  การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แสดงว่ามีความสามารถเต็มที่แล้ว สามารถไปถึงพระนิพพานได้แล้ว เพียงแต่ให้เชื่อในพระธรรมคำสอน มีความตั้งใจ ความจริงใจ ความขยัน ความอดทนเท่านั้น แล้วเราจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่เลิศที่วิเศษ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ดำเนินไปอย่างแน่นอน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้