กัณฑ์ที่ ๓๓๑       ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐

 

เชื่อในหลักกรรม

 

 

 

การมาวัดเพื่อมาทำบุญ มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นการกระทำที่ชอบ ที่จะนำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้า เพราะพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน จักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมก็คือการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในปัจจุบัน เป็นเหตุที่ทำให้สัตว์โลกไปเกิดในภพที่สูงหรือต่ำ เมื่อเกิดมาแล้วเราจึงมีความแตกต่าง ทางฐานะการเงินการทอง สติปัญญาความรู้ความฉลาด รูปร่างหน้าตา อายุ และสุขภาพ ล้วนเป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเราในอดีต ถ้าไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายชีวิตของผู้อื่น ก็จะไม่มีโรคภัยเบียดเบียน มีอายุยืนยาวนาน ถ้าทำบุญให้ทาน ก็จะมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ร่ำรวย ไม่ต้องเก็บขยะไปขาย ทำงานหนักตรากตรำตลอดเวลา ถ้าไม่ร่ำรวย ก็เพราะไม่ได้หว่านพืชคือบุญไว้ ถ้าหว่านไว้แล้ว เวลาออกดอกออกผล ก็จะออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ร่ำรวย ทำให้ได้เกิดบนกองเงินกองทอง มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ถ้าหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะฉลาด มีสติปัญญา มีไหวพริบ สามารถรักษาตนให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้เป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนชาวพุทธให้เชื่อในหลักกรรม ถ้าเชื่อในหลักกรรมก็เท่ากับเชื่อในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะพระพุทธเจ้าก็เชื่อในหลักกรรม พระธรรมคำสอนก็สอนเรื่องกรรม พระอริยสงฆสาวกก็เชื่อในหลักกรรม ท่านจึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากบ่วงมาร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้

 

ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ที่ห้อยอะไรไว้ที่คอ จะเป็นพระก็ดี เป็นเทพก็ดี ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเราจริงๆ ถ้าดีจริงแล้ว คนที่ห้อยมีเป็นล้านคน ป่านนี้ก็รวยกันไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิม ก็ห้อยไปอย่างนั้นเอง ห้อยด้วยความหวัง เห็นเขาว่าดี ก็ไม่อยากจะตกยุคตกสมัย จะไม่ได้ดีตามเขา เพราะไม่ฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากัน จึงทำผิดอยู่เรื่อยๆ จึงไม่ได้ผลที่ต้องการ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า จะรวยได้ก็ต้องเคยทำบุญในอดีต ถ้าไม่ได้ทำ ชาตินี้ก็ยังรวยได้ ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน หาได้มามากน้อยเพียงไร ก็เก็บเอาไว้ ไม่เอาไปใช้ เอามาขยายกิจการก่อน มีอยู่ร้านหนึ่งก็ขยายเป็นสองร้าน มีสองร้านก็ขยายเป็นสี่ร้าน มีสี่ร้านก็ขยายเป็นแปดร้าน ขยายไปเรื่อยๆ ไม่นานก็จะรวยได้ ยกตัวอย่างพวกธนาคารทั้งหลาย เดี๋ยวนี้มีสาขาเป็นร้อยเป็นพันสาขา แต่เวลาเริ่มต้น ก็มีเพียงธนาคารเดียว ไม่มีสาขา ก็ทำไปเรื่อยๆ เมื่อได้กำไร  มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ก็เปิดสาขาใหม่ ขยันทำไปเรื่อยๆ รักษาชื่อเสียงไว้ให้ดี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา ไม่โกหกหลอกลวง รับรองได้ว่า จะมีลูกค้ามาก  เพราะไม่ผิดหวัง พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ถ้าเขาถามว่าเขาต้องการของในวันพรุ่งนี้ จะมีให้เขาหรือไม่ ถ้าบอกว่ามี ก็ต้องมี ไม่ใช่บอกว่ามี พอเขามาเอาของก็ไม่มีให้เขา เขาก็จะเบื่อ ไม่อยากค้าขายกับเรา  คนเราจะร่ำจะรวยได้ ต้องทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยสติด้วยปัญญา ศึกษาดูความต้องการของตลาด ถ้าขายในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ ขายไปจนวันตายก็จะขายไม่ออก ต้องศึกษาดูความต้องการ ว่าเขาต้องการอะไร ก็ไปหาสิ่งที่เขาต้องการมาขาย อย่างตอนนี้พวกที่ผลิตเหรียญต่างๆ รู้ว่าเหรียญกำลังขายดี จึงผลิตกันออกมามาก มีโรงงานเถื่อนด้วย ตำรวจเพิ่งจับมาได้

 

สิ่งที่เราคิดว่าวิเศษ ความจริงก็เป็นของปลอมทั้งนั้น ไปซื้อของปลอมมาห้อยคอ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเลย เป็นเพียงอุปาทาน ห้อยพระห้อยเหรียญแล้ว   จะได้ถูกล็อตเตอรี่ แต่คนที่ไม่ได้ห้อย ก็มีถูกกันเยอะแยะ คนที่ห้อยแต่ไม่ถูกก็มีเยอะแยะเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ที่เหรียญที่ห้อยคอ จะว่าอยู่ที่โชคหรือบุญที่เคยทำมาในอดีตน่าจะถูกต้องกว่า เมื่อได้ทำบุญไว้มากๆ ถึงเวลาที่บุญจะออกดอกออกผล      ก็จะหาช่องออกจนได้   ซื้อล็อตเตอรี่เพียงใบเดียวก็ถูกได้ ถ้าไม่ได้ทำบุญไว้ หรือบุญยังไม่ถึงเวลาที่จะออกดอกออกผล ต่อให้ซื้อเป็นร้อยใบพันใบ ก็จะไม่ถูกอยู่ดี จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เชื่อในหลักกรรม ให้ทำดีไว้  ทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ แล้วผลดีต่างๆก็จะตามมา ผลเสียผลร้ายต่างๆ ก็จะอยู่ไกลจากเรา  ทุกสิ่งทุกอย่างดีชั่วเกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าจะรู้หรือไม่ จะเชื่อหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเชื่อก็จะไม่ผิดหวัง เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรมคำสอน เชื่อพระอริยสงฆสาวก จะไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะสิ่งต่างๆที่ท่านสอนเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่มีของปลอมเจือปนอยู่เลย สอนว่าทำดีได้ดีก็เป็นอย่างนั้น ทำชั่วได้ชั่วก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้หาเหรียญมาห้อยคอ ในสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สร้างให้หล่อพระพุทธรูป เพราะทรงเห็นว่า ไม่ได้เป็นตัวสำคัญ ไม่ได้ทำให้เราวิเศษ ทำให้เราเจริญ ทำให้เรามีความสุขได้ สิ่งที่วิเศษสิ่งที่เจริญก็คือ การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ทำดีละบาป กำจัดความโลภความโกรธความหลงต่างหาก ที่จะทำให้เราดี ให้เราสุข ให้เราเจริญ

 

ทรงตรัสว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป ไม่ได้อยู่ที่เหรียญที่ห้อยคอ แต่อยู่ที่การกระทำของเรา ทรงตรัสว่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะมีดวงตาเห็นธรรม เมื่อมีดวงตาเห็นธรรมก็จะเห็นพระพุทธเจ้า  เกิดจากการทำความดี เมื่อทำความดีแล้ว ก็จะปรากฏผลขึ้นมาในใจ ทรงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้เห็นตถาคตก็คือผู้เห็นธรรม จะเห็นธรรมได้ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของตถาคต ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำดีละบาป อย่าไปโลภไปโกรธไปหลง เพราะความโลภความโกรธความหลง จะฉุดลากให้ไปทำบาป ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี เวลาเราโลภอยากจะได้อะไรมากๆ ถ้าขายของก็อยากจะให้ลูกค้าซื้อของของเรา ถึงแม้จะไม่มีของ ก็บอกว่ามีไปก่อน พอเขามารับของก็ไม่มีให้เขา แต่เอาเงินไปก่อนแล้ว แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆ เพราะความโลภทำให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี คือพูดปด ทำบาป ไปเอาเงินของเขามาก่อน แล้วก็ไม่คืนเขาด้วย ทั้งๆที่ไม่มีของให้กับเขา ก็อ้างว่าใช้เงินหมดไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น เมื่อทำบาปทำกรรมไปแล้ว ในปัจจุบันก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ตายไปก็ต้องไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นผีเป็นเปรตบ้าง ไปตกนรกบ้าง นี่คือที่ไปของผู้ที่ทำบาปทำกรรม เพราะความโลภนั่นเอง ถ้าไม่โลภซะอย่าง ก็จะไม่ต้องทำบาป จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะความจำเป็นของชีวิตมีไม่มาก มีเพียงปัจจัย ๔ ก็อยู่ได้แล้ว มีเสื้อผ้าสัก ๒-๓ ชุด มีที่หลบแดดหลบฝน ไม่ต้องเป็นบ้านราคาเป็นแสนเป็นล้าน ไม่มีเงินซื้อบ้านก็เช่าอยู่ก็ได้ เดือนละพันสองพัน พอหลบแดดหลบฝนได้ ไม่ต้องโลภอยากมีบ้านราคาเป็นแสนเป็นล้าน ไม่ต้องมีเสื้อผ้าราคาแพงๆไว้สวมใส่ เพราะเมื่อมีความโลภอยากได้แล้ว ก็ต้องไปทำมาหากินโดยไม่สุจริต ต้องโกหกฉ้อโกง

 

เมื่อทำอย่างนี้แล้ว จะไม่ได้ดิบได้ดี จะมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ไม่สบายใจ ต่อให้หามาได้มากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่พอเลี้ยงความโลภของเรา ได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็ยังอยากจะได้เพิ่มมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ต่อให้มีมากน้อยเพียงไร ก็ยังไม่รู้จักอิ่มจักพอ จะต้องหามาอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่โลภ พอมีพอกินแล้ว ก็จะไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปโกหก ไปฉ้อโกง ถ้าทำไม่ได้ก็บอกไปว่าทำไม่ได้ เขาอยากจะให้เราทำงานชิ้นนี้ ก็บอกเขาว่าตอนนี้ยังไม่ว่าง ถ้าอาทิตย์หน้าพอจะทำได้ ก็บอกเขาตรงๆไป ถ้าเขาชอบฝีมือของเรา เชื่อในคำพูดของเรา รู้ว่าเราพูดจริง เขาก็อาจจะรอเราก็ได้ เราก็ไม่เสียลูกค้าไป แต่ถ้าไปหลอกไปโกหกเขาว่าได้ รับเงินเขามา ทำให้เขาเพียงนิดหน่อยก่อน เป็นตัวอย่างให้เขาเห็นว่าได้ทำแล้ว เสร็จแล้วก็ไปทำอย่างอื่น เขาก็ต้องรอไปเรื่อยๆ มาทีไรก็บอกว่ายังไม่เสร็จ ติดนั่นติดนี่อยู่เรื่อยๆ ถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะมีใครให้งานเราทำ ไม่มีหรอก เพราะคนเราทุกคนก็ต้องการได้สิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ ถ้าไม่ได้ทำก็จะเบื่อ ต้องไปหาคนที่ไม่พูดโกหกหลอกลวง นี่คือปัญหาของพวกเรา ส่วนใหญ่เกิดจากความโลภ เกิดจากความอยากได้สิ่งต่างๆ เพราะหลงนั่นเอง ความโลภเกิดจากความหลง คิดว่าถ้าได้อะไรมามากๆแล้ว จะมีความสุข แต่หารู้ไม่ว่า ได้มาแล้วจะไม่พอ จะต้องหามาอยู่เรื่อยๆ จะต้องวุ่นวายดิ้นรนหาสิ่งต่างๆมา ได้มาแล้วก็ต้องหามาอีกอยู่เรื่อยๆ ต้องทำบาปทำกรรม หาความสุขไม่เจอ

 

จะมีความสุขได้ก็จะต้องไม่โลภ ต้องรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ให้ความสุขที่แท้จริงกับเราได้ เพราะความสุขที่แท้จริงเกิดจากใจที่สงบระงับ จากความโลภโกรธหลงเท่านั้น ถ้าไม่โลภก็จะไม่โกรธ  เมื่อไม่โกรธก็จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ตั้งอยู่ในความมักน้อยสันโดษ คือให้ยินดีเท่าที่จำเป็น มีความจำเป็นต้องมีอะไร ก็ให้มีเท่านั้นก็พอ เช่นมีเสื้อผ้า ๒ ชุด ก็อยู่ได้แล้ว สลับกันใส่ วันนี้ใส่ชุดนี้ อีกชุดหนึ่งก็เอาไปซัก พรุ่งนี้ก็เอาชุดที่ซักมาใส่ เอาชุดที่ใส่ไปซัก มีเพียง ๒ ชุดก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องมีเป็นร้อยๆชุด ไม่เกิดประโยชน์อะไร มี ๑๐๐ ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด ไม่ได้ใส่ทีละ ๑๐๐ ชุดพร้อมๆกัน ใส่ไม่ได้ เพราะมีร่างกายเพียงร่างกายเดียว ก็ต้องใส่ทีละชุด คำว่ามักน้อยก็คือให้มีเท่าที่จำเป็น อย่าไปมีมากเกินความจำเป็น ไม่ได้ทำให้มีความสุขมากขึ้น แต่จะเป็นภาระกับใจ จะสร้างความห่วงความกังวล สร้างความอยากให้มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้ามีความมักน้อยแล้ว ความโลภจะไม่สามารถมีอำนาจเหนือใจของเราได้ เพราะเวลาโลภอยากจะได้อะไร ก็จะถามว่าไม่พอหรือ เท่าที่มีอยู่นี้ไม่พอใช้หรือ ไม่พอกินหรือ ไม่พออยู่หรือ พวกเรามีสิ่งที่จำเป็นพอเพียงกันทุกคนอยู่แล้ว บ้านก็มีอยู่ เสื้อผ้าก็มีใส่ อาหารก็มีรับประทาน ยาก็มีไว้รักษาโรค มีสิ่งจำเป็นพอเพียงอยู่แล้ว แต่ความโลภจะทำให้รู้สึกหิวรู้สึกอยาก รู้สึกว่าไม่มีความสุขเลย ถ้าอยากจะมีความสุขจริงก็อย่าไปทำตามความโลภ เพราะจะยิ่งสร้างความทุกข์ความหิวความอยากให้เพิ่มมากขึ้น ถ้าอยากจะสร้างความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ดับความโลภ อย่าไปโลภ ให้ใช้ธรรมะคือความมักน้อยปราบความโลภ ถ้ามีเพียงพอกับความจำเป็นแล้ว ก็ไม่ต้องไปหามาอีก เอาเวลามาทำอย่างอื่นดีกว่า

 

ถ้ามีเงินเหลือ แทนที่จะเอาไปซื้อของฟุ่มเฟือย ซื้อของไม่จำเป็น ก็เอามาทำบุญ มาช่วยเหลือคนอื่น จะทำให้มีความสุขใจ มีความอิ่มใจ ไปเกิดชาติหน้าก็จะร่ำรวยกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ เป็นสิ่งที่ควรจะทำกัน ถ้าไม่ได้ทำบุญ ไปเกิดชาติหน้าก็จะไม่มีเงินทองติดตัวไปด้วย จะต้องยากจนลำบากลำบน จึงควรเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้เชื่อในหลักกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเป็นความจริงล้วนๆ แต่เรายังมองไม่เห็นกัน เพราะไม่มีตาทิพย์นั่นเอง มีแต่ตาเนื้อ เราเห็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่เห็นอดีตชาติ ว่าได้ทำบุญทำกรรมมามากน้อยเพียงไร ไม่เห็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อไปว่า เมื่อตายไปแล้ว จะไปเป็นอะไร มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกเท่านั้น ที่มีดวงตาเห็นธรรม มีตาทิพย์ ที่จะเห็นวิบากกรรมได้ ถ้าเราไม่เชื่อก็เป็นเหมือนกับคนตาบอดที่ไม่เชื่อคนตาดี คนตาบอดไม่เชื่อคนตาดี แล้วจะไปไหนมาไหนได้อย่างไร เพราะมองไม่เห็นทาง ไม่รู้ว่าทิศไหนอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าทิศเหนือทิศใต้ทิศตะวันออกทิศตะวันตกอยู่ด้านใด ถ้าอยากจะไปทิศตะวันออก แต่เดินไปทางทิศเหนือ เดินไปจนวันตายก็จะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง  เช่นเดียวกับพวกเรา ถ้าอยากจะร่ำอยากจะรวย อยากจะมีความสุข แต่กลับไปซื้อเหรียญซื้อพระมาห้อยคอ แล้วก็นั่งงอมืองอเท้า รอให้ร่ำให้รวย รอไปจนวันตายก็ไม่มีทางที่จะรวยได้ แต่ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า ถ้าอยากจะรวยก็ต้องทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เก็บเงินเก็บทองไว้ขยายกิจการไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วก็จะร่ำรวยอย่างแน่นอน นี่คือหลักความจริง อยู่ตรงที่การกระทำ จึงต้องพึ่งตนเอง อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ 

 

การห้อยพระไม่ได้ห้อยเพื่อให้ร่ำรวย ห้อยเพื่อเตือนสติ ให้รำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ดูพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกเป็นตัวอย่าง ว่าท่านดำเนินชีวิตอย่างไร ท่านห้อยพระหรือเปล่า ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น มีแต่ทำความดี รักษาศีล ปฏิบัติธรรม กำจัดความโลภความโกรธความหลง จนหมดสิ้นไปจากใจ ที่ทำให้ท่านกลายเป็นผู้วิเศษ มีความสุขเต็มอยู่ในหัวใจ เพราะเมื่อไม่มีความโลภความโกรธความหลงแล้ว ความหิวภายในใจก็จะหมดไป เมื่อไม่มีความหิว ความอิ่มก็ปรากฏขึ้นมา ถ้าอยากจะมีความอิ่มมีความสุขก็ต้องตัดความโลภ อย่าไปอยากได้สิ่งต่างๆ เพราะได้มามากแล้ว โลภมามากแล้ว แต่ยังไม่ได้พบกับความอิ่มความพอเลย เพราะการได้อะไรมาตามความโลภตามความอยาก  ไม่ได้ทำให้เกิดความอิ่มความพอ แต่ทำให้มีความอยากเพิ่มมากขึ้นไป ทรงตรัสไว้ว่า มหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีขอบมีฝั่ง แต่ความอยากคือตัณหา ไม่มีขอบไม่มีฝั่ง ต่อให้ได้มามากน้อยเพียงไร ก็จะไม่พอ จะพอได้ก็ต่อเมื่อระงับความอยากเท่านั้น จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระอริยสงฆสาวก แล้วปฏิบัติตาม จะได้พบกับสิ่งที่ปรารถนากันอย่างแน่นอน คือการเจริญในอายุวรรณะสุขะพละ การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้