กัณฑ์ที่ ๓๓๒       ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐

 

 

คิดดี

 

 

 

การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ให้ห่างไกลจากความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความวุ่นวายทั้งหลาย เพราะการกระทำเป็นเหตุ ที่จะนำมาทั้งผลที่ดีและไม่ดี คือความเจริญและความเสื่อม  ความสุขและความทุกข์ เกิดจากการกระทำของเรา ไม่ได้เกิดจากผู้อื่น เมื่อทำไปแล้วผลก็จะเกิดตามมา  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราทำดีละบาป เพราะการกระทำความดีเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญ การทำบาปเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์และความเสื่อมเสีย ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำของเรา ทางกายทางวาจาและทางใจ ทางกายเรียกว่ากายกรรม ทางวาจาเรียกว่าวจีกรรม  ทางใจเรียกว่ามโนกรรม กรรมที่สำคัญที่สุดก็คือมโนกรรม  การกระทำทางใจ ใจต้องคิดก่อนถึงจะพูดได้ ถึงจะทำได้ ถ้าคิดดีก็จะพูดดีทำดี ถ้าคิดไม่ดีก็พูดไม่ดีทำไม่ดี เราจึงต้องคอยดูใจของเราอยู่เสมอ  ดูว่าคิดดีหรือไม่ดี  ต้องสอนใจให้คิดดี  ถ้าสอนไม่เป็น ก็ต้องฟังเทศน์ฟังธรรม ต้องอ่านหนังสือธรรมะอยู่เรื่อยๆ จะได้คิดดีเป็น  เมื่อคิดดีก็จะพูดดีทำดี พระธรรมคำสอนสอนไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ  เพราะเป็นความคิดที่ไม่ดี เวลาโลภใจจะร้อน  จะนั่งอยู่ไม่ติดที่ จะอยู่เฉยๆไม่ได้ จะต้องไปทำไปหาสิ่งที่โลภที่อยากได้ เช่นขณะนี้เรานั่งอยู่ตรงนี้  ถ้าไม่มีความโลภอยากจะลุกจากที่นี่ไป  ก็จะนั่งอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่ถ้ามีความกังวลห่วงใยกับบางสิ่งบางอย่างบางเรื่อง ทำให้อยากไปจากที่นี่ ก็จะนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้  ต้องลุกหนีไป ถ้าไม่ระมัดระวังก็อาจจะไปพูดไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ถ้ามีความไม่พอใจก็จะโกรธ  จะพูดไม่ดีทำไม่ดี

 

แต่ถ้าไม่โลภไม่อยากได้อะไร คนอื่นจะพูดจะทำอะไร เราจะรู้สึกเฉยๆ   เพราะเราไม่อยากได้อะไร เขาอยากจะได้อะไรก็ให้เขาไป ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าอยากได้ในสิ่งเดียวกันก็ต้องต่อสู้กัน แข่งขันกัน ทะเลาะวิวาท ทำร้ายกัน เพราะเราโลภ  จึงต้องแข่งกับผู้อื่น มีเรื่องราว มีปัญหาต่างๆตามมา  ความโลภจึงไม่ดี ไม่โลภเราก็อยู่ได้  เราต้องการอะไร ก็หาด้วยความสุจริต ตามความสามารถ ถ้ามีใครต้องการเราก็ถอย ปล่อยให้เขาเอาไป เราไปหาที่ใหม่ก็ได้ ไปหาอย่างอื่นก็ได้ ในโลกนี้มีข้าวของต่างๆมากมาย ไม่ต้องแย่งกัน  ถ้าจำเป็นต้องแข่งขันกัน ก็แข่งด้วยไมตรีจิต มีความเมตตา คิดว่าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างต้องทำมาหากินก็ทำกันไปด้วยวิธีที่สุจริต  ไม่กลั่นแกล้งกัน ไม่ใช้วิชามาร เช่นไปบอกคนอื่นว่าคู่แข่งของเราไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เราไม่ต้องไปทำอย่างนั้นถ้าเรามีจิตเมตตา ต้องเห็นใจกัน ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โดยไม่ต้องต่อสู้กัน ไม่ต้องใช้วิธีมารก็ได้ ทำให้ดีที่สุด  ใครทำดีกว่าก็จะขายของได้มากกว่า เพราะคนซื้อชอบซื้อจากผู้ที่ให้การบริการที่ดีกว่า ให้ของที่ดีกว่า ราคาถูกกว่า ไม่ต้องไปใช้วิชามาร ไม่ต้องกลั่นแกล้งกัน เพราะมีความเมตตา  พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คิดให้พูดให้ทำด้วยความเมตตา   ถ้าคิดด้วยความโหดร้ายทารุณ คิดเบียดเบียน คิดอาฆาตพยาบาท ก็จะทำให้เราพูดและทำไม่ดี ผลเสียหายก็จะเกิดตามมาทั้งในปัจจุบันและในอนาคต  ในปัจจุบันก็จะมีปัญหาต่างๆ มีเรื่องมีราว มีความเดือดร้อน จึงควรคิดดีอยู่เรื่อยๆ จะได้พูดดีทำดี 

 

เช่นวันนี้เราคิดดีกัน  คิดมาทำบุญ มาช่วยเหลือพระภิกษุสามเณร ถวายอาหารคาวหวาน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ  เมื่อคิดดีแล้วก็จะพูดดีทำดี เมื่อสักครู่นี้ก็ได้พูดดีกัน ด้วยการกล่าวคำถวายสังฆทาน ขอถวายภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ  ตามด้วยการกระทำที่ดี คือได้ถวายสิ่งของต่างๆ ผลดีก็จะตามมา ในเบื้องต้นก็จะปรากฏขึ้นในใจ มีความอิ่มเอิบใจ ความสุขใจ ความพอใจ ความภูมิใจ  ถ้าเอาเงินก้อนที่ทำบุญนี้ไปใช้อย่างอื่น เช่นเอาไปซื้อสุรามาดื่มหรือไปเที่ยว เราก็จะได้ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปชั่วขณะหนึ่ง  หลังจากนั้นก็จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย  มีแต่ความอยากไปเที่ยวอีก ไปดื่มสุราอีก  แต่ไม่มีความอิ่มใจ ความสุขใจ ความพอใจ ความภูมิใจ นี่คือการใช้เงินก้อนเดียวกันที่มีความแตกต่างกัน เพราะคิดดีหรือไม่ดีนี่เอง   การคิดเสพสุรายาเมา  ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นความคิดที่ไม่ดี ไม่ได้พาไปสู่ความสุขความเจริญ  แต่จะพาไปสู่ความเสื่อมและความทุกข์ เมื่อทำครั้งหนึ่งแล้วก็อยากจะทำอีก ทำอยู่เรื่อยๆ ทำมากก็ต้องใช้เงินมาก ไม่ช้าก็เร็วเงินทองก็จะไม่พอใช้ ปัญหาก็จะตามมา จะไปหาเงินทองที่ไหนมาใช้ดี เพราะใช้ติดเป็นนิสัยแล้ว เคยเที่ยวมากๆ ก็จะติดเป็นนิสัย  เคยเสพสุรายาเมามากๆ ก็จะติดเป็นนิสัย ก็จะต้องไปหาเงินมาให้ได้ ถ้าไม่มีงานทำก็จะต้องไปลักเล็กขโมยน้อย   ไปโกหกหลอกลวงคนนั้นคนนี้ เพื่อขอยืมเงินยืมทอง  ยืมมาแล้วก็ไม่มีทางที่จะใช้ เป็นการขโมยด้วยการหลอกลวง หลอกขอยืมเงินแล้วจะเอามาใช้ แต่จะเอามาใช้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ มัวแต่ไปเที่ยวไปดื่มสุรา ต่อไปก็จะถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง  เพราะจะทำผิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนต้นก็โกหกหลอกลวง ต่อไปก็ลักขโมย ไปปล้นไปจี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ถูกจับก็ถูกยิงตาย

 

เพราะคิดไม่ดี  คิดไปในทางที่ผิด  ถ้าคิดในทางที่ถูก ก็ต้องคิดขยันทำงาน ทำมาหากิน ขยันเก็บเงินเก็บทอง ได้เงินทองมามากหรือน้อยก็ต้องเก็บเอาไว้ ไม่ใช้จนหมด  ใช้ในสิ่งที่จำเป็น  เช่นอาหาร  เสื้อผ้า  ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย แต่ก็ใช้พอประมาณ ไม่มากเกินความจำเป็น มีเสื้อผ้าสัก ๔ - ๕ ชุดก็อยู่ได้แล้ว  มีอาหารรับประทานวันละ ๒ - ๓ มื้อก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องเป็นอาหารราคาแพงๆ กินเข้าไปก็อิ่มท้องเหมือนกัน ออกมาก็ไม่มีใครอยากจะได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารราคาแพงขนาดไหน คิดดีต้องคิดอย่างนี้ คิดขยันทำงานทำการ ได้เงินมาก็เก็บเงินเก็บทองไว้ ใช้ในสิ่งที่จำเป็น  ถ้ามีเหลือก็เอามาทำบุญให้ทาน ไม่เอาไปเที่ยว ซื้อของฟุ่มเฟือย เพราะไม่ได้บุญ ซึ่งมีความจำเป็นกับเรา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต  ในปัจจุบันก็ทำให้เรามีความสุขใจ ความอิ่มใจ ในอนาคตเมื่อไปเกิดใหม่ ก็จะได้มีฐานะการเงินที่ดีกว่าเดิม  จะรวยขึ้นสวยขึ้น เพราะบุญนี่แล พวกเราที่มีความแตกต่างกัน ในความสวยก็ดี  ในฐานะการเงินก็ดี ก็เพราะบุญที่ได้ทำกันเอาไว้ในอดีต  พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราคิดดี  คิดทำบุญ  คิดละบาป  คิดไม่โลภ คิดไม่โกรธ คิดไม่หลง จะได้ทำในสิ่งที่ดี ทำบุญ ไม่ทำบาป ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงความสุขและความเจริญก็จะตามมา  พระพุทธเจ้าทรงเจริญเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะคิดดีพูดดีทำดี  ทรงคิดว่าความเจริญที่แท้จริงไม่มีในโลกนี้ ถ้าอยากจะเจริญจริงๆก็ต้องสละสมบัติข้าวของเงินทอง แล้วออกบวชไปอยู่ในป่า  ไปต่อสู้กับความโลภความโกรธความหลง ความอยากทำบาปทำกรรม เอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เมื่อชนะแล้วใจจะไม่มีความหิวความอยากกับอะไรทั้งสิ้น จะมีแต่ความสุขความอิ่มตลอดเวลา ไม่ต้องไปหาอะไรมาให้ความสุข ให้ความอิ่มกับใจ

 

เมื่อไม่มีความหิวความอยากแล้ว ก็ไม่ต้องไปพูดไปทำอะไรเสียๆหายๆ อยู่เฉยๆก็สบายอยู่แล้ว ใครจะพูดจะทำอะไรก็ไม่กระทบกับใจของเรา ไม่ทำให้เราโกรธ ให้เสียใจวุ่นวายใจ เพราะใจได้ตัดหมดแล้วในเรื่องของความหลงทั้งหลาย ความหลงนี่แลที่ทำให้ใจต้องไปยุ่งกับเรื่องต่างๆ เพราะคิดว่ามีประโยชน์ ทำให้เรามีความสุข เราจึงไปยุ่งกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับคนนั้นคนนี้ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แล้วไปทุกข์กับเรื่องเหล่านั้น กับคนเหล่านั้น กับสิ่งเหล่านั้น เพราะคนก็ดี  สิ่งต่างๆก็ดี ไม่ดีเสมอไปตลอด  มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ได้อะไรมาใหม่ๆก็ดีอกดีใจ พอนานเข้าไปก็เปลี่ยนไป จากของใหม่ก็กลายเป็นของเก่าไป ก็เกิดความเบื่อหน่าย อยากจะได้สิ่งใหม่ๆอีก ถ้ายังไม่เบื่อพอสิ่งนั้นเกิดเสียไปหายไป ก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ อาลัยอาวรณ์ นี่คือความทุกข์ที่พวกเราวิ่งเข้าไปหากัน เพราะความหลง ไม่สามารถอยู่เฉยๆนั่นเอง อยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอะไร ก็ต้องไปดิ้นหามา เหมือนกับแกว่งเท้าไปหาเสี้ยน  อยู่เฉยๆก็ดีอยู่แล้ว ไปแกว่งหาเสี้ยนทำไม  ก็ต้องถูกเสี้ยนตำ ทำให้เจ็บปวด ถ้าอยู่เฉยๆได้ ก็ไม่ต้องมีคู่ครอง ก็มีความสุขได้ ไม่ต้องมีสามีมีภรรยา ก็มีความสุขได้ ไม่ต้องมีลูกมีหลาน ก็มีความสุขได้ พอมีสามี มีภรรยา มีลูก มีหลาน ก็ต้องมาทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ทุกข์กับลูก ทุกข์กับหลาน ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องหย่าร้างกันไป ก็เห็นกันอยู่  ไม่รู้จักเข็ดหลาบกัน บางทีหย่าร้างไปได้ไม่นาน พอไปเจอคนใหม่เข้าก็หลงอีกแล้ว คิดว่าคนใหม่จะให้ความสุขกับเรา แต่ไม่มีอะไรที่ให้ความสุขอย่างเดียว จะต้องมีความทุกข์ติดตามมาด้วยเสมอ 

 

ถ้าได้คนดีก็ต้องทุกข์กับความห่วง กลัวจะไม่อยู่กับเราไปตลอด จะไม่ดีกับเราไปตลอด นี่ก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง  ถ้าไปเจอคนไม่ดีก็ต้องทุกข์กับความไม่ดีของเขา เดี๋ยวเขาก็ตีเรา  ซ้อมเรา ด่าว่าเรา  มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น  แต่เนื่องจากใจถูกความหลงครอบงำอยู่  ทำให้เป็นเหมือนคนหูหนวกตาบอด มองไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ คิดว่าได้มาแล้วจะมีความสุข ก็เลยดิ้นรนไปหามา  หามาแล้วก็ต้องทุกข์กับสิ่งที่ได้มา  ทุกข์ด้วยการดูแลรักษา  ทุกข์ด้วยความกังวล  กลัวจะเสียจะหายไป ทุกข์ด้วยความเสียใจเศร้าโศกเมื่อจากไป มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย แต่ถ้าไม่มีอะไรเลยแสนจะสบาย ไม่ต้องทุกข์กับสามี กับภรรยา กับลูก กับสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกไม่มีอะไรเลย จึงไม่ทุกข์กับอะไรเลย สามีก็ไม่มี ภรรยาก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี หลานก็ไม่มี  สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆก็ไม่มี  แต่ทำไมท่านอยู่ได้ ทำไมท่านมีความสุขมากกว่าพวกเรา เพราะธรรมชาติของใจเป็นอย่างนี้ สิ่งที่จะให้ความสุขกับใจไม่ใช่สิ่งภายนอก ไม่ใช่ข้าวของเงินทอง ไม่ใช่คนนั้นคนนี้  สิ่งนั่นสิ่งนี้ แต่เป็นความสงบของใจ ที่เกิดจากการทำความดี ละบาป ชำระความโลภความโกรธความหลงจนหมดไปเท่านั้น ที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง จึงควรเชื่อพระพุทธเจ้า ยึดพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ดูว่าท่านดำเนินชีวิตของท่านอย่างไร ท่านก็ไม่ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้เกิดเป็นพระ ท่านก็เกิดเป็นคนเหมือนเรา แต่เกิดในตระกูลสูง เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดิน มีความสุขกับสิ่งต่างๆมากมายก่ายกอง  แต่ทรงเห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่กับความสุขด้วย ทรงรู้ว่าเป็นความสุขที่ไม่ให้ความอิ่มความพอ  จึงทรงตัดสินใจสละราชสมบัติ แล้วก็ออกบวช ไปอยู่ในป่า รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา ต่อสู้กับความโลภความโกรธความหลง จนชนะในที่สุด กลายเป็นสรณะที่พึ่ง ที่กราบไหว้บูชาของพวกเรา มาจนถึงปัจจุบันนี้ 

 

นี่คือทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน ไม่ควรเดินไปในทางของความโลภความโกรธความหลง ของการทำบาปทำกรรม การหาความสุขที่มีอยู่ในโลกนี้ อยู่กับคนนั้นคนนี้ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  มีแต่ความทุกข์  ทุกวันนี้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์กัน ลองถามตัวเองดู ลองสังเกตดูว่ามีความสุขใจความอิ่มใจหรือยัง ถ้ายังไม่มีแสดงว่ายังไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ยังโลภยังโกรธยังหลงอยู่ ยังอยากจะไปเที่ยว ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆอยู่ ต่อไปไม่ช้าก็เร็วก็จะเสียใจ ต้องเจอกับความทุกข์ต่างๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น  จึงควรเชื่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อแบบฉบับของการดำเนินชีวิตของพระพุทธเจ้า และของพระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย แล้วปฏิบัติตาม  ทำไปเถิด จะมีความสุขความเจริญเพิ่มขึ้น ความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ   ถ้าเกิดมีเคราะห์กรรมต่างๆ ก็ให้ถือว่าเป็นวิบากกรรมที่ได้ทำในอดีต  ยังมีบาปมีกรรมมีบุญมีกุศล ที่ได้ทำไว้ในอดีตแต่ยังไม่ได้แสดงผล  จึงอย่าไปโยงกับการกระทำในปัจจุบัน โยงว่าทำดีแทบตายกลับไม่ได้ดีเลย มีแต่เรื่องมีแต่ราว มีแต่ปัญหา มีแต่เคราะห์กรรมต่างๆ เพราะเป็นวิบากกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตต่างหาก ไม่ได้เป็นผลที่เกิดจากการทำความดีในปัจจุบัน ที่ต้องรอไปก่อน ไม่เกิดขึ้นทันทีทันใดเสมอไป จะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในใจเท่านั้น เวลาทำความดีก็จะมีความสุขใจทันที แต่ผลตอบแทนคือความเจริญในสิ่งต่างๆ ในชีวิตการงาน ในฐานะการเงินการทอง  จะต้องรอในชาติหน้า จะได้ไปเกิดเป็นลูกของคนรวย ไม่ต้องลำบากลำบนหาเงินหาทอง เพราะอานิสงส์ของบุญที่ได้ทำไว้ในวันนี้นั่นเอง 

 

จึงควรทำความเข้าใจว่า บาปและบุญที่ทำในวันนี้ยังไม่ได้ปรากฏผลขึ้นมา จะปรากฏขึ้นแต่ในใจ ทำบุญก็มีความสุขใจ ทำบาปก็มีความทุกข์ใจ แต่ผลภายนอกต้องรอไปก่อน ถ้าเกิดมีผลของบาปหรือบุญในปัจจุบัน ก็ให้คิดว่าเป็นผลของบุญและบาปที่ทำไว้ในปางก่อน ในชาติก่อน ในหลายปีหลายเดือนหลายวันก่อนก็แล้วกัน  อย่าไปโยงว่าทำความดีแล้วเจอแต่เคราะห์กรรม เจอแต่เรื่องราวต่างๆ   ก็เลยไม่ยอมทำความดี จะขาดทุน ถ้าไม่ทำความดีแล้ว ต่อให้อยากเจริญมากน้อยเพียงไร ต่อให้มีพระวิเศษห้อยไว้ที่คอ ก็จะช่วยเราไม่ได้  พระพุทธเจ้าไม่ได้วิเศษด้วยการห้อยพระไว้ที่คอ วิเศษด้วยการทำความดี ไม่ทำบาป  จึงอย่าไปห้อยให้เสียเวลา ถ้าดีจริงป่านนี้พวกเราต้องวิเศษกันไปหมดแล้ว เพราะง่ายเหลือเกิน ห้อยพระแต่ไม่ทำบุญทำความดี ก็ยังเจริญได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล เหตุก็คือการกระทำของเรา ความสุข ความเจริญ ความทุกข์ ความเสื่อม ก็เป็นผลที่ตามมา จึงควรเชื่อและยึดมั่นกับการกระทำความดี กับการละบาป กับการชำระความโลภความโกรธความหลง เพื่อจะได้มีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปตามลำดับ จนถึงระดับเดียวกับของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ไปด้วยการกระทำเท่านั้น การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา  จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้