กัณฑ์ที่ ๓๓๓       ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐

 

วันวิสาขบูชา

 

 

 

วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา   วันที่เราน้อมจิตน้อมใจบูชาพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ  ผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อสัตว์โลกทั้งหลาย เพราะการปรากฏของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ การประกาศพระธรรมคำสอน ก็ไม่ได้ประกาศทุกๆพระองค์ ถ้าไม่ได้สั่งสอนสัตว์โลก ก็จะเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ทรงหลุดพ้นจากความทุกข์เพียงพระองค์เดียว ไม่ทรงเผยแผ่สั่งสอนสัตว์โลก สัตว์โลกทั้งหลายก็เลยไม่ได้รับประโยชน์ จากการปรากฏขึ้นของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เพราะไม่มีพระพุทธศาสนา ถ้าทรงประกาศพระธรรมคำสอนก็จะมีพระศาสนาปรากฏขึ้นมา ผู้มีศรัทธาก็จะได้รับประโยชน์จากพระศาสนา อย่างพวกเราเป็นต้น ทำให้พวกเราดำเนินชีวิตไปอย่างร่มเย็นเป็นสุข อย่างเจริญรุ่งเรือง การรำลึกถึงพระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง   เพราะถ้าไม่รำลึกถึงพระพุทธเจ้า มัวแต่ไปทำมาหากิน หาความสุขกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เราก็จะลืมพระพุทธเจ้า  จะลืมพระพุทธศาสนา แล้วเราก็จะเสียสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ ที่จะช่วยเราในยามที่เรามีความทุกข์ไป เพราะไม่มีอะไรจะดับความทุกข์ในใจของเราได้ นอกจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ต่อให้มีเงินทองกองเท่าภูเขา ก็ยังหนีความทุกข์ไปไม่ได้  ต่อให้เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นพระมหากษัตริย์ ก็ยังหนีความทุกข์ไปไม่ได้  ถ้าไม่มีธรรมะอยู่ในใจแล้ว จะต้องตกเป็นเหยื่อของความทุกข์ด้วยกันทุกคน พวกเราจึงเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้รำลึกถึงวันของพระพุทธเจ้าวันนี้  เป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน  ซึ่งเป็นวันเดียวกันแต่ต่างปีกัน คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖   ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาสเช่นปีนี้ คือมีวันเพ็ญ ๑๓ ครั้ง ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ แทน

 

เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประสูติ ได้เกิดมาในโลกนี้ จากนั้นอีก ๓๕ ปีก็ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นก็ทรงสั่งสอนสัตว์โลกอีก ๔๕ ปี ให้มีดวงตาเห็นธรรม  ให้มีปัญญา ที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์  หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก  หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายอีกต่อไป หลังจากนั้นก็ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานในอายุพรรษาที่ ๘๐ ต่อจากนั้นก็มีพระธรรมคำสอนเป็นศาสดาแทนพระองค์มาจนถึงวันนี้ เวลาได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน ได้ประพฤติปฏิบัติตาม ก็เท่ากับได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ได้เห็นพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมวินัยที่ตถาคตได้ตรัสไว้ชอบแล้วนี่แล  จะเป็นศาสดาของพวกเธอ  พวกเธอจะไม่ได้อยู่โดยปราศจากศาสดา ถ้านำเอาคำสอนของตถาคตไปศึกษาไปปฏิบัติ จนมีดวงตาเห็นธรรม เธอก็จะได้เห็นตถาคตที่แท้จริง  ที่อยู่ในใจของเธอนั้นแล  เพราะว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้เห็นตถาคตคือผู้เห็นธรรม จะเห็นธรรมได้ก็ต้องมีศรัทธาความเชื่อ แล้วก็นำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติกับกายวาจาใจของตน ชำระกายวาจาใจให้สะอาด  จนปรากฏเป็นดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา  นี่คือเรื่องของพระพุทธเจ้าของพวกเรา ที่ประสูติมาเพื่อทำความดี 

 

การมาเกิดของมนุษย์ก็มาได้ ๓ ลักษณะด้วยกันคือ ๑. มาทำความดี  ๒. มาทำความชั่ว ๓. มาไม่ทำความดีหรือความชั่ว  สำหรับพระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาทำความดี มาทำคุณทำประโยชน์ให้กับพระองค์และสัตว์โลก  พวกที่มาทำความชั่ว ก็มาสร้างความเดือดร้อน ความวุ่นวาย ความหายนะให้กับตนเองและผู้อื่น ส่วนพวกที่มาแบบกลางๆ ไม่ทำความดีหรือความชั่ว ก็จะไม่ทำคุณทำประโยชน์ ไม่สร้างความเสียหายความทุกข์ให้กับใคร การมาเกิดของมนุษย์จึงมีอยู่ ๓ รูปแบบด้วยกัน  การมาแบบพระพุทธเจ้าเป็นการมาที่ดีที่สุด  เพราะจะทำให้ตนและผู้อื่นได้รับความสุข ได้หลุดพ้นจากความทุกข์นั่นเอง  เราจึงควรยึดเอาแบบฉบับของพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง  ทรงสอนให้ทำความดี เราก็ทำความดี ให้ละบาป เราก็ต้องละบาป สอนให้ชำระกายวาจาใจให้สะอาด กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยการปฏิบัติบูชา คือทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมเป็นต้น ที่จะพาไปสู่ที่ดี ไปสู่ที่เจริญ ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น  การบูชาที่ถูกต้อง ต้องบูชาด้วยการประพฤติ  ด้วยการปฏิบัติ  การบูชามีอยู่ ๒ ลักษณะด้วยกันคือ   ๑. อามิสบูชา  ๒. ปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาได้แก่การบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียนเป็นต้น  ส่วนการปฏิบัติบูชา ก็คือการทำความดี ละบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง  การบูชาทั้ง ๒ ชนิดนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่แท้จริง เพราะจะให้ประโยชน์กับผู้บูชาได้อย่างแท้จริง  เราจึงต้องเชื่อพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

 

ทรงสอนให้ทำดีก็หมายถึงให้มีความกตัญญูกตเวที สำนึกในบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณ เช่นบิดามารดาครูบาอาจารย์เป็นต้น ท่านเป็นผู้ที่ให้เรามากกว่าเราให้ท่าน ท่านให้กำเนิดกับเรา  ให้ความรู้กับเรา   ให้เราได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ บุญคุณของท่านจึงมีมาก  เราจึงควรตอบแทนบุญคุณท่าน ด้วยการแสดงความเคารพ ความกตัญญูกตเวที มีโอกาสใด มีเวลาใด ที่จะทดแทนบุญคุณท่านได้ ก็ควรทำ ถ้ามีฐานะพอที่จะเลี้ยงดูให้ท่านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ก็ต้องเลี้ยงดูท่าน ให้ท่านอยู่อย่างสุขอย่างสบายเท่าๆกับที่เราอยู่กัน  อย่าให้พ่อแม่อยู่อย่างลำบากลำบน แต่เราอยู่อย่างสุขอย่างสบาย อย่างนี้ถือว่าไม่มีความกตัญญู ต้องคิดถึงพ่อแม่เป็นอันดับแรก มากกว่าคิดถึงตัวเรา เราต้องเสียสละเหมือนกับที่พ่อแม่เสียได้สละให้กับเรา  เสียสละเพื่อให้พ่อให้แม่ได้สุขได้สบาย ไม่ทำให้เราเสียหายล่มจม แต่จะทำให้เราเจริญรุ่งเรือง เพราะคนที่มีความกตัญญูเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ จะเป็นคนที่น่ารัก น่าชื่นชมยินดี  น่าสนับสนุน น่าคบค้าสมาคม ไม่มีใครรังเกียจ ไม่มีใครประณามว่าชั่วช้าเลวทราม แต่คนที่ไม่มีความกตัญญูนี่แล จะไม่มีใครชื่นชมยินดี ยกย่องสรรเสริญ คบค้าสมาคมด้วย นี่คือความดีประการที่ ๑ ที่พวกเราทุกคนควรทำกัน เป็นพื้นฐานของความดีทั้งหลาย  เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วอย่าให้ด้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่สุนัขมันยังรู้จักคุณของคนที่เลี้ยงมัน  เวลามันเห็นเจ้าของมันจะดีอกดีใจ กระดิกหาง วิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง เอาอกเอาใจเจ้าของ  เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่าให้สัตว์เดรัจฉานมันดีกว่าเรา ด้วยการไม่มีความกตัญญูกตเวที 

 

นอกจากมีความกตัญญูแล้วก็ให้มีความเคารพ มีสัมมาคารวะ ให้รู้จักที่สูงที่ต่ำ ในโลกนี้มีคนสูงต่ำไม่เท่ากัน  จะถือเท่ากันหมดไม่ได้  คนที่สูงกว่าเราก็ต้องให้ความเคารพ  คนที่ต่ำกว่าเราก็ให้ความกรุณาสงสาร ให้ความเมตตา คนที่เท่าเราก็ให้ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน  ควรปฏิบัติให้สมกับฐานะ  เช่นผู้มีพระคุณ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายาย ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ต้องให้ความเคารพ เพราะจะทำให้เราเป็นคนดีเป็นคนเจริญนั่นเอง นอกจากทำความดีแล้ว ก็ทรงสอนให้ละบาป ไม่ทำความชั่ว ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดโกหกหลอกลวง เสพสุรายาเมา  เพราะการกระทำทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นโทษ ทั้งกับตัวเราและผู้อื่น  ทำให้ตกทุกข์ได้ยาก  ต้องใช้เวรใช้กรรมทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไป จึงไม่ควรทำบาป  ถ้าไม่อยากตกอยู่ในบ่วงของความทุกข์ความลำบาก ประการสุดท้ายก็ทรงสอนให้ต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เป็นเหมือนเชื้อโรค ถ้ามีอยู่ในร่างกายก็จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย เราจึงต้องกำจัดด้วยธรรมโอสถ  คือทำจิตให้สงบแล้วก็เจริญปัญญา พิจารณาให้เห็นว่า สิ่งที่เราโลภเราโกรธเราหลงนั้น ไม่เที่ยง มาแล้วเดี๋ยวก็ไป ไม่ต้องไปอยากได้ เพราะเวลาจากไปเราจะเศร้าโศกเสียใจ เวลาโกรธใครก็ไม่ต้องไปทำร้ายไปฆ่าเขา เพราะเดี๋ยวเขาก็ตายไปเองเพราะเกิดมาแล้วไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายไปด้วยกันทุกคน ใครทำบุญทำกรรมอะไรมา ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปใช้บุญใช้กรรม  ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรม เพราะจะย้อนกลับมาหาเรา  เวลาโกรธก็ทำใจให้นิ่งเฉย ให้อภัย ไม่จองเวร แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะผ่านไป ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องไปใช้เวรใช้กรรมของเขา ไปตกทุกข์ได้ยาก ไปตายในที่สุด ไม่ต้องไปทำอะไรให้เสียเวลา  ให้เหนื่อยเปล่าๆ 

 

นี่คือวิธีกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ  ด้วยการเจริญปัญญา ให้คิดเสมอว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรอยู่กับเราไปตลอด เวลาอยากจะได้อะไร ก็พยายามมองให้เห็นว่ามีความทุกข์ด้วย ไม่ใช่มีความสุขอย่างเดียว  เวลาได้อะไรมาใหม่ๆ ก็จะมีความสุขดีอกดีใจ แล้วก็ต้องมาห่วง มากังวล มาดูแลรักษา มาเสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้ เมื่อสิ่งที่ได้มาต้องจากเราไป  อย่าไปเอามาดีกว่า คนเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมายก่ายกอง ถ้ามีปัจจัย ๔ พอเพียงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นๆอีก ถ้าไม่อยากมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไปอีก  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หาความสุขภายในใจ ด้วยการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่าไปอยากได้อะไร  อย่าไปโกรธใคร อย่าไปหลงอะไร แล้วจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข  ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นตัวอย่าง มีผู้นำเอาไปศึกษาและปฏิบัติตาม จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก  พวกเราก็อยู่ในฐานะที่จะดำเนินตามพระพุทธเจ้าได้  ถึงแม้จะไม่ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็ทำให้ชีวิตของเราไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์มากจนเกินไป เวลาอยากจะได้อะไร ถ้าไม่มีปัญญาที่จะหามาได้ ก็ตัดใจไปเสีย ไม่มีก็ไม่ตาย คิดเพียงเท่านี้ก็จะสบายใจ ไม่ต้องไปเป็นหนี้เป็นสิน ไม่ต้องไปลักเล็กขโมยน้อย เพื่อหาเงินหาทองมาซื้อสิ่งที่เราอยากได้  ที่ไม่ได้ทำให้เราวิเศษให้เราสุขมากขึ้นเลย แต่จะทำให้ทุกข์มากขึ้น  ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว การดำเนินชีวิตด้วยการทำความดี คือมีความกตัญญู มีสัมมาคารวะ  ละบาป กำจัดความโลภ ความโกรธความหลง ก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง จึงขอให้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชานี้ แล้วความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของท่าน ก็จะเป็นผลที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้