กัณฑ์ที่ ๓๔ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๔
ทำบุญแผ่นดินไทย
วันนี้เป็นวันทำบุญแผ่นดินไทย
ทุกๆวันอาทิตย์ที่ ๒
ของเดือนมกราคมในปีนี้ตรงกับวันที่
๑๔ มกราคม ทางวัดญาณสังวราราม
วรมหาวิหาร
ในพระบรมราชูปถัมภ์
ได้จัดพิธีทำบุญเพื่อแผ่นดินไทย
โดยนิมนต์พระภิกษุจากวัดต่างๆ
ในจังหวัดชลบุรีและในจังหวัดระยอง
มารับสังฆทานจำนวน ๙๙๙ รูป
โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช
ทรงเป็นประธานในพิธีถวายสังฆทานนี้
เจตนารมณ์เพื่อที่จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ
นักต่อสู้
นักรบชาวไทยทั้งหลาย
ที่ได้ช่วยกันรักษาปกป้องแผ่นดินไทยมา
ให้เราได้อยู่เป็นอิสระเป็นไทยจนกระทั่งทุกวันนี้
พวกเราทั้งหลายเปรียบเหมือนกับเป็นลูกหลานของท่าน
มีความสำนึกในพระคุณของท่านเหล่านี้
จึงได้ร่วมจิตร่วมใจกันมาที่วัดวันนี้เพื่อทำบุญถวายสังฆทาน
แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้กับท่านที่ล่วงลับไปแล้ว
การทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว
ถ้าผู้ล่วงลับไปแล้วไปเกิดในสุคติ
คือไปเป็นมนุษย์ก็ดี
เป็นเทวดา เป็นพรหม
หรือเป็นพระอริยบุคคลก็ดี
ท่านจะไม่ได้รับบุญอุทิศของเรา
เพราะว่าท่านมีบุญมากกว่าบุญที่เราอุทิศไปให้ท่าน
ถ้าท่านทราบท่านจะอนุโมทนาบุญของเรา
ส่วนผู้ที่ตายไปแล้วไปสู่นรกไปเป็นอสุรกาย
ไปเป็นเดรัจฉาน
พวกนี้ก็ไม่ได้รับบุญเหมือนกัน
มีอยู่พวกเดียวที่รอรับส่วนบุญของพวกเรา
คือพวกเปรต
ถ้าเราอุทิศส่วนบุญไปให้เขา
เขาก็จะได้รับ
แต่ถ้าไม่มีใครรอรับ
บุญส่วนนี้จะไปไหน
บุญส่วนนี้มันก็กลับมาหาเรา
มันยังเป็นของๆเราอยู่
เหมือนกับเวลาที่เราแจกเงินให้คนอื่น
แต่ไม่มีใครรับเงินนี้
เงินนี้ก็กลับมาหาเรา
เรื่องการอุทิศส่วนบุญนั้นมีความเป็นมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล
คือมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่พระองค์หนึ่ง
ท่านมีปัญหาในยามค่ำคืนอยู่คืนหนึ่ง
คือไม่ทราบว่ามีเสียงอะไรร้องดังลั่นอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์
ทำให้ท่านไม่สามารถบรรทมหลับได้
ท่านก็เลยไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าในวันรุ่งขึ้น
ว่าเป็นเพราะเหตุอันใดจึงมีเสียงร้องดังในห้องบรรทมของพระองค์
พระพุทธองค์ทรงกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ว่า
ผู้ที่มาส่งเสียงร้องนั้นเป็นดวงวิญญาณของอำมาตย์ของท่านนั่นเอง
แต่ไม่ใช่อำมาตย์ในชาตินี้
เป็นในอดีตชาติที่ท่านได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ท่านมีอำมาตย์คอยรับใช้ท่านอยู่คนหนึ่ง
ท่านทรงโปรดใช้อมาตย์คนนี้ให้ไปทำบุญแทนท่าน
คือท่านจะให้เงินเขาแล้วรับสั่งให้เอาไปซื้อข้าวซื้อของไปทำบุญถวายพระ
ทีนี้อำมาตย์คนนี้ยังเป็นคนใจต่ำอยู่
มีความโลภก็เลยยักยอกเอาเงินบางส่วนไป
เมื่ออำมาตย์คนนี้ตายไปก็ไปเสวยกรรมอยู่ในนรก
พอหมดกรรมได้พ้นจากนรกก็มาเป็นเปรต
ชึ่งเปรียบเหมือนกับคนที่ถูกขังอยู่ในคุก
พอออกมาจากคุกก็ไม่มีงานทำ
ไม่มีเงินทอง
จึงนึกถึงคนที่เคยรู้จักกัน
ก็เลยนึกถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ที่เป็นเจ้านายเก่า
จึงมาหาเพื่อที่จะขอส่วนบุญ
นี่คือเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเล่าให้พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ฟัง
พระเจ้าแผ่นดินจึงทูลถามว่าจะให้ทำอย่างไร
พระพุทธเจ้าทรงทูลตอบไปว่า
ให้ทำบุญถวายทานให้กับพระภิกษุสงฆ์
แล้วก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเปรตตนนี้ไป
นี่ก็คือความเป็นมาของเรื่องการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่บุญอุทิศนั้นเป็นบุญส่วนน้อย
อุทิศได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง
สมมุติทำบุญ ๑๐๐ บาท
อุทิศได้เพียงบาทเดียว
เป็นเพียงค่ารถค่าราเพื่อที่จะได้ไปผุดไปเกิดต่อไปเท่านั้นเอง
ไม่ได้เป็นบุญมากมายก่ายกองอะไร
ถ้าอยากจะมีบุญมากๆ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำบุญในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
เพราะว่าเมื่อตายไปแล้วจะได้อาศัยบุญเหล่านี้พาไปสู่สุคติ
ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
เป็นพรหม เป็นอริยบุคคล
แต่ถ้าไม่ได้ทำบุญเลยมีแต่ทำบาป
ตายไปก็ไปสู่อบาย
เป็นเดรัจฉาน
เป็นเปรตเป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์นรก
นี่คือเรื่องกรรม ทำอะไรไว้
จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ
เพียงแต่ผลของกรรมอาจจะส่งผลช้า
ไม่ได้ปรากฏขึ้นในชาตินี้
ก็เลยดูเหมือนว่าทำกรรมอะไรไว้จะไม่มีผลตามมา
เลยทำให้ประมาทได้
พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า
จงอย่าประมาทในเรื่องบุญเรื่องกุศล
เรื่องบาปเรื่องกรรม
และอย่าประมาทในเรื่องกาลเวลา
เพราะว่าเวลานั้นเป็นของมีค่า
ไหลไปเหมือนกับกระแสน้ำ
ไหลไปแล้วไม่ไหลกลับมา
ชีวิตของเราก็เหมือนกับกระแสน้ำ
จะค่อยๆหมดไปๆ
วันหนึ่งผ่านไปชีวิตก็สั้นลงไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตของตนจะเหลืออยู่อีกกี่วัน
สำหรับบางคนอาจจะเหลืออยู่เพียงวันเดียวก็ได้
วันนี้มาทำบุญแล้ว
พอกลับไปบ้านหัวใจวายตายไปก็มี
พวกเราทุกๆคนก็อยู่ในข่ายเดียวกัน
จึงไม่ควรประมาท
ควรรีบขวนขวายทำบุญทำกุศลเสียในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่
เรื่องบุญเรื่องกุศลนั้นไม่มีใครทำให้เราได้
พ่อแม่ก็ทำให้เราไม่ได้
พระสงฆ์องค์เจ้าครูบาอาจารย์ก็ทำให้เราไม่ได้
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็เพียงแต่เป็นผู้สั่งสอน
ผู้แนะนำชี้ทางให้กับเรา
เราเป็นผู้ดำเนินเดินตาม
ถ้าทำตามที่ท่านชี้เราก็จะไปสู่ที่ดีงาม
ถ้านั่งอยู่เฉยๆก็จะไม่ไปถึงไหน
การทำความดี การทำบุญ ทำกุศล
คนอื่นทำให้เราไม่ได้
เราต้องทำเอง
พระพุทธองค์จึงสอนให้ทำความดี
ละความชั่ว
ในขณะที่ยังมีกำลังวังชาอยู่
อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
เพราะว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราก็เป็นได้
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้