กัณฑ์ที่ ๓๔๓ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๐
ศรัทธา จาคะ ศีล ปัญญา
วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาวัด มาปฏิบัติหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบไว้ เพื่อประโยชน์สุข เพื่อความเจริญก้าวหน้าที่จะตามมาต่อไป หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ทรงแสดงไว้มีอยู่ ๔ ประการด้วยกันคือ ๑. ศรัทธาความเชื่อ ๒. จาคะการเสียสละ ๓. ศีลการไม่เบียดเบียนกัน ๔. ปัญญาความฉลาดด้วยเหตุด้วยผล เป็นคุณธรรม ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนหมั่นบำเพ็ญ หมั่นปลูกฝังให้เจริญงอกงามขึ้นมา เพราะจะทำให้ได้พบกับความสุขความเจริญ ห่างไกลจากความทุกข์ความวุ่นวายทั้งหลาย ในเบื้องต้นทรงสอนให้มีศรัทธาความเชื่อ เชื่อในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม เป็นผู้รู้ผู้เห็น เรื่องความสุข ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อม ทรงรู้ว่าเกิดจากเหตุ คือการกระทำของเราเป็นหลัก ที่มีอยู่ ๓ ชนิดคือ ๑. มโนกรรมการกระทำทางใจ ๒. วจีกรรมการกระทำทางวาจา ๓. กายกรรมการกระทำทางกาย การกระทำทั้ง ๓ นี้เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ ความเจริญหรือความเสื่อม ถ้าคิดดีพูดดีทำดีก็จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญ ถ้าคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดีก็จะนำมาซึ่งความทุกข์และความเสื่อม นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วก็นำมาสั่งสอนพวกเรา พระพุทธเจ้าไม่สามารถเสกเป่าหรือดลบันดาลให้พวกเราได้สิ่งต่างๆที่อยากได้กัน อยากรวยก็ขอพระพุทธเจ้า อยากมีความสุขก็ขอพระพุทธเจ้า อยากได้สามีได้ภรรยาก็ขอพระพุทธเจ้า อยากได้ลูกก็ขอพระพุทธเจ้า อยากได้อะไรก็ขอหมด ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ถ้าอยากจะได้อะไรก็ให้สร้างขึ้นมาด้วยกายวาจาใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการที่เราปรารถนานั้น อยู่ในความสามารถของพวกเราอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าเกียจคร้านเท่านั้นเอง
อยากจะรวยก็ต้องขยันทำมาหากิน หาเงินหาทอง เก็บเงินเก็บทองไว้ ไม่นานก็จะรวยขึ้นมาได้ อย่ารวยแบบงอมืองอเท้า ซื้อล็อตเตอรี่ แทงหวย ทำไปจนวันตายก็ไม่มีทางที่จะรวยได้ ถ้ารวยได้ป่านนี้ก็รวยกันไปหมดทั้งประเทศแล้ว เพราะมีคนแทงหวยซื้อล็อตเตอรี่กันเป็นประจำ ซื้อมาเป็นกี่สิบปีแล้วก็ยังไม่เห็นรวยสักที แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าวิธีที่จะทำให้รวยเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ขยันทำมาหากิน หาเงินหาทอง รู้จักใช้เงินใช้ทอง รู้จักเก็บเงินเก็บทอง ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็เก็บเอาไว้ เก็บไปเรื่อยๆ ก็จะมีเงินทองมาก กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมา จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้หาเหรียญมาห้อยคอ แม้พระพุทธรูปก็ไม่ทรงสอนให้สร้างขึ้นมา ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต พระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ในพระธรรมนั่นเอง ถ้าศึกษาและปฏิบัติจนมีพระธรรมคำสอนอยู่ในใจแล้ว ก็จะเห็นพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คอยคุ้มครองรักษา เพราะคนที่มีธรรมอยู่ในใจย่อมตั้งอยู่ในความดีงาม ไม่ประพฤติตนในทางที่เสียหาย ไม่เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เกียจคร้าน คบคนชั่วเป็นมิตร ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ ถ้าไม่กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ความเสียหายต่างๆก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา ยกเว้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ได้ทำมา เราเกิดมาในโลกนี้เราก็มีวิบากติดตัวมาด้วย คือความแก่ความเจ็บความตาย เป็นวิบากของกรรมที่เราได้ทำในอดีต ส่งให้เรามาเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกันทุกคน ไม่มีใครหนีพ้น ต่อให้มีพระพุทธรูปราคาองค์ละเป็นล้านห้อยอยู่ที่คอ ก็ป้องกันไม่ได้เรื่องของวิบากกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน คนที่เสกเป่าเหรียญแจกพวกเรา ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครหนีความแก่ความเจ็บความตายไปได้
แต่สิ่งที่เราหนีได้ก็คือความทุกข์ คนที่มีพระธรรมคำสอนอยู่ในใจแล้ว จะไม่วุ่นวายกับความแก่ความเจ็บความตาย จะรู้สึกเฉยๆ เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนฝนตกแดดออก ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย ตายกันทุกคน แก่กันทุกคน เจ็บกันทุกคน แต่พอได้ข่าวว่าคนนั้นคนนี้ตายไปเท่านั้น ก็วุ่นวายเดือดร้อนกันไปหมด เพราะขาดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ เพราะมัวแต่หาพระพุทธเจ้าที่อยู่ภายนอก ที่เป็นรูปเป็นเหรียญต่างๆ ที่ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย แม้แต่พระพุทธรูปเองก็ยังช่วยตัวท่านเองไม่ได้เลย ถูกขโมยตัดพระเศียรไปขายเป็นจำนวนมาก ถ้าพระพุทธรูปวิเศษจริงทำไมไม่สามารถป้องกันตัวท่านได้ เพราะเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้นเอง เป็นรูปเหมือน เพื่อให้เรารำลึกถึงพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ที่ทรงตรัสรู้เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เรื่องกรรม เรื่องเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็นำเอามาสั่งสอนพวกเรา ให้คิดดีพูดดีทำดี เพราะเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะพาไปสู่ความสุขความเจริญ ปราศจากความทุกข์ทั้งหลาย มีวิธีนี้เท่านั้น ถ้าคิดดีพูดดีทำดีแล้ว จะไม่ทุกข์กับอะไรเลย สูญเสียอะไรไปก็จะคิดว่าไม่ใช่ของเรา เป็นของที่ยืมมา ไม่อยู่กับเราไปตลอด เมื่อถึงเวลาจากไป ก็คิดเสียว่าต้องไป คืนสู่เจ้าของเดิม ก็มีอยู่เท่านั้น ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็จะไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน ถ้าประสบกับความทุกข์ความลำบาก ก็คิดว่ามันเป็นกรรมเก่า ไปทำบาปทำกรรม ทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมา ก็เลยต้องใช้เวรใช้กรรมในขณะนี้ ไม่หวั่นไหว เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ยังสามารถสร้างความดีได้ สร้างความสุขให้ได้ เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ภายในใจ ไม่ต้องมีอะไรภายนอกมาทำให้ใจมีความสุข เพียงแต่ทำใจให้สงบระงับ ไม่ไปคิดเรื่องราวต่างๆ ที่สร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจเท่านั้นเอง ก็มีความสุขได้แล้ว
เวลาทุกข์กับเรื่องอะไร มีปัญหากับเรื่องอะไร ก็อย่าไปคิดถึงมัน ถ้ามันจะคิดก็ดึงมาคิดเรื่องอื่น เช่นคิดพุทโธๆไปเรื่อยๆ หรือสวดอรหังสัมมาฯไปในใจเรื่อยๆ สวดไปกี่รอบก็ได้ สวดไปจนกว่าจะลืม ไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้ทุกข์วุ่นวายใจ พอไม่คิดแล้ว ความทุกข์ความวุ่นวายใจก็หมดไปเอง เพราะเราสร้างมันขึ้นมาเองด้วยการคิดถึงมัน ถ้าจะคิดก็ต้องคิดให้ถูกหลักธรรม ถูกหลักความจริง วุ่นวายกับเรื่องอะไร ก็คิดว่ามันเป็นอย่างนี้ เราห้ามมันไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปวุ่นวายกับมัน ปล่อยให้มันเป็นไป ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียวก็คือ ทำใจของเราไม่ให้วุ่นวายเท่านั้นเองแต่เรื่องอื่นเราห้ามไม่ได้ เช่นห้ามไม่ให้คนเกลียดเราไม่ได้ ไม่ให้แกล้งเราไม่ได้ ไม่ให้ทำร้ายเราไม่ได้ ถ้าไม่หวั่นไหวกับการกระทำของเขาแล้ว เขาก็ทำได้แต่ร่างกายหรือสมบัติข้าวของเงินทองของเราเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำอะไรกับใจของเราได้ ใจจะไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องตายไป ก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไปอยู่ดี จากคนนั้นคนนี้ไป จากสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆไป ต้องจากไปด้วยกันทุกคน ถ้าจะจากกันตอนนี้ก็ให้จากไป ถ้าเสียเพียงของนอกกายไป ก็ยังมีร่างกายอยู่ ที่เป็นสมบัติที่มีคุณค่ามากที่สุดในโลกนี้ ต่อให้เอาเงินร้อยล้านพันล้านมาแลก เราจะยินดีที่จะแลกหรือไม่ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะรู้ว่า เรามีสมบัติที่มีคุณค่าอย่างยิ่งอยู่แล้ว ก็คือร่างกายนี้เอง ก็คอยดูแลรักษาร่างกายไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะสูญเสียอะไรไปก็ให้เสียไป ของนอกกายหาใหม่ได้ คนรักตายไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ สิ่งที่เรารักจากไปเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ ไม่ต้องกลัว ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร เพราะการไม่มีอะไรเลยนั้นดีที่สุด
ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวก็ต้องร้องห่มร้องไห้ ต้องทุกข์กังวลใจกับของที่ได้มา จะหวงจะห่วงจะกังวล เวลาจากไปก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ถ้าไม่มีอะไรเลยแสนจะสบาย ไม่ต้องหวง ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลกับอะไรกับใครทั้งนั้น เพียงแต่ทำใจให้นิ่ง ไม่ให้ไปอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เท่านั้นเอง ถ้าเห็นคนอื่นมีแล้วอยากจะมีบ้าง ก็ให้คิดถึงความทุกข์ที่เขามีกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น เราก็จะไม่อยากได้ คิดถึงพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ทรงมีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย แต่ก็ทรงสละไปหมด เพราะทรงเห็นว่าเป็นความทุกข์ ไม่ได้เป็นความสุข เวลาไม่มีแล้วแสนจะสบาย พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้มีจาคะการเสียสละ ให้ละให้ตัดสิ่งต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด นอกจากปัจจัย ๔ เท่านั้น ที่เรายังต้องอาศัยมันอยู่ ต้องมีอาหารรับประทาน มีเสื้อผ้าใส่ มียารักษาโรค มีบ้านไว้หลบแดดหลบฝน ก็มีเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นราคาแพงๆ ไม่ต้องใหญ่โตมโหฬาร อาหารกินมื้อละ ๕๐ บาทก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเป็นร้อยเป็นพัน เพื่อกินอาหารมื้อหนึ่ง กินไปแล้วก็อิ่มเหมือนกัน เวลาออกมาก็ต้องไปออกในห้องน้ำเหมือนกัน ไปที่อื่นไม่ได้ ไม่มีราคาอะไรแล้วเวลามันออกมา จึงอย่าหลงกับเรื่องการกินการอยู่มากจนเกินไป เพราะจะกดดันจิตใจให้ดิ้นรนหามาโดยไม่จำเป็น ต้องไปหาซื้อบ้านราคาหลายล้านมาอยู่ หาซื้อเสื้อผ้าราคาเป็นพันเป็นหมื่นมาใส่ ต้องไปรักษาโรงพยาบาลเอกชนที่จ่ายทีเป็นแสนเป็นล้าน ถึงเวลาก็ตายเหมือนกัน คนที่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนตายไปก็มีอยู่เยอะ โรงพยาบาลไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น หมอก็เรียนมาจากโรงเรียนเดียวกัน มีวิชาความรู้เหมือนกัน รักษาเราเต็มที่เหมือนกัน จึงอย่าเสียเวลามากจนเกินไปกับเรื่องปัจจัย ๔ พอมีพออยู่พอเป็นพอไปก็พอแล้ว ถึงเวลาก็ต้องตายเหมือนกัน ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถึงเวลาที่ร่างกายจะแตกจะดับ ไม่มีอะไรจะช่วยมันได้
สิ่งเดียวที่จะดูแลรักษาใจของเราไม่ให้วุ่นวายได้ ก็คือปัญญาความฉลาด พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้มีปัญญา ด้วยการศึกษาความจริงของชีวิตว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นจากความแก่ความเจ็บความตายไปไม่ได้ ล่วงพ้นจากการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้ ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆ ต่อไปจะมีปัญญาความฉลาด จะรู้ทันกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พอเวลาเราแก่เราเจ็บเราตาย เวลาสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้จากเราไป เราก็จะไม่วุ่นวาย จะไม่ทุกข์ จะไม่เสียอกเสียใจ นี่คือปัญญา ให้พิจารณาความจริงของชีวิต อย่าไปกลัว บางคนคิดว่าเวลาคิดถึงความแก่ความเจ็บความตายแล้วจะทำให้แก่เจ็บตายทันที เป็นไปไม่ได้ ความแก่ความเจ็บความตายก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อถึงเวลาจะตาย จะคิดหรือไม่คิดก็ตายเหมือนกัน เวลาจะเจ็บไข้ได้ป่วย จะคิดหรือไม่คิด ก็เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ที่คิดหรือไม่คิด เราจึงควรคิดเพื่อสอนใจเรา ให้เตรียมรับกับเหตุการณ์ไว้ เมื่อใจรู้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องราวอย่างนี้เกิดขึ้น ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ พอเกิดขึ้นมาใจก็ไม่วิตก ไม่หวั่นไหว จะรู้สึกเฉยๆ เหมือนกับเวลาไปยืมเงินมา รู้ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องคืนเขาไป พอถึงเวลาคืนก็ให้เขาไปเท่านั้นเอง จะไม่เสียอกเสียใจ ถ้าเงินทองหายไป ก็คิดว่าคืนเจ้าของไป ก็หมดเรื่อง จะร้องไห้เสียอกเสียใจไปทำไม เสียเงินก็พอแล้ว อย่าเสียใจด้วย เสียใจนี่มันเจ็บมาก ยิ่งกว่าเสียเงินเสียทอง เงินทองเป็นของนอกกายนอกใจ อย่าไปเสียดาย คิดเสียว่าเมื่อถึงเวลามันก็ต้องไป ถ้าคิดอย่างนี้แล้วจะสบายใจ จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อน
เมื่อรู้แล้วว่าเงินทองเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่จีรังถาวร ก็อย่าไปอาศัยเงินทองมากจนเกินไป หัดอยู่แบบไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง เช่นวันเสาร์วันอาทิตย์ลองอยู่บ้านดูเฉยๆ อย่าออกไปใช้เงินใช้ทอง หาอะไรทำในบ้าน เก็บกวาดเช็ดถูอะไรไป ทำให้บ้านเรือนสะอาด มีความสุขกับการอยู่บ้าน ไม่ต้องเสียเงินทอง ไม่ต้องกังวลกับการหาเงินหาทองมากจนเกินไป ถึงแม้บางวันหาเงินมาไม่ได้ก็จะไม่วิตก แต่ถ้าใช้เงินใช้ทองแบบสุรุ่ยสุร่าย อยากจะได้อะไรก็ซื้อมา เวลาหงุดหงิดใจ ไม่สบายใจก็ออกไปหาซื้อข้าวของมา เพื่อทำให้ความหงุดหงิดใจหายไป ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีแก้ความหงุดหงิดใจ เพราะความหงุดหงิดใจเกิดจากความดิ้นรนของใจ เวลาอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไรก็จะหงุดหงิด ก็หางานให้มันทำสิ เอามาสวดมนต์ เอามานั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ พอจิตสงบแล้วความหงุดหงิดก็หายไปเอง ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทอง พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีเงินไม่มีทอง แต่อยู่ได้อย่างสุขอย่างสบาย เพราะรู้จักอยู่แบบไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง พวกเราก็สามารถอยู่แบบนั้นได้ ถ้าจะใช้เงินใช้ทองก็ใช้กับสิ่งที่จำเป็น คือปัจจัย ๔ ไม่จำเป็นจะต้องไปซื้อข้าวของต่างๆมาให้รกบ้าน มาเป็นภาระ ต้องคอยดูแลรักษา นี่แหละคือการดำเนินชีวิตของชาวพุทธเรา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละสิ่งภายนอกออกไปให้หมด สละได้มากเท่าไรจะมีความสุขความสบายใจมากเท่านั้น ทรงสอนให้เตือนใจอยู่เสมอว่า เราอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน โลกของความเกิดแก่เจ็บตาย สักวันหนึ่งเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันไป
ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วจะไม่เดือดร้อน จะไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายใจ เวลามาเกิดก็มาคนเดียว มาตัวเปล่าๆ ทำไมเวลาไปจะต้องเดือดร้อนด้วย เพราะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้อยู่ดี เอาไปได้แต่บาปและบุญเท่านั้น จึงทรงสอนให้ละบาป เพราะทำบาปแล้วจะมีชนักติดตัวไป จะมีหนี้ติดตามไปด้วย มีเจ้ากรรมนายเวรตามไปจองล้างจองผลาญ จึงทรงสอนให้มีศีล ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา เพราะจะทำให้ต้องไปใช้เวรใช้กรรมในภพหน้าชาติหน้าต่อไป แทนที่จะไปเกิดบนสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องไปใช้เวรใช้กรรมในอบายก่อน ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง ไปตกนรกบ้าง เพราะเป็นผลที่เกิดจากการไม่มีศีลนั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงไม่อยากให้เราต้องไปใช้เวรใช้กรรม ไปตกนรก ไปแบกความทุกข์กัน จึงทรงสอนให้ละบาปและหลีกเลี่ยงอบายมุข ที่จะฉุดให้ไปทำบาป เช่น เล่นการพนัน พอหมดเนื้อหมดตัวก็ต้องไปหาเงินมาโดยวิธีที่มิชอบ ไปลักขโมย ไปปล้น ไปจี้ ไปฆ่า เพื่อให้ได้เงินมาเล่นการพนันต่อ ถ้าชอบหาความสุขจากการเที่ยว ก็จะต้องหาเงินมาใช้อยู่เรื่อยๆ เพราะคนที่ชอบเที่ยวมักจะไม่ชอบทำงานทำการทำมาหากิน เงินทองที่มีอยู่ก็ใช้ไปจนหมด ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไปโกหกหลอกลวง ไปลักขโมย หาเงินหาทองมาเที่ยวต่อ ทำให้มีบาปมีกรรมติดตัวไป ต้องไปใช้กรรมในอบาย
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้หลีกเลี่ยงอบายมุขและการกระทำบาป เพราะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตของเรา ไม่ทำสิ่งเหล่านี้เราก็อยู่ได้ อยู่อย่างมีความสุขด้วย ทรงสอนให้ปลูกฝังคุณธรรมทั้ง ๔ ประการอยู่เรื่อยๆ ให้มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มีจาคะการเสียสละ ให้ตัดให้ลดให้ละสิ่งที่อยู่นอกกายนอกใจ มีไว้เท่าที่จำเป็นก็พอ ส่วนไหนไม่มีความจำเป็นก็เอาไปบริจาค ให้คนที่เดือดร้อน ให้คนที่ไม่มี ถ้ามีเสื้อผ้าอยู่ในตู้ที่ไม่ได้ใส่มาเป็นปี ก็อย่าเก็บไว้ให้เกะกะเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไร บริจาคไปจะได้บุญได้กุศล ทำให้มีความสุขใจ ทำให้เป็นคนที่น่ารัก น่าชื่นชมยินดี แล้วก็ทรงสอนให้มีศีล ไม่เบียดเบียนกัน ให้มีปัญญารู้ทันความจริงของชีวิต ว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายต้องพลัดพรากจากกัน ปัญญาจะดูแลรักษาใจของเรา ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง จึงขอให้ท่านนำเอาคุณธรรมทั้ง ๔ ประการ ที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ไปพินิจพิจารณา ไปปลูกฝัง ไปบำเพ็ญ ให้เกิดขึ้นมาภายในใจต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้