กัณฑ์ที่ ๓๔๔ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๐
เรือนใจ
ชีวิตของคนเรามีองค์ประกอบอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน คือร่างกายและจิตใจ แต่ละส่วนมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยสิ่งเกื้อหนุน ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ร่างกายก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔ คืออาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่มห่ม ใจก็ต้องมีบุญมีกุศลซึ่งเป็นเหมือนเรือนใจ ที่มีองค์ประกอบอยู่หลายส่วน เหมือนกับบ้านเรือนที่เราพักอยู่อาศัย มีเสา มีพื้น มีฝา มีหลังคา มีประตู มีหน้าต่าง และส่วนประกอบอื่นๆ ฉันใดเรือนใจก็มีส่วนประกอบหลายส่วนเช่นกัน คือ ๑. ทานการให้ ๒. ศีลการไม่เบียดเบียนกัน ๓. ภาวนาการพัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่ง ให้มีปัญญาความรู้ความฉลาด ๔. การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ๕. การอนุโมทนาบุญ ร่วมทำบุญกับผู้อื่น ๖. การช่วยเหลือรับใช้ผู้อื่น ๗. การอ่อนน้อมถ่อมตน ๘. มีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าบาปมีจริงบุญมีจริง นรกมีจริงสวรรค์มีจริง เวียนว่ายตายเกิดเป็นความจริง ๙. การฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อให้เกิดความเห็นชอบ ความเห็นที่ถูกต้อง ๑๐. เผยแผ่ธรรมะให้กับผู้อื่น การกระทำเหล่านี้เป็นบุญ เป็นส่วนประกอบของเรือนใจ ที่พระบรมศาสดาทรงสอน ให้พุทธศาสนิกชนหมั่นบำเพ็ญเสริมสร้าง ให้มีขึ้นมากๆ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของจิตใจ ให้ปลอดภัยจากความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย การพลัดพรากจากกัน เหมือนกับมีบ้านสำหรับหลบแดดหลบฝน เวลาฝนตกมีพายุมีอากาศหนาว ถ้าอยู่ในบ้านก็จะปลอดภัย ฉันใดใจก็ต้องมีบุญเป็นเรือนใจไว้คุ้มครอง จึงไม่ควรมองข้ามการทำบุญทำกุศลอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน ให้สาธุชนพุทธบริษัทเข้าวัดกัน อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ในวันพระ วันธัมมัสสวนะ ซึ่งในสมัยพุทธกาล ได้กำหนดให้เป็นไปตามวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ แต่ในสมัยนี้เราอยู่ในโลกที่เป็นโลกาภิวัฒน์ เป็นโลกสากล ที่ใช้เวลาสากล คือแทนที่จะใช้วันขึ้นแรม ก็ใช้วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์แทน ในการทำภารกิจต่างๆ เช่นวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ก็ไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ ส่วนวันเสาร์วันอาทิตย์ก็หยุดพักผ่อน แต่วันพระของทางศาสนา จะไม่เป็นวันใดวันหนึ่งเสมอไป ไม่เป็นวันจันทร์เสมอไป ไม่เป็นวันอาทิตย์เสมอไป จะเลื่อนไปเรื่อยๆตามปฏิทินจันทรคติ ก็จะไม่ตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์เสมอไป สำหรับผู้ที่ต้องไปทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ที่ไปตรงกับวันพระ ก็จะไม่สามารถมาวัด มาทำบุญมาสร้างเรือนใจได้ ชาวพุทธเราจึงต้องใช้ปัญญา ปรับตัวให้รับกับเหตุการณ์ ด้วยการใช้วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันพระแทน เพราะวันพระจริงๆแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัน แต่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ วันพระเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้พวกเราปล่อยวางภารกิจทางโลก คือการทำมาหากิน การศึกษาเล่าเรียน การกระทำอื่นๆ ให้หันมาทำกิจกรรมทางจิตใจ มาสร้างเรือนใจ ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นต้น ไม่เช่นนั้นจิตใจจะไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่หลบภัย จากความทุกข์ต่างๆ เราจึงต้องปรับวันพระของเรา ให้เป็นวันเสาร์วันอาทิตย์แทน ถึงแม้ในทางปฏิทินยังเป็นวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เพื่อจะได้ปฏิบัติภารกิจของศาสนาได้
ที่วัดญาณฯนี้ ก็ได้ปรับให้ทันสมัย ให้มีการแสดงธรรม มีกิจกรรมทางศาสนาเพิ่มขึ้นอีก ๒ วัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพื่อให้คนที่หยุดวันเสาร์อาทิตย์ มาบำเพ็ญบุญกุศลมาสร้างเรือนใจได้ พวกเราจึงไม่มีข้ออ้างไม่มีข้อแก้ตัวว่า มาวัดไม่ได้เพราะต้องไปทำงาน เพราะเดี๋ยวนี้ทางวัดได้ปรับให้วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันพระแล้ว มีกิจกรรมเหมือนกับวันพระ มีการทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม วันนี้ถ้าอยากจะถือศีล ๘ ก็ถือได้ ไม่ต้องรอให้เป็นวันธัมมัสสวนะเป็นวันพระ เพราะศีลอยู่ที่การรักษา ไม่ได้อยู่ที่วันเวลา ถ้าเราอยากจะมีศีล ก็มีได้ทุกวันทุกเวลาทุกสถานที่ ไม่ต้องรอมาที่วัด ไม่ต้องรอใส่ชุดขาวถึงจะมีศีล ๘ ได้ เพราะศีลอยู่ที่ใจ อยู่ที่เจตนารมณ์ ถ้าตั้งใจจะรักษาศีลแล้ว ก็มีศีลได้ ไม่ต้องมีพระให้ศีล เพราะจริงๆแล้วพระไม่ได้ให้ศีลกับเรา พระให้ศีลกับใครไม่ได้ ศีลของพระ พระก็ต้องดูแลรักษา เอาไปแจกให้ผู้อื่นไม่ได้ พระเพียงบอกให้รู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ศีล ๕ ศีล ๘ มีอะไรบ้าง สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จะได้รู้ จะได้เอาไปรักษาต่อไป แต่ศีลของพระ ๒๒๗ ข้อแบ่งให้ผู้อื่นไม่ได้ ถ้าแบ่งแล้วศีลของพระก็ขาด ขาดแล้วก็ไม่เป็นพระ เพราะคำว่าพระแปลว่าผู้ประเสริฐ คนเราจะประเสริฐได้ก็ต้องมีศีล มีความซื่อสัตย์สุจริตมีความดี ศีลนี่แหละคือความดีที่แท้จริง ต่อให้เราให้ทานเป็นหมื่นเป็นล้านบาท แต่ถ้ายังพูดปดมดเท็จ ยังเสพสุรายาเมา ยังโกหกหลอกลวง ยังฉ้อโกง ยังประพฤติผิดประเวณี ยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราก็ยังไม่ประเสริฐ เพราะการให้ทานอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ประเสริฐ แต่ก็ดีกว่าไม่ให้ทานเลย ถ้าไม่มีศีล ก็ยังไม่ประเสริฐ
ในทางตรงกันข้ามถึงแม้จะไม่มีเงินทองให้ทาน แต่มีศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซื่อสัตย์สุจริต ก็ประเสริฐกว่าผู้ทำบุญร้อยล้านพันล้าน แต่ยังโกหกหลอกลวง ประพฤติผิดประเวณี เสพสุรายาเมา เพราะบุญแต่ละอย่างแตกต่างกัน ทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเสาที่มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หลังคาก็มีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้มีเสาสูงขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีหลังคาครอบอยู่ ก็จะป้องกันฝนไม่ได้ เวลาฝนตกก็จะต้องเปียก แต่ถ้ามีทั้งเสามีทั้งหลังคา ก็จะป้องกันฝนได้ ฉันใดบุญต่างๆก็มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่นทานมีหน้าที่ชำระความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความหิวกระหาย เวลาให้ทานแล้วจะมีความอิ่มเอิบใจ ไม่ต้องไปหาความสุขจากสิ่งอื่น ถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากผู้อื่น เวลาช่วยเหลือใคร จึงอย่าไปหวังผลตอบแทนจากผู้ที่เราช่วยเหลือ ถ้าเขาไม่ทำตามที่เราหวัง เราก็จะเสียใจน้อยใจ เกิดความโกรธขึ้นมาได้ ถ้าทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข เราก็จะมีความสุขอิ่มเอิบใจ นี่คือผลของการทำบุญให้ทาน จะไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน อยู่บ้านเฉยๆพักผ่อนได้อย่างสุขอย่างสบาย ถ้าไม่ได้ทำบุญให้ทาน จิตใจจะดิ้นรน อยู่บ้านเฉยๆจะหงุดหงิดใจ รำคาญใจ เบื่อหน่าย ต้องออกไปข้างนอก ไปดูไปเห็นไปได้ยินไปดื่มไปรับประทาน ถึงจะมีความสุข แต่เป็นความสุขใจที่ไม่จีรังถาวร เพราะเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็มีความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว อยากจะออกไปอีก ถ้าช่วยเหลือผู้อื่นให้สิ่งของต่างๆแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ จะไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น เวลาทำให้ผู้อื่นมีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ ก็จะเกิดความไม่สบายใจตามมา ก็จะไม่อยากทำ อยากจะทำแต่สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นมีความสบายใจ และตนเองก็มีความสบายใจด้วย
สิ่งที่ให้ก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวของเงินทองแต่อย่างเดียว ถ้ามีข้าวของเงินทองเหลือกินเหลือใช้ก็ให้ไป เรียกว่าวัตถุทาน ถ้าไม่มีเงินทองก็ให้อย่างอื่นแทนก็ได้ เช่นให้ความรู้ ถ้ารู้จักวิธีทำกับข้าวกับปลาอาหาร เย็บปักถักร้อยเย็บเสื้อผ้า ก็เอาไปสอนผู้อื่นได้โดยไม่คิดเงินคิดทอง ถ้ามีใครสนใจอยากจะได้รับความรู้ก็ให้ไป เรียกว่าวิทยาทาน ก็ทำให้มีความสุขความอิ่มใจภูมิใจได้เหมือนกัน ไม่ต้องให้เงินให้ทองเสมอไป นอกจากวัตถุทานวิทยาทานแล้ว ยังให้อภัยทานได้ด้วย ไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้อื่น เวลาพูดหรือทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจเสียหาย แทนที่จะโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท ก็ให้อภัยเขา เป็นการทำบุญทำทาน สิ่งที่พูดที่ทำก็ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปลบได้ แต่สิ่งที่ลบได้ก็คือความจำ ถ้าไม่อยู่ในใจแล้วก็เหมือนไม่ได้เกิดขึ้น เราก็ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่ดีมามากมาย แต่ตอนนี้จำไม่ได้เลย เพราะไม่ได้คิดถึงมัน ก็เหมือนกับไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นเวลาใครทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเสียหาย ก็ลบมันออกไปจากใจ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้เราโกรธ อย่าไปคิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธ ถ้ายิ่งคิดจะยิ่งทำให้จิตใจรุ่มร้อน ทำให้อาฆาตพยาบาท พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ลบออกด้วยการให้อภัย เป็นการทำบุญ เหมือนมีคนเอาซองผ้าป่ามาให้ เราก็เอาเงินใส่ซองให้เขาไปก็จบ เขาได้พูดได้ทำไปแล้วก็ถือว่าจบแล้ว เหมือนกับใส่เงินในซองผ้าป่าให้เขาไปแล้ว ปล่อยให้ผ่านไป จะได้สบายใจ ไม่วุ่นวายใจ ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะล้างแค้นอย่างไรดี จะตอบโต้อย่างไรดี ไม่ได้นำไปสู่สันติสุข สู่ความยุติธรรม ความยุติธรรมแปลว่าการหยุด ไม่ได้หมายถึงการแก้แค้น ตาต่อตาฟันต่อฟัน อย่างนี้ไม่เรียกว่ายุติธรรม คำว่ายุติธรรมแปลว่ายุติ ยุติแปลว่าหยุด ไม่ให้มีเรื่องกัน ด้วยการไม่จองเวรกัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ถ้าใครทำอะไรเรา แล้วเราไม่ตอบโต้ เขาก็จะไม่ตอบโต้ ต่างคนต่างแยกกันไป ถ้าเราตอบโต้ เขาก็ต้องทำเราอีก เราก็ต้องทำเขาอีก ทำไปเรื่อยๆไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ มีเวรมีกรรมกันมามากน้อยเพียงไร เราไม่รู้หรอก เวลาเจอใครที่เราไม่ชอบ แสดงว่าคนนั้นแหละเคยมีเวรมีกรรมกับเรามา เพราะเราไม่ให้อภัย ถ้าเจอใครที่เราไม่ชอบขี้หน้า ก็ควรให้อภัย อย่าไปโกรธอย่าไปเกลียด พยายามแผ่เมตตา ทำความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นในใจ ว่าเป็นมิตรกัน เมื่อให้อภัยได้แล้วเราจะมีความสุขสบายใจปลอดภัย ไม่ต้องหลบซ่อน เวลาทำร้ายผู้อื่นเราก็เกิดความหวาดกลัวกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าให้อภัยได้ เราสบายเขาก็สบาย ต่างคนต่างหลับนอนกันได้อย่างสุขอย่างสบาย เป็นการให้ที่ดี รองจากการให้ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้คนไม่รู้ธรรมะมีหูตาสว่างขึ้น รู้จักอยู่อย่างมีความสุข เช่นวันนี้เราได้ยินเรื่องการให้อภัยกัน ถ้าปฏิบัติได้เราจะอยู่เย็นเป็นสุขไม่วุ่นวาย ใครจะทำอะไรก็ให้อภัยเสมอ ใครจะด่าเราก็ให้อภัย ใครจะทุบตีเราก็ให้อภัย ใครจะลักขโมยของรักของเราไป เราก็ให้อภัย เอาสามีเอาภรรยาเอาลูกไปก็จะให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมเป็นวิบากกรรมของเรา ถือว่าถึงเวลาจะต้องพลัดพรากจากกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนว่า การพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครจะอยู่ร่วมกันไปได้ตลอด สักวันหนึ่งก็ต้องแยกทางกันไป ต่อให้รักกันมากขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากกันไป ถ้าจากกันด้วยธรรมะ ไม่ยึดติด ปล่อยวางด้วยการให้อภัย เราจะไม่ทุกข์ไม่เสียใจแต่อย่างใด
ผู้มีธรรมอยู่ในใจแล้ว ถือว่ามีเรือนใจไว้ปกป้องคุ้มครองรักษา สุดยอดของบุญก็คือธรรมะนี้เอง เป็นบุญที่ครอบบุญทั้งหลายไว้ทั้งหมด ถ้ามีธรรมะแล้วย่อมจะทำบุญทำทานเป็นปกติ รักษาศีลเป็นปกติ ภาวนาเป็นปกติ ทำจิตใจให้สงบ เรียกว่าสมถภาวนา ทำจิตใจให้ฉลาดรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา ผู้มีธรรมจะบำเพ็ญอยู่เสมอ จะให้ความสำคัญต่อการบำเพ็ญธรรม ยิ่งกว่าภารกิจอย่างอื่น เรื่องการทำงานทำการทำมาหากิน ถ้ายังมีความจำเป็น ก็ทำพอประทังชีวิตไปเท่านั้น ไม่ได้หวังร่ำหวังรวยเป็นมหาเศรษฐี เพราะเห็นแล้วว่า ทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของไม่ได้เป็นที่พึ่งของใจเลย ไม่สามารถปกป้องจิตใจ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้าน ก็ยังจะต้องทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ เวลาใครพูดอะไรไม่ดีทำอะไรไม่ดีไม่ถูกอกถูกใจ ก็จะโกรธแค้น เกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่คนที่มีธรรมะมีอภัยทานแล้ว จะอยู่อย่างเป็นสุข ถึงแม้จะไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวติดอยู่ในกระเป๋า จะไม่รู้สึกว่าขาดแคลนอะไรเลย เพราะธรรมะจะทำให้จิตใจมีความสุข ความอิ่มเอิบ ความพอ อยู่ตลอดเวลา ต่างกับคนที่ไม่มีธรรมะแต่มีเงินทองเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ที่ยังหิวยังอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ต่อให้มีเงินมากมายเพียงไร ก็ยังอยากจะได้เพิ่มขึ้นอีก มีสามีภรรยาแล้ว ก็ยังอยากมีเพิ่มขึ้นอีก เพราะใจไม่อิ่มด้วยการได้มา แต่อิ่มด้วยการให้ไป ให้ได้มากเท่าไหร่จะมีความอิ่มใจมากเท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสละพระราชสมบัติทั้งหมดเลย มีอะไรมากน้อยเท่าไหร่สละหมดเลย ออกไปอยู่ในป่าในเขา มีบริขารเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น มีบาตร มีจีวร อยู่ตามโคนไม้ ตามถ้ำตามผา ตามเรือนร้าง ด้วยจิตใจที่เลิศประเสริฐ ตั้งอยู่ในความเมตตากรุณา ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เบียดเบียนไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทำแต่ประโยชน์ กลายเป็นผู้น่ากราบไหว้บูชามาจนถึงปัจจุบันนี้ แม้จะได้ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วถึง ๒๕๐๐ กว่าปี แต่ความประเสริฐเลิศโลก ความน่าเคารพบูชา ยังติดตาติดใจสัตว์โลกอย่างพวกเรามาตลอด กราบไหว้พระพุทธรูปได้อย่างสนิทใจ เพราะความดีงามและธรรมะที่ได้ทรงตรัสรู้
เมื่อได้นำพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ ก็ทำให้สัตว์โลกได้มีโอกาสพัฒนาตนให้เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า พวกเราทุกคนมีบุญมีวาสนามาก ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ได้พบก็จะไม่รู้เรื่องของพระธรรมคำสอน ไม่รู้ว่าความประเสริฐเลิศโลก ความเจริญที่แท้จริงอยู่ที่ไหน จะคิดว่าอยู่ที่การมีเงินมีทองมีตำแหน่งมีฐานะสูงๆ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นมหาเศรษฐี ที่ไม่ใช่เป็นความเจริญที่แท้จริง เจริญเพียงไม่กี่ปี พอร่างกายแตกดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ การเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นมหาเศรษฐีก็หมดไป ใจก็ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้าทำแต่บาปกรรม เพื่อเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นมหาเศรษฐี ตายไปก็จะต้องไปเกิดในอบาย เกิดเป็นเดรัจฉาน เกิดในนรก เป็นที่ไปของผู้ที่หลงกับความเจริญทางโลก ด้วยการทำบาปทำกรรมเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา แต่พวกเราโชคดีที่ได้เจอพระพุทธศาสนา ได้เจอพระธรรมคำสอน ที่สอนให้ทำดีละบาป สร้างความเจริญในจิตใจด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยการมาวัดอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรทำให้มากๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ได้มาวัด ก็ทำบุญทำทานได้ เห็นใครเดือดร้อนพอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยเหลือกันไป เวลามีใครทำให้เราไม่พออกพอใจ ก็ให้อภัยไป เราสามารถปฏิบัติบำเพ็ญบุญกุศลได้ทุกสถานที่และเวลา จึงไม่ควรปล่อยให้เวลาอันมีค่าของชีวิตนี้ผ่านไป รีบสร้างเรือนใจให้เสร็จก่อนที่พายุจะกระหน่ำน้ำจะท่วมจิตใจ เวลาที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป จะมีทั้งพายุมีทั้งน้ำที่จะโหมกระหน่ำจิตใจให้วุ่นวายเดือดร้อน ถ้ามีเรือนใจเราจะมีสถานที่หลบภัย จึงควรหมั่นมาวัดกัน มาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน อย่าปล่อยให้ชีวิตที่มีคุณค่านี้หมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระทั้งหลาย การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้