กัณฑ์ที่ ๓๔๖ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๐
สายธรรม
วันนี้ท่านทั้งหลายมากับสายฝน มากับความเย็น ทั้งร่างกายและจิตใจ ร่างกายเย็นเพราะสายฝน ใจเย็นเพราะสายธรรม สายบุญ สายกุศล ถ้าเย็นทั้งกายและใจ ก็จะมีความสุข ถ้าเย็นแต่กาย ใจรุ่มร้อน ความสุขก็จะหายไป ถ้าร้อนกาย แต่เย็นใจ ก็ยังมีความสุขอยู่ เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ สุขทุกข์ทางกายไม่เหนือสุขทุกข์ทางใจ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ดูแลรักษาใจ ให้มีแต่ความสุขปราศจากความทุกข์ ด้วยการทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ด้วยการละบาป ด้วยการชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภความโกรธความหลง ถ้าใจได้รับการดูแลรักษา จนมีความสุขตลอดเวลาแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกาย กับสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเราก็ดี จะไม่ทำให้ใจทุกข์ได้เลย เพราะความสุขทางใจมีอานุภาพเหนือสิ่งต่างๆในโลกนี้ จึงควรให้ความสนใจต่อการทำนุบำรุงดูแลรักษาใจ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดเวลา ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี คือคิดเพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนและผู้อื่น คิดไม่เบียดเบียน สร้างความเดือดร้อนให้กับตนและผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าคิดดี ทำดีพูดดีก็เช่นเดียวกัน ต้องเล็งถึงประโยชน์สุขที่จะตามมาทั้งกับตนเองและผู้อื่น ถ้าสิ่งที่คิดที่พูดที่ทำ เป็นโทษทั้งกับตนเองและผู้อื่น สิ่งนั้นเรียกว่าบาป ต้องหลีกเลี่ยงละเว้น เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา ส่วนการทำความดีทำแล้วเกิดประโยชน์สุขทั้งกับตนเองและผู้อื่น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำให้มากๆ ทำอยู่เรื่อยๆ เช่นการทำบุญให้ทาน ทำไปแล้วจะทำให้สุขใจ ทั้งผู้กระทำและผู้รับ
วันนี้พวกเราก็นำกับข้าวกับปลาอาหารของคาวของหวาน และสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพ ของพระภิกษุสามเณร มาบริจาคมาถวาย ทำแล้วก็จะมีความสุข ความภูมิใจ ความอิ่มเอิบใจ ไม่หิวกระหายอยากกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นพิษเป็นภัย เช่นความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไม่ได้ทำบุญทำความดีอยู่เรื่อยๆ ใจจะหิวกระหาย อยากหาความสุขจากสิ่งภายนอก ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ที่ได้เสพได้สัมผัสมากน้อยเพียงไร ก็จะไม่ทำให้เกิดความอิ่มความพอ ใจยังหิวยังกระหายยังต้องการยังอยากอยู่ และจะมีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับการทำความดี ที่จะทำให้เกิดความอิ่มความพอขึ้นมาตามลำดับ เมื่อมีความอิ่มความพอ ใจก็จะไม่หิวโหยกับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาเงินทอง มาซื้อความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย อยากจะดูภาพยนตร์ ก็ต้องเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปดู หรือซื้อเครื่องเล่นภาพยนตร์ ซื้อแผ่นที่บรรจุภาพยนตร์มาไว้ดูที่บ้าน ดูมากน้อยเพียงไรก็ไม่อิ่มไม่พอ ก็ต้องคอยหามาอยู่เรื่อยๆ หาเงินทองอยู่เรื่อยๆ ที่หาได้ไม่ง่ายเหมือนกับก้อนอิฐก้อนกรวด ที่เก็บได้ตามข้างถนน เงินทองเกิดจากการทำมาหากิน ความเหน็ดเหนื่อย จะเสียเวลากับการหาเงินหาทอง เสียเวลากับการใช้เงินใช้ทองซื้อข้าวซื้อของซื้อสิ่งต่างๆ มาบำรุงบำเรอ มาให้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนแก่เฒ่าทำไม่ได้ ก็จะหงุดหงิดใจ เศร้าสร้อยหงอยเหงา ต้องอยู่กับบ้าน ออกไปข้างนอกไม่ได้ ไม่มีความสุข ตายไปก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาเกิดสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับบาปบุญที่ได้ทำไว้
ถ้าทำบุญมากกว่าทำบาป ก็จะไปเกิดเป็นเทพก่อน แล้วค่อยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำบาปมากกว่าทำบุญ ก็จะไปเกิดในอบายก่อน แล้วค่อยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มาสร้างบุญสร้างกรรมใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้มาหลายรอบแล้ว และจะวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือทำดี ละบาป ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ชำระความโลภความโกรธความหลงให้หมดไป ใจก็จะมีความอิ่มเต็มที่ ไม่มีความหิวความอยากความต้องการเหลืออยู่เลย ใจก็จะไม่ไปเกิดใหม่อีกต่อไป เพราะใจได้ถึงพระนิพพานแล้ว เป็นสถานภาพของใจที่มีความสุขเต็มเปี่ยม เป็นความสุขตลอดอนันตกาล จึงทรงเรียกว่าปรมังสุขัง บรมสุข เพราะไม่เสื่อมสลายหมดไป เหมือนกับความสุขทางโลกที่สัมผัสแล้วก็จางหายไป เราจึงต้องหาความสุขทางโลกอยู่เรื่อยๆ หามาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ความสุขที่อยู่กับเราไปตลอดเลย เพราะความสุขทางโลกไม่เที่ยงนั่นเอง มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญา ทรงเห็นความไม่เที่ยงของความสุขทางโลก จึงได้ทรงสละความสุขทางโลก แล้วก็หันไปหาความสุขทางใจ ความสุขทางธรรม เพราะเป็นความสุขที่ถาวรนั่นเอง เมื่อได้ทรงพบความสุขที่ถาวรนี้แล้ว จึงได้นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนสัตว์โลก ผู้ที่มีจิตศรัทธาหลังจากได้ยินได้ฟังแล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้พบกับความสุขที่ประเสริฐนี้ กลายเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก มาจนถึงปัจจุบันนี้ และจะเป็นอย่างนี้ไป จนกว่าพระศาสนาของพระพุทธเจ้าจะสูญสิ้นหมดไป ถ้าไม่มีผู้ศึกษาปฏิบัติ พระศาสนาก็จะหมดไป
หลังจากนั้นโลกก็จะว่างจากพระศาสนา จะไม่มีใครรู้จักความสุขที่แท้จริงว่าอยู่ที่ไหน และจะปฏิบัติเพื่อให้ได้ความสุขนี้มาได้อย่างไร ต้องรอให้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาตรัสรู้ แล้วประกาศพระธรรมคำสอนใหม่ พวกเราจึงถือว่าโชคดี ที่ได้มาเกิดในช่วงที่ยังมีพระศาสนาอยู่ในโลกนี้ มีการสั่งสอนพระธรรมคำสอน มีการศึกษา มีการปฏิบัติ เพราะถ้าไปเกิดในช่วงที่ไม่มีพระศาสนา ไม่มีการเผยแผ่พระธรรมคำสอน ไม่มีการปฏิบัติแล้ว เราจะไม่มีโอกาสได้พบกับความสุขที่แท้จริงเลย แต่ชาตินี้เป็นบุญวาสนาของเรา ที่ได้พบพระพุทธศาสนา จึงไม่ควรปล่อยโอกาสอันดีงามนี้ให้หลุดมือไป ควรไขว่คว้าหาความสุขที่แท้จริงมาเป็นสมบัติให้ได้ ซึ่งไม่อยู่เหนือวิสัยของมนุษย์อย่างพวกเรา เพราะมีมนุษย์อย่างพวกเรา ที่ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ จนได้สมบัติที่ประเสริฐนี้ คือความสุขที่แท้จริงมาครองแล้ว มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ในสมัยพระพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพียงแต่ศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติเท่านั้นเอง ท่านสอนให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ก็พยายามทำกัน เช่นทำบุญให้ทาน มีความกตัญญูกตเวที สัมมาคารวะ เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว เมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ส่วนการกระทำบาปที่ทรงสอนให้ละ ก็คือการเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง ด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมาและอบายมุขทั้งหลาย เพราะจะสร้างความทุกข์ความเสียหายให้กับตนเองและผู้อื่น ส่วนการชำระใจให้สะอาด ชำระความโลภความโกรธความหลง ก็ต้องอาศัยการบำเพ็ญจิตภาวนา ที่เป็นเครื่องซักฟอกจิตใจ เหมือนกับผงซักฟอกเสื้อผ้า ถ้าซักเสื้อผ้าโดยไม่ใช้ผงซักฟอก ก็จะไม่สะอาด ถ้าใช้ก็จะสะอาดหมดจด
ใจของเราก็เช่นเดียวกัน ทำความดีและละบาป ยังไม่พอเพียงต่อการซักฟอกใจให้บริสุทธิ์ เพราะเป็นเพียงการตัดกำลังของความโลภความโกรธความหลง ให้เบาบางลงไปเท่านั้น ไม่ได้ทำให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ต้องอาศัยการปฏิบัติจิตภาวนา ที่มีอยู่ ๒ ส่วนด้วยกันคือ สมถภาวนาทำจิตใจให้สงบ วิปัสสนาภาวนาทำจิตใจให้รู้แจ้งเห็นจริง กับสิ่งที่จิตใจไปหลงยึดติด ไปโลภไปอยาก ถ้าเห็นจริงแล้ว จะไม่หลงไม่โลภไม่โกรธ นอกจากทำดีละบาปแล้ว ยังต้องทำจิตภาวนาด้วย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือไม่ ความแตกต่างระหว่างนักบวชกับฆราวาสอยู่ตรงที่ นักบวชจะมีเวลาปฏิบัติมากกว่าฆราวาส เพราะฆราวาสต้องเสียเวลากับการทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เวลาปฏิบัติจึงมีน้อย แต่นักบวชไม่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพราะมีญาติโยมคอยดูแลสนับสนุน จึงมีเวลาปฏิบัติจิตภาวนามาก นักบวชจึงได้รับผลจากการปฏิบัติ มากกว่าฆราวาสญาติโยม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักบวชกับฆราวาสญาติโยม มีความแตกต่างกันในความสามารถที่จะปฏิบัติ ต่างกันที่มีเวลามากน้อยเท่านั้นเอง สำหรับฆราวาสบางท่าน ถึงแม้ไม่ได้บวชแต่มีเวลาว่างมาก ก็สามารถปฏิบัติได้เหมือนกับนักบวช สามารถบรรลุถึงผลของการปฏิบัติได้เหมือนกัน เพราะการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย เป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาส เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นเด็ก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวสำคัญ ที่จะทำให้บรรลุผลขึ้นมา ตัวสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น ถ้าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้บรรลุผลก็มีมากขึ้นเท่านั้น ถ้าปฏิบัติน้อย โอกาสที่จะบรรลุก็น้อยหรือช้า ถ้าปฏิบัติมากก็จะบรรลุเร็ว
จึงอย่าให้กิเลสมาหลอกเราว่า สมัยนี้ไม่สามารถปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุผลที่พระพุทธเจ้าทรงได้บรรลุแล้ว เพราะไม่มีพระพุทธเจ้าคอยสั่งสอน อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ก่อนที่จะจากเราไปว่า ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้วนี้แล จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป พวกเธอจะไม่อยู่ปราศจากศาสดา นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงฝากไว้ก่อนที่จะจากพวกเราไป ไม่ให้ยึดติดกับตัวพระพุทธเจ้า แต่ให้ยึดติดกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นองค์แท้ๆของพระพุทธเจ้า ร่างกายของพระพุทธเจ้า กับร่างกายของพวกเรา ไม่มีความแตกต่างกัน มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน ต่างกันที่ใจเท่านั้น ใจของพระพุทธเจ้าเป็นใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ทรงถ่ายทอดความสะอาดบริสุทธิ์ไว้ในพระธรรมคำสอน ผู้ใดได้ศึกษาพระธรรมคำสอนและปฏิบัติตามจนได้บรรลุธรรม ก็จะเห็นพระพุทธเจ้า ได้พบพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ที่เห็นตถาคต เป็นผู้เห็นธรรม การที่จะเห็นธรรมได้ ก็ต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน คือทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ละบาปทั้งปวงชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภความโกรธความหลงให้หมดสิ้นไป พวกเราทุกคนจึงมีสิทธิเท่าเทียมกัน ที่จะปฏิบัติให้ได้ผลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุถึง อยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น จึงควรปฏิบัติให้มาก ทำบุญให้มาก ละบาปให้มาก เจริญจิตภาวนาให้มาก
เบื้องต้นก็หมั่นทำจิตใจให้สงบระงับ ไม่ให้ไปคิดเรื่องราวต่างๆที่ไม่จำเป็น วันๆหนึ่งเราจะเสียเวลากับการคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ใจจึงไม่ค่อยสงบ มีแต่ความวุ่นวายความฟุ้งซ่าน จึงต้องคอยควบคุมบังคับใจ ไม่เฉพาะแต่เวลาที่นั่งทำสมาธิเท่านั้น ควรควบคุมใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย ตื่นขึ้นมาก็ต้องดูใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าคิดเรื่องเรื่อยเปื่อย เรื่องที่ไม่จำเป็น เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน ก็อย่าไปคิด ให้คิดอยู่กับเรื่องที่กำลังทำอยู่ กำลังทำอะไรก็ให้มีสติรู้อยู่กับการกระทำนั้นๆ อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้ใจอยู่กับการทำงานของกาย กำลังแปรงฟันก็ให้อยู่กับการแปรงฟัน กำลังรับประทานอาหารก็ให้อยู่กับการรับประทานอาหาร กำลังอาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวก็ให้อยู่กับการกระทำนั้นๆ อย่าให้ไปอยู่ที่อื่น อย่างนี้ก็เป็นการปฏิบัติสมาธิแล้ว ทำจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่สงบ แต่อย่างน้อยจะไม่ฟุ้งซ่าน จะมีความร่มเย็นเป็นสุข พอถึงเวลานั่งทำสมาธิ ก็จะสามารถควบคุมใจให้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้ ถ้าให้อยู่กับบทสวดมนต์ ก็จะสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ไม่ไปคิดเรื่องอื่น จิตก็จะสงบลงอย่างรวดเร็ว ถ้าให้บริกรรมพุทโธๆไปเรื่อยๆ ก็จะบริกรรมแต่พุทโธๆไปอย่างเดียว ไม่แวบไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่นานจิตก็จะสงบตัวลง ถ้าให้ดูลมหายใจเข้าออก ก็จะอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่นานจิตก็จะรวมลง มีความสุขในขณะที่สงบตัวลง เป็นความสุขที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เหนือความสุขต่างๆในโลกนี้ ถ้าเราได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว จะรู้เลยว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน จะพยายามสร้างความสุขนี้ให้มีมากขึ้นไป ให้อยู่ไปเรื่อยๆ
แต่เราไม่สามารถนั่งสมาธิได้ตลอดเวลา หลังจากนั่งไปสักพักหนึ่งก็ต้องลุกขึ้นมา เพื่อไปทำหน้าที่อื่น แต่เรายังสามารถรักษาความสุขที่มีอยู่ในใจได้ ด้วยการเจริญวิปัสสนา ต้องเฝ้าดูใจ เวลาไปหลงอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งที่อยากได้นั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่เป็นสมบัติที่แท้จริง ไม่อยู่กับเราไปตลอด เช่นเห็นคนนั้นเห็นคนนี้ ก็อยากได้มาเป็นคู่ครอง เพราะคิดว่าจะมีความสุข จะพึ่งพาอาศัยได้ แต่นี้เป็นความหลงผิด เพราะเมื่ออยู่กับเขาแล้ว นอกจากได้ความสุขแล้ว ยังได้ความทุกข์แถมมาด้วย พออยู่ด้วยกันแล้ว ไม่นานก็จะทะเลาะกัน ก็จะมีความทุกข์ตามมา ไม่เช่นนั้นก็ต้องคอยห่วงคอยกังวล เวลาที่ไม่เห็นหน้ากัน พอถึงเวลาที่ต้องจากกัน ก็ต้องทุกข์ใจ ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เป็นความทุกข์มากกว่าเป็นความสุข เพราะไม่จีรังถาวร ต้องเปลี่ยนไป ตอนพบกันใหม่ๆ ก็ดีไปหมด พออยู่ด้วยกันแล้ว ก็เปลี่ยนไป เคยดีก็กลับไม่ดีอย่างนี้เป็นต้น ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เป็นสมบัติที่แท้จริง เพราะจะไม่อยู่กับเราไปตลอด เวลาจากกัน ก็เอาติดกับเราไปไม่ได้ ไปได้แต่ใจอย่างเดียว เอาอย่างอื่นไปไม่ได้ เอาร่างกายไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมทั้งร่างกายของเรา เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของเรา ไม่ได้ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง มีแต่จะให้ความทุกข์กับเรา ไม่จีรังถาวร มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เกิดแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย นี่คือวิปัสสนา พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่หลงยึดติด ไม่อยากได้ ไม่อยากเข้าใกล้ เหมือนกับพิจารณางูพิษว่าเป็นงูพิษ ถ้าไม่พิจารณา ไม่รู้จักว่างูพิษเป็นอย่างไร เวลาเจองูพิษ ก็อาจจะคิดว่าเป็นงูธรรมดา ไม่มีพิษก็ได้ ก็จะไม่กลัว จะกล้าเข้าใกล้ ถ้ารู้ว่าเป็นงูพิษ ก็จะกระโดดหนีทันทีเลย
ฉันใดสิ่งต่างๆในโลกนี้ ก็เป็นพิษเป็นภัยกับใจทั้งนั้น แต่ใจไม่รู้ว่าเป็นพิษเป็นภัย หลงคิดว่าจะให้ความสุขกับใจ จึงวิ่งเข้าหา คอยแสวงหาสิ่งต่างๆในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคล หามาได้มากน้อยเพียงไร ก็ต้องมาทุกข์วุ่นวายใจกับสิ่งที่ได้มา ไม่เคยคิดเลยว่าเป็นพิษเป็นภัยกับตน จะทุกข์ขนาดไหน จะร้องห่มร้องไห้ขนาดไหน จะหวาดกลัวขนาดไหน ก็ไม่เคยคิดเลยว่า เป็นเหตุที่ทำให้ทุกข์วุ่นวายใจ จึงต้องพิจารณา ต้องเจริญวิปัสสนาภาวนา ถ้าพิจารณาจนเห็นว่าไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับอะไรอีกต่อไป พอปล่อยวางแล้ว ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ มีปัญญาหรือวิปัสสนานี้เท่านั้น ที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ให้ปล่อยวางได้อย่างอื่นไม่สามารถทำได้ สมถภาวนาทำให้ปล่อยวางได้เพียงชั่วคราว ในขณะที่ใจสงบเท่านั้น ส่วนการละบาปและการทำบุญ เพียงแต่ทำให้กิเลสเบาบางลงไปเท่านั้น มีวิปัสสนาภาวนาเท่านั้นที่จะทำให้ปล่อยวางได้หมดเลย จึงต้องเจริญวิปัสสนาภาวนาด้วย ทำเป็นขั้นเป็นตอนไป เบื้องต้นก็ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม มีความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ มีความเมตตากรุณา มีจาคะการเสียสละ แล้วก็ละเว้นจากบาปกรรมและอบายมุขทั้งหลาย แล้วค่อยมาเจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้สงบ เมื่อออกจากความสงบแล้ว ก็หมั่นสอนใจให้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ ไม่เป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ถ้าทำได้แล้ว จิตจะอยู่ห่างไกลจากความทุกข์ จะมีแต่ความสุข โดยไม่ต้องมีอะไรภายนอกเลย ไม่ต้องมีเงินมีทอง ไม่ต้องมีคู่ครอง ไม่ต้องมีสมบัติข้าวของต่างๆ เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านอยู่อย่างนั้น อยู่อย่างมีความสุขเต็มเปี่ยมภายในใจ เพราะได้ทำหน้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ได้ละบาปทั้งปวง ได้ชำระใจจนสะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภความโกรธความหลงจนหมดสิ้นไปแล้ว จึงได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขึ้นมา พวกเราก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จึงขอให้มีความเชื่อมั่นและยินดีต่อการปฏิบัติ แล้วประโยชน์สุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้รับ เราก็จะได้รับเช่นเดียวกัน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้