กัณฑ์ที่ ๓๕๐ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระ
วันนี้เป็นวันพระ วันธรรมสวนะ วันฟังธรรม เป็นวันดี เพราะศรัทธาญาติโยมได้มาทำความดีกัน คิดดีพูดดีทำดี พระแปลว่าประเสริฐ วันพระไม่ได้ประเสริฐตรงวันเดือนปี แต่ประเสริฐเพราะการทำความดี ถ้าเป็นวันพระแต่ไม่มีการทำความดี ทำบุญให้ทานตักบาตร รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ถือว่าเป็นวันพระ เพราะวันพระที่แท้จริง เป็นวันที่พระบรมศาสดาได้ทรงบัญญัติ ให้สาธุชนพุทธบริษัท ปล่อยวางภารกิจการงานต่างๆ เพื่อทำความดี ทำตนให้เป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐ พระไม่ได้หมายถึงนักบวช ที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองเท่านั้น เป็นคำกลางๆ แปลว่าผู้ประเสริฐ ผู้ใดทำความดีผู้นั้นก็เป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องนุ่งห่ม ห่มเหลืองหรือห่มขาว โกนศีรษะหรือไม่โกน เพราะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของพระ ของผู้ประเสริฐ ของผู้ทำความดีเท่านั้น ถ้าโกนหัวห่มเหลืองหรือห่มขาวแล้ว แต่ไม่ทำความดี ก็ยังไม่ถือว่าเป็นพระ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ได้ห่มเหลือง ไม่ได้โกนหัว แต่ทำความดีอย่างสม่ำเสมอ ผู้นั้นแลคือพระ เป็นคนดี เป็นผู้ประเสริฐ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้คิดดีพูดดีทำดี เพราะจะทำให้เป็นผู้เจริญ ผู้ก้าวหน้า ผู้มีความสุขอย่างแท้จริง ถ้าวันไหนมีเวลาว่าง พอที่จะทำความดีได้ ก็ควรทำไปเลย ไม่ต้องรอให้เป็นวันพระ เป็นวันเสาร์ เป็นวันอาทิตย์ เพราะการทำความดีนั้น ทำที่กายวาจาใจ ไม่ได้ทำได้เฉพาะที่วัดเท่านั้น ทำได้ทุกที่ทุกแห่งทุกหน มีเวลามีโอกาสก็ควรทำเลย เห็นผู้ใดเดือดร้อน พอที่จะช่วยเหลือได้ ก็ช่วยเหลือเลย เวลานั่งบนรถเมล์มีผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ชราภาพ ยืนอยู่ไม่มีที่นั่ง ถ้าเสียสละให้เขาได้นั่ง ก็ได้ทำความดีแล้ว ทำบุญแล้ว ทำตนเป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐแล้ว
จึงควรดูที่การกระทำทางกายวาจาใจเป็นหลัก อย่าไปดูที่วันเดือนปี พอไม่ใช่วันพระก็จะไม่ทำความดี ก็จะไม่ได้ทำความดีเท่าที่ควร เพราะวันพระมีเพียงอาทิตย์ละ ๑ วันเท่านั้นเอง ถ้าจะเป็นคนดีจริงๆ เป็นผู้ประเสริฐจริงๆ ต้องทำทุกๆวันเลย ทำวันพระเพียงวันเดียวไม่พอ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวันพระไว้ ก็เพื่อให้ศรัทธาญาติโยมได้หยุดการทำงานทำการ ได้มีเวลาเข้าวัด ได้ทำความดีหลายอย่าง ได้รับประโยชน์หลายอย่าง เช่นวันนี้ญาติโยมมาวัดก็ได้บูชาพระรัตนตรัย บูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ที่เป็นสรณะอันประเสริฐ เวลาบูชาก็ไม่ได้เพียงแต่กราบเฉยๆ จุดธูปเทียนดอกไม้เฉยๆ ต้องรำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป นี้คือส่วนหนึ่งของพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณก็คือเป็นสันทิฏฐิโก ที่ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นผลได้จากการปฏิบัติของตน ไม่ใช่ปฏิบัติไปแล้ว ไม่มีผลตามมา สันทิฏฐิโก แปลว่าผู้ปฏิบัติย่อมเห็นผลของธรรมอันประเสริฐนี้ อกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่เสื่อมคุณภาพ สมัยพระพุทธกาลมีคุณภาพอย่างไร สมัยนี้ก็มีคุณภาพอย่างนั้น เป็นสวากขาโต ภควตา ธัมโม เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรงกับความจริงทุกประการ ไม่มีของแปลกปลอมของโกหกปนอยู่ในพระธรรมคำสอนเลย ทุกคำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงทั้งนั้น เช่นบาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ตายแล้วต้องไปเกิด การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงก็มีจริง คือพระนิพพาน เป็นของจริงที่ผู้ปฏิบัติจะได้เห็น ได้สัมผัส ได้เป็นสมบัติ โอปนยิโก ต้องน้อมเข้าสู่กายวาจาใจ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว รู้แล้วว่านรกมีจริงสวรรค์มีจริง นรกเกิดจากการทำบาป ก็ละเว้นจากการทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่เสพสุรายาเมา เป็นโอปนยิโก น้อมเข้าสู่กายวาจาใจของเรา คือนำเอามาปฏิบัติ อย่าฟังเฉยๆ ก็เหมือนกับดูอาหารเฉยๆ ไม่ได้รับประทานอาหาร ดูไปจนวันตายก็จะไม่อิ่ม ฉันใดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะเป็นสวากขาโต ภควตา ธัมโม เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วก็ตาม เป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นผลได้ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ปฏิบัติ ไม่โอปนยิโก ไม่น้อมเข้ามาสู่การปฏิบัติที่กายวาจาใจก็จะไม่ได้รับประโยชน์ จากพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า
พระสังฆคุณคือผู้ที่ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน แล้วเกิดศรัทธาความเชื่อ แล้วก็โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่กายวาจาใจ ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ คือสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ผู้นั่นแลคือพระสงฆสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายถึงผู้ที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง ที่อาจจะเป็นพระอริยสงฆ์ก็ได้ อาจจะไม่เป็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ถ้าสุปฏิปันโน อุชุ ญายะ สามีจิปฏิปันโน ท่านก็เป็นอริยสงฆสาวก ถ้าไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงแม้จะห่มเหลืองโกนศีรษะ ก็ยังไม่เป็นพระอริยสงฆสาวกของพระพุทธเจ้า ในสมัยพระพุทธกาลและในสมัยนี้ มีพระอริยสงฆสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้เป็นนักบวช ไม่ได้เป็นผู้ชาย มีทั้งหญิง มีทั้งเด็ก ที่ได้สะสมบุญบารมีมามาก พอได้พบพระพุทธศาสนา ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน ก็น้อมเอาไปปฏิบัติ จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมาก มีทั้งนักบวชและฆราวาส มีทั้งหญิงทั้งชาย มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เพราะมรรคผลนิพพาน หรือการเป็นพระอริยสงฆสาวกนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติกายวาจาใจ ให้เป็นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี้คือสิ่งที่ได้กระทำกันเมื่อเรามาวัด มาบูชาพระรัตนตรัย มารำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อได้รำลึกอยู่เรื่อยๆแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีศรัทธาความเชื่อ ฉันทะความยินดี ที่จะโอปนยิโก น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เราจึงได้สมาทานศีลกัน เป็นการน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าสู่กายวาจาใจของเรา
วันนี้เราก็ได้สมาทานศีลกัน จะละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา ถ้ามีสัจจะคือความจริงใจ ก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติ ไม่ใช่รับที่ศาลานี้ พอออกไปก็โยนใส่ถังขยะไป ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ ไม่เป็นสุปฏิปันโน ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าเป็นพอสมาทานศีลแล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ดี ถึงจะได้สัมผัสกับผลที่จะปรากฏขึ้นมา จะเห็นว่าธรรมะเป็นสันทิฏฐิโก เวลารักษาศีลจะมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัวกับภัยต่างๆ ไม่กลัวใครจะมาประณาม มาติฉินนินทา ว่าเป็นคนไม่ดี เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเราเป็นคนดี เพราะศีลนี้แลที่ทำให้เราเป็นคนดี ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่นามสกุลไม่ใช่ชื่อ มีศีลเท่านั้นที่จะทำให้เราเป็นคนดี น่านับถือเคารพเลื่อมใสชื่นชมยินดี ต่างกับคนที่ไม่มีศีล เป็นคนที่น่ารังเกียจขยะแขยง น่าอยู่ห่างไกล เพราะคนที่ไม่มีศีลย่อมทำร้ายทำลายผู้อื่นนั่นเอง ถ้ามีคนไม่มีศีลอยู่ในบ้าน เราก็จะต้องเดือดร้อนกัน มีข้าวของหายเป็นต้น หรืออาจจะถูกเขาฆ่าก็ได้ เช่นเวลามีโจรผู้ร้ายเข้ามาลักทรัพย์ มาปล้นมาจี้ ถ้าเจอเราก็อาจจะฆ่าเราได้ เพราะเขาไม่มีศีล ที่อยู่ของเขาก็คือคุกตะรางเพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะมีกำลังไม่พอ ยังไม่สามารถจับเขาเข้าคุกเข้าตะรางได้ เท่าที่จับได้ก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว คุกตะรางล้นด้วยคนที่ไม่มีศีลธรรม ไม่สนใจไม่เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าบาปมีจริง นรกมีจริง บุญมีจริง สวรรค์มีจริง จึงชอบตกนรกกัน ต้องไปติดคุกติดตะรางที่เป็นนรกของมนุษย์ ตายไปก็ต้องไปตกนรกต่อ จนกว่าจะหมดกรรม
วันนี้นอกจากได้ทำบุญทำทาน ได้บูชาพระรัตนตรัย ได้สมาทานศีลแล้ว ก็ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกันด้วย ทำให้จิตใจผ่องใส ทำให้จิตใจสงบ ทำให้มีความสุข เวลาที่ฟังเทศน์ฟังธรรมเราจะไม่มีโอกาสไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้าตั้งใจฟังอย่างจริงๆ ก็จะติดตามคำสอนไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าไปสู่ใจ เป็นเหมือนน้ำมนต์ชโลมใจ เป็นน้ำมนต์ที่แท้จริง ก็คือพระธรรมคำสอนนี่แล ไม่ใช่น้ำที่เอามาประพรมกัน น้ำก็เป็นน้ำอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าใครเสกใครเป่า ก็ยังเป็นน้ำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เป็นน้ำมนต์ที่แท้จริง ที่จะเข้าไปสู่ใจได้ นอกจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตั้งใจฟังด้วยสติ ไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พระธรรมคำสอนก็จะเข้าสู่ใจ จิตก็จะค่อยสงบตัวลง ความผ่องใสความสุขความปีติก็ปรากฏขึ้นมา นี่คือน้ำมนต์ชโลมใจที่แท้จริง เป็นมงคลที่แท้จริง ถ้ามีธรรมะในใจแล้ว ย่อมมีแสงสว่างนำทาง เวลาจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็จะมีธรรมะคอยเตือนว่าผิดศีลนะ ทำไม่ได้นะ ทำแล้วบาปกรรมต้องตกนรก พอมีธรรมะเตือนใจ ก็จะไม่ทำบาปทำกรรม จะทำแต่ความดี เพราะธรรมะสอนให้ทำความดีอยู่เสมอ ให้ช่วยเหลือผู้อื่น ให้มีความเมตตา ให้รู้จักให้อภัย ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่จองเวรจองกรรม เพราะไม่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจ เป็นไฟที่จะเผาจิตใจให้ร้อนรนกระวนกระวาย เวลาโกรธแล้วจะนั่งไม่ติด วุ่นวายไปหมด จองเวรจองกรรมอาฆาตพยาบาท ถ้าให้อภัยได้ ไม่ถือโทษโกรธเคือง ใจจะสงบเย็นสบายมีความสุข เพราะการให้อภัยเป็นการทำบุญนั่นเอง เป็นอภัยทาน วันนี้ญาติโยมเอาข้าวของต่างๆมาให้ เป็นวัตถุทาน พอให้แล้วก็มีความสุขใจสบายใจ ไม่รุ่มร้อนวุ่นวาย
ฉันใดเวลาใครทำให้โกรธแค้น ก็ต้องให้อภัย เหมือนมีพระมาบิณฑบาตที่หน้าบ้าน ก็ต้องให้อภัยทันที จะได้มีความสุข จะได้บุญ ถ้าตายไปตอนนั้น จะได้ไปสวรรค์เลย ในทางตรงกันข้ามถ้าให้อภัยไม่ได้ จิตใจก็จะรุ่มร้อนเป็นเหมือนนรก ตายไปตอนนั้นก็จะตกนรกทันที จึงควรเห็นความสำคัญของการให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็ผ่านไปแล้ว เสียอะไรก็เสียไป แต่อย่าเสีย ๒ ต่อ อย่าเสียใจด้วย เสียสามีก็เสียไป เสียภรรยาก็เสียไป แต่อย่าเสียใจ ใจนี้เรารักษาได้ รักษาให้สงบให้เย็นให้สบายให้ยิ้มได้ เพราะมีปัญญา รู้ว่าอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา แต่งงานได้ก็หย่าได้ ตายจากกันได้ หนีจากกันได้ เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีปัญญารู้ทันก็จะให้อภัยได้ จะรู้สึกเฉยๆ ไม่เสียอกเสียใจ เสียแต่ของภายนอกก็พอ เสียสมบัติข้าวของเงินทองเสียไป เสียสามีเสียภรรยาเสียไป เสียร่างกายเสียไป แต่จะไม่เสียใจ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ให้รักษาธรรมยิ่งกว่าชีวิต ให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม คือความสงบสุขของใจ การไม่เสียใจนี่แหละคือธรรม ถ้าเสียใจแปลว่าอธรรม ไม่ใช่ธรรม ถ้ามีธรรมแล้วใจย่อมมีความสงบมีความสุข ย่อมไม่เสียใจกับอะไรทั้งสิ้น เพราะมีปัญญาปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด เห็นแล้วว่าเกิดมาก็มาตัวเปล่าๆ เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย แล้วจะมาเสียใจกับอะไร
ทรงสอนให้พิจารณาอยู่เสมอว่า ของต่างๆในโลกนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของเรา เป็นสมมุติสมบัติ สมมุติว่าเป็นของเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไป สมบัติต่างๆก็กลายเป็นของคนอื่นไป เป็นของลูกของหลาน ของสามีของภรรยา ของเจ้าหนี้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้เป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงสมมุติ พอตายไปก็เป็นของสัปเหร่อไป เอาไปเผากลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป นี้คือสัจธรรมความจริง ผู้รู้ความจริงนี้เป็นผู้มีปัญญา จะไม่หลงยึดติด ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา จะปล่อยวาง ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์กับการสูญเสียต่างๆ จะให้อภัยได้เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะทำอะไร จะไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่สร้างเวรสร้างกรรมกันอีกต่อไป ถ้าให้อภัยไม่ได้ก็จะต้องสร้างเวรสร้างกรรมกัน เป็นคู่กรรมคู่เวรกันต่อไปอีก ไปเกิดชาติหน้าเจอกันก็จะเกลียดชังกัน อาฆาตพยาบาทกัน ไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่คืออานิสงส์ที่เกิดจากการฟังเทศน์ฟังธรรม จะทำให้มีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ เห็นว่าการให้อภัยเป็นธรรมะ เป็นบุญเป็นกุศล เห็นว่าการอาฆาตพยาบาท จองเวรจองกรรม เป็นกิเลส เป็นบาป เป็นกรรม ไม่ควรทำ นี้คือสิ่งที่จะได้รับในวันพระเมื่อเราเข้าวัด ที่เราอาจจะไม่ได้รับถ้าอยู่บ้าน เพราะจะยุ่งกับการทำมาหากิน ยุ่งกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เลยไม่มีโอกาส ไม่มีเวลาว่าง ที่จะฟังเทศน์ฟังธรรม ทั้งๆที่สามารถฟังได้ที่บ้าน
ถ้ามีวิทยุก็เปิดฟังได้ มีโทรทัศน์ก็เปิดดูได้ มีเครื่องเล่นก็เปิดฟังได้ แต่มักจะไม่ค่อยมีเวลากัน หมดเวลาไปกับการทำมาหากิน ก็เลยไม่มีโอกาสฟังสิ่งที่ดีที่งาม เมื่อไม่ได้ฟังก็จะถูกความโลภความโกรธความหลงพาไป พาให้โลภให้โกรธให้หลง ให้ยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ว่าเป็นเราเป็นของเรา ว่าจะให้ความสุขกับเรา ซึ่งเป็นความหลงทั้งนั้น เพราะในสายตาของผู้มีปัญญา เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จะเห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ให้ความสุขกับเราเลย มีแต่จะให้ความทุกข์ทั้งนั้น พอมีอะไรแล้วก็จะต้องทุกข์กับสิ่งนั้นทันที มีสามีก็ต้องทุกข์กับสามี มีภรรยาก็ต้องทุกข์กับภรรยา มีลูกก็ต้องทุกข์กับลูก ถ้าไม่มีก็จะไม่ทุกข์ ไม่มีสามีไม่มีภรรยา ก็ไม่ต้องทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ไม่มีลูกก็ไม่ต้องทุกข์กับลูก ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องหวง ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ ไม่ต้องเสียดายเวลาจากกัน จึงควรเชื่อพระพุทธเจ้า อย่าไปหลงอยากได้สิ่งต่างๆ ถ้ายังเป็นโสดอยู่ก็อย่าไปคิดมีสามีมีภรรยา เพราะเหมือนกับวิ่งเข้ากองไฟ ชีวิตคู่ครองจึงมีแต่ความทุกข์วุ่นวายใจ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เนื่องจากใจมืดบอดปราศจากธรรมะแสงสว่าง ไม่ได้ยินได้ฟังธรรมกัน จึงหลงกัน เห็นกลับตาลปัตร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่ามีสามีมีภรรยา มีสิ่งต่างๆ จะมีความสุข แต่พอมีเข้าจริงๆ ก็น้ำตาตกในกันทุกคน มีแต่บ่น มีแต่ร้องห่มร้องไห้กัน วัดนี้แทบจะไม่ว่างจากคนที่มีความทุกข์เลย เวลาทุกข์ถึงจะเข้าวัดกัน ตอนนั้นมันก็สายเสียแล้ว ตอนที่ไม่ทุกข์ทำไมไม่เข้าวัด ไม่ฟังเทศน์ฟังธรรม เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่ป้องกันใจให้กระโดดเข้ากองไฟกัน
นี้คืออานิสงส์ของการมาวัด ได้ทำบุญได้ทำความดี ได้รับประโยชน์หลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อยู่ที่อื่นแล้วจะทำความดีไม่ได้ ถ้ามีเวลาว่างก็ควรรำลึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ควรฟังเทศน์ฟังธรรม ควรทำความดี ควรรักษาศีลกัน ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องมาวัดก็ได้ ถ้ายังทำไม่ได้ ก็ต้องมาวัดก่อน มาฝึกให้เป็นนิสัยก่อน จะได้ทำที่ไหนก็ได้ ถ้าไม่เข้าวัดเลยจะไม่คิดทำความดีเลย จะไหลไปตามกระแสของความโลภความโกรธความหลงอย่างเดียว จะทุกข์วุ่นวายใจไม่รู้จักจบจักสิ้น จะไม่ได้รับประโยชน์จากการได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา จะเป็นเหมือนทัพพีในหม้อแกง ที่ไม่ได้สัมผัสกับรสแกงเลย ไม่เหมือนกับลิ้น ฉันใดพวกที่ไม่สนใจเข้าวัด ไม่สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม ก็เหมือนทัพพีในหม้อแกง ส่วนผู้ที่สนใจมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ในการปฏิบัติธรรม จะไม่เสียชาติเกิด จะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนชั้นขึ้นไปตามลำดับ เป็นเทพเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้า พวกที่ไม่เชื่อไม่สนใจพระธรรมคำสอนก็จะลดชั้นลงไป จากมนุษย์ก็ไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต ไปตกนรก วันนี้เป็นวันพระจึงควรทำให้เป็นวันพระจริงๆ อย่าเป็นวันพระในปฏิทิน ให้เป็นวันพระในกายวาจาใจ ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้