กัณฑ์ที่ ๓๕๘       ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐

 

 

บุญบารมี

 

 

 

บุญบารมีเป็นสมบัติที่แท้จริงของพวกเรา   สมบัติอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นวัตถุข้าวของเงินทองต่างๆ บุคคลต่างๆ  ไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริง เพราะเอาติดตัวไปไม่ได้  เมื่อเราตายจากโลกนี้ไป บางทียังไม่ทันตายก็จากไปก่อนแล้ว  แต่บุญบารมีจะติดอยู่กับใจของเรา ไม่มีใครพรากจากเราไปได้ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นเพราะบุญบารมี ที่เราได้สะสมไว้ในอดีต ได้มาเกิดมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ไม่ขี้เหร่  มีอายุยืน มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีอวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่พิกลพิการ มีสติปัญญาความฉลาด ไม่โง่เขลา  มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่ยากจน ล้วนเป็นผลของบุญบารมีที่เราได้สร้างไว้ในอดีตชาติ ส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ แทนที่จะเกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้ายังบำเพ็ญบุญบารมีต่อ สะสมให้มากกว่าเดิม  ภพหน้าชาติหน้าของเราก็จะดีกว่าเดิมไปเรื่อยๆ จนถึงภพสุดท้าย ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าไป  เป็นผลของบุญบารมีทั้งนั้น   ที่ไม่มีใครสามารถสร้างแทนเราได้ เราต้องเป็นผู้สร้างผู้สะสมเอง พ่อแม่ไม่สามารถสร้างบุญบารมีให้กับเราได้ ญาติสนิทมิตรสหายก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องของ อัตตา หิ  อัตโน นาโถ    ตนเป็นที่พึ่งของตน เป็นผู้สร้างบุญบารมีเอง  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้สัตว์โลกทั้งหลายหมั่นสะสมบุญบารมีไว้เสมอๆ   เพื่อประโยชน์สุขและความเจริญที่จะเป็นผลตามมา  ทั้งในปัจจุบันชาติและชาติที่จะตามมาต่อไป  ในปัจจุบันก็จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  มีความเจริญ ตายไปก็ได้ภพชาติที่ดีกว่าเดิม ได้ไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหม ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์  ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าไปในที่สุด จึงควรหมั่นบำเพ็ญกันอย่างสม่ำเสมอ 

 

บารมีที่เราต้องบำเพ็ญในเบื้องต้นก็คืออธิษฐานบารมี อธิษฐานแปลว่าความตั้งใจ ไม่ได้แปลว่าขอ ก่อนที่จะสร้างบารมีอื่นได้ต้องมีอธิษฐานบารมีก่อน เช่นจะสร้างทานบารมี   ก็ต้องมีอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจในการบำเพ็ญทานบารมี วันนี้ญาติโยมก่อนจะมาที่วัดได้ก็ต้องมีความตั้งใจไว้ก่อนแล้ว ว่าวันนี้จะมาวัด มาทำบุญรักษาศีลฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้าไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนล่วงหน้าว่าจะมา พอถึงเวลาก็อาจจะไม่ได้มา  ขณะนี้ยังอาจจะนอนหลับอยู่ เพราะไม่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะมาวัด เมื่อคืนนี้เลยอยู่ดึก  ก็ตื่นเช้าไม่ได้ ต้องตื่นสาย เพราะไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะมาวัด ไม่ว่าจะบำเพ็ญบารมีอะไรก็ตาม ต้องมีอธิษฐานบารมีก่อน  จะบำเพ็ญทานบารมีก็ดี  ศีลบารมีก็ดี  เนกขัมมะบารมีก็ดี  ปัญญาบารมีก็ดี  ต้องมีอธิษฐานบารมีก่อนทั้งนั้น ต้องมีความตั้งใจ  พอตั้งใจแล้วจะได้มีจุดหมายปลายทางไป เหมือนกับเวลาออกจากบ้าน ถ้าไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะไปไหน ก็จะไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็จะไปไม่ถึงไหน เพราะไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน ฉันใดชีวิตของเราก็เป็นเหมือนกับการเดินทาง ต้องตั้งเป้าหมายไว้ ให้ไปสู่ความสุขและความเจริญ ไม่ปล่อยให้ไปตามยถากรรม  เหมือนกับเรือที่ไม่มีหางเสือ รถยนต์ที่ไม่มีพวงมาลัย  ไม่สามารถควบคุมบังคับ ให้ไปในทิศทางที่ต้องการจะไปได้ ชีวิตของเราก็ต้องมีพวงมาลัยมีหางเสือ ก็คือมีอธิษฐานบารมี  ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ  จะรักษาศีลอย่างสม่ำเสมอ จะปฏิบัติเนกขัมมะถือศีลบวช ไม่ว่าจะเป็นศีล ๘ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร ศีล ๒๒๗ สำหรับพระภิกษุ  จะตั้งใจสร้างปัญญาบารมีด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ  

 

เมื่อมีอธิษฐานบารมีแล้ว ก็ต้องมีสัจจะบารมี ถ้าไม่มีสัจจะบารมีความจริงใจแล้ว  เวลาตั้งใจจะทำอะไรพอถึงเวลาจะทำจริงๆ ก็อาจจะเปลี่ยนใจได้ เช่นวันนี้ตั้งใจจะมาวัด พอตื่นขึ้นมาก็นึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างต้องทำ ก็เลยไม่มาวัด ไปทำในสิ่งที่ต้องทำ ถ้ามีสัจจะบารมีความจริงใจ เวลาตั้งจิตอธิษฐานแล้วจะไม่ให้ล้มเหลว   ตั้งใจจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ เช่นวันนี้ตั้งใจจะมาวัด  ถึงแม้ฝนจะตกแดดจะออกน้ำจะท่วมก็ตาม ถ้ายังสามารถมาได้ก็จะมา เรียกว่ามีสัจจะคือความจริงใจ  ถ้าไม่มีสัจจะแล้วตั้งจิตอธิษฐานไปก็จะไม่ได้ผล ตั้งไปได้วันสองวันก็ล้มแล้ว  เช่นในพรรษาตั้งใจจะเลิกดื่มสุราตลอดเวลา ๓ เดือน พอเวลาผ่านไปสัก ๓-๔วันก็ทนไม่ไหว อยากจะดื่มสุรา ก็กลับไปดื่มใหม่ แสดงว่ามีอธิษฐานแต่ไม่มีสัจจะ ไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจไว้ได้ นอกจากมีอธิษฐานบารมีแล้วก็ต้องมีสัจจะบารมี  มีความจริงใจต่อตนเอง อย่าหลอกตนเอง บอกตนเองว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ได้ เช่นเดียวกับการให้คำมั่นสัญญากับผู้อื่น ก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญาให้ได้ จึงจะมีสัจจะ ถ้าไม่มีสัจจะก็จะไม่สามารถทำความดีได้ พอถึงเวลาจะทำก็มักจะเปลี่ยนใจ ถูกอำนาจใฝ่ต่ำชักจูงไปทำ เช่นตั้งใจจะเลิกดื่มสุรา พอถึงเวลาจริงๆ ก็ถูกอำนาจของความอยากดื่มสุรา ฉุดลากไปดื่มสุราอีก  ถ้ามีสัจจะบารมีแล้ว เป็นตายอย่างไรก็ต้องรักษาให้ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าในขณะที่ทรงนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ทรงตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ว่า จะนั่งไปจนกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้เลือดในร่างกายจะเหือดแห้งไป ก็จะไม่ลุก ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ก็ขอยอมตาย   

 

เมื่อมีความจริงใจแล้วก็ต้องมีวิริยะบารมีความพากเพียร เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องขยันทำอย่างสม่ำเสมอ  ตั้งใจมาวัดตลอดพรรษา มาทำบุญตักบาตร ก็ต้องขยันมา ตั้งใจจะใส่บาตรที่บ้านทุกวัน ก็ต้องขยันใส่ ตั้งใจจะรักษาศีลก็ต้องขยันรักษา ตั้งใจฟังเทศน์ฟังธรรมตลอดพรรษา ไม่ดูโทรทัศน์ไม่ฟังเพลง ก็ต้องขยันฟังแต่ธรรมะอย่างเดียว ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจากสัจจะเท่านั้น ต้องมีวิริยะบารมีด้วย ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น  ไม่ว่าตั้งใจจะไปที่ไหน ถ้าไม่มีความขยันก็จะไปไม่ถึง เช่นตั้งใจจะมาวัด พอถึงเวลาก็บอกว่าขี้เกียจ ไม่อยากจะมา เปลี่ยนใจ เพราะขาดวิริยะบารมี ถูกความขี้เกียจแซงหน้าไป เราจึงต้องบำเพ็ญวิริยะบารมี ให้มีความขยันหมั่นเพียรติดเป็นนิสัย อย่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์  อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปกับเรื่องไร้สาระ เช่นเรื่องเล่นเรื่องเที่ยวเป็นต้น ไม่เป็นบุญบารมี ไม่ส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า มีแต่จะฉุดลงสู่ที่ต่ำ ต้องขยันทำความดีอยู่เสมอ อยู่ที่บ้านมีอะไรพอจะช่วยกันได้ก็ช่วยกัน กวาดถูทำความสะอาด เพื่อจะได้เป็นนิสัย เวลาตั้งใจทำในสิ่งที่ดีที่เลิศ จะได้มีความขยันพาไปได้ ถ้าขี้เกียจแล้วจะทำบุญไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้ ฟังเทศน์ฟังธรรมไม่ได้ ภพหน้าชาติหน้าจะไม่เจริญขึ้น ไม่ดีขึ้น 

 

เมื่อมีวิริยะบารมีแล้ว ก็ต้องมีขันติบารมีเป็นเครื่องสนับสนุน เพราะการทำความดีเป็นสิ่งที่ยาก เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ถ้าไม่มีความอดทนก็จะทำไม่สำเร็จ เวลาเกิดอารมณ์อยากจะพูดปด ก็ต้องอดทนไม่พูดปด จะทำทำบุญตักบาตรก็ต้องตื่นแต่เช้า ถ้าไม่อดทนก็จะตื่นไม่ได้ เวลานั่งสมาธิไปนานๆ เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ ถ้าไม่อดทนก็จะนั่งไม่ได้  จึงต้องมีขันติบารมีคอยสนับสนุน ต้องฝึกให้มีความอดทน  อย่าเอาแต่ความสุขความสบาย  ให้คิดว่าความทุกข์ยากลำบากนี้  จะพาให้ไปสู่ความสุขในบั้นปลาย ดีกว่าความสุขความสบายที่จะพาไปสู่ความทุกข์ในบั้นปลาย  ถ้าไม่มีขันติบารมีเวลาทุกข์ในบั้นปลาย ตอนที่เราแก่ เราเจ็บ เราตาย จะทุกข์ทรมานใจมาก ถ้าได้ฝึกฝนสร้างขันติบารมีในขณะที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่  ยอมต่อสู้กับความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดจากการนั่งสมาธิก็ดี  เกิดจากการทำความดีต่างๆก็ดี เราจะมีขันติความอดทนไว้ต่อสู้  จิตใจจะไม่ทรมาน ไม่ทุรนทุราย จิตใจจะสงบนิ่ง  นี่คือบารมี ๔ ประการที่สำคัญอย่างยิ่งในการบำเพ็ญบารมี เช่นทานบารมีการให้ มีอะไรที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ ก็ควรเอาไปจำหน่ายจ่ายแจก ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือเป็นอะไรก็ตาม เก็บไว้ไม่เกิดประโยชน์ทั้งกับเราและกับผู้อื่น จะได้ทานบารมี   ทำให้เป็นเศรษฐีในภายภาคหน้า ในภพหน้าชาติหน้า ไม่ต้องไปหาเงินหาทองให้ลำบากยากเย็น เพราะจะไปเกิดบนกองเงินกองทอง ไปเกิดเป็นลูกของเศรษฐี เป็นลูกของพระมหากษัตริย์เป็นต้น ศีลบารมีการไม่เบียดเบียนกัน เป็นการสร้างสุคติ ภพชาติที่ดี จะเกิดเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า เป็นมนุษย์ได้ จะต้องมีศีลบารมีพาไป  ถ้าไม่มีศีลบารมีก็จะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง ไปตกนรกบ้าง 

 

เนกขัมมะบารมีการถือศีลบวช เพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ถ้าไม่มีเนกขัมมะบารมี ก็จะไม่สามารถเข้าสู่พรหมโลกได้ ไม่สามารถเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้  ต้องอาศัยเนกขัมมะบารมี ต้องถือศีลบวช ไม่ว่าจะเป็นศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ข้อก็ดี จะต้องโกนหัวห่มเหลืองห่มขาวหรือไม่ ความจริงก็ไม่จำเป็น   ถ้ารักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ได้ ก็เป็นเหมือนนักบวชแล้ว เพราะศีลไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง ไม่ได้อยู่ที่ผ้าขาว  ไม่ได้อยู่ที่โกนศีรษะหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิงที่ผู้ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่  อยู่ที่การรักษาศีลได้หรือไม่ ถ้ารักษาได้ก็ถือว่าได้บำเพ็ญเนกขัมมะบารมี มีสิทธิที่จะก้าวเข้าสู่พรหมโลก สู่มรรคผลนิพพาน ปัญญาบารมีความรู้ความฉลาด จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ถ้ามีแต่เนกขัมมะบารมีก็จะได้แค่ขั้นพรหมโลก ได้แค่ฌาน  ได้แค่สมาธิ  ถ้าต้องการมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จากความทุกข์ทั้งปวง ก็ต้องบำเพ็ญปัญญาบารมี ต้องฟังเทศน์ฟังธรรม บำเพ็ญวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในสภาวธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ที่เห็นด้วยตาก็ดี ได้ยินด้วยหูก็ดี สัมผัสด้วยกายก็ดี ล้วนเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาทั้งนั้น เห็นแล้วก็หายไป ได้ยินแล้วก็หายไป  ร่างกายก็เช่นเดียวกัน เกิดแล้วก็ต้องแก่เจ็บตายไป  ไม่มีอะไรอยู่กับใจไปตลอด มีการเกิดดับ มีมามีไป  ถ้าหลงยึดติดก็จะต้องเกิดความทุกข์  เกิดตัณหาความอยากได้ขึ้นมา ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก ถ้ามีปัญญารู้แล้วว่า ไม่สามารถยึดติดกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ ก็จะปล่อยวาง จะเกิดก็เกิด จะดับก็ดับ  ปล่อยให้เป็นไปตามความเป็นจริง  จะได้ไม่ทุกข์ ไม่อยาก ไม่มีเหตุที่จะพาให้ไปเกิดอีกต่อไป จิตก็จะกลายเป็นพระนิพพานไป  ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตาย ไปพลัดพรากจากกัน นี่คือปัญญาที่จะเกิดขึ้นจากการฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ 

 

วันนี้เราฟังแล้วก็เกิดปัญญา รู้อะไรหลายอย่างที่ไม่รู้มาก่อน เช่น อธิษฐานบารมี   ส่วนใหญ่จะคิดว่าอธิษฐานคือการขอ ทำบุญแล้วก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้  ถ้าทำแล้วไม่ขอก็ได้อยู่ดี เพราะการกระทำเป็นเหตุที่จะทำให้ได้ผล  ถ้าให้ทานก็จะได้ทานบารมี  ถ้ารักษาศีลก็จะได้ศีลบารมี ไม่ต้องขอก็ได้  คำว่าอธิษฐานนี้ไม่ได้แปลว่าขอ แต่เป็นการตั้งใจ ถ้าไม่ได้ตั้งใจก็จะไม่ได้ทำ  เมื่อไม่ได้ทำก็จะไม่ได้ผล ถ้าจะขออย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย ขอไปจนวันตายก็จะไม่ได้ผล เช่นขอไปพระนิพพาน ถ้าไม่ทำบุญให้ทาน ไม่รักษาศีล ไม่บำเพ็ญเนกขัมมะบารมี ไม่เจริญปัญญาบารมี  ต่อให้ขอไปจนวันตาย ขออีกร้อยล้านชาติ ก็จะไปไม่ถึงพระนิพพาน เพราะพระนิพพานไม่ได้เกิดจากการขอ แต่เกิดจากการบำเพ็ญบุญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นตัวอย่าง จนได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาเช่นเดียวกัน พวกเราก็เช่นเดียวกัน  ถ้าบำเพ็ญบุญบารมีทั้ง ๑๐ ประการได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าในลำดับต่อไปอย่างแน่นอน จึงควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยการบำเพ็ญบารมีอย่างต่อเนื่อง คืออธิษฐานบารมี  สัจจะบารมี  วิริยะบารมี  ขันติบารมี  ทานบารมี  ศีลบารมี  เนกขัมมะบารมี  ปัญญาบารมี  เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี จะได้กำไรจากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ถ้าบำเพ็ญเพื่อลาภยศสรรเสริญสุข ก็จะขาดทุน ตายไปเอาติดตัวไปไม่ได้ จะไม่ได้ไปเกิดดีกว่าเดิม ไม่ได้พัฒนาภพชาติให้สูงขึ้น   จึงควรให้ความสำคัญต่อการบำเพ็ญบุญบารมี ให้ถือเป็นหน้าที่หลักของชีวิตเลย  ถ้ามีใครถามว่าเกิดมาเพื่อทำอะไร ก็ตอบได้เลยว่า เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบุญบารมี  นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ได้ทรงบำเพ็ญมา จึงนำมาเผยแผ่สั่งสอนพวกเรา  จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วนำมาปฏิบัติ จะได้มีแต่ความเจริญก้าวหน้า การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้