กัณฑ์ที่ ๓๕๙       ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๐

 

 

ทำไมต้องศึกษาธรรมะ

 

 

 

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของผู้รู้จริงเห็นจริง เป็นโลกวิทู ผู้รู้โลก รู้เหตุรู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้สังคม รู้กาลเทศะ รู้ประมาณ ที่จะทำให้ปฏิบัติกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ถูกต้อง นำมาซึ่งความสุขและความเจริญ ปราศจากความทุกข์ความวุ่นวายต่างๆ การเข้าหาพระธรรมคำสอน จึงเป็นการกระทำที่ฉลาด  เพราะคนที่ฉลาดก็คือคนที่รู้ว่าตนยังโง่อยู่ ยังไม่ฉลาด  ส่วนคนโง่ก็คือคนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าหาพระศาสนา หาพระธรรมคำสอน เช่นพวกที่ได้ศึกษาวิชาความรู้ทางโลก จนได้ปริญญาระดับต่างๆ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก พวกนี้มักจะคิดว่าตนฉลาดแล้ว รู้แล้ว  แต่ทำไมยังต้องเวียนว่ายอยู่กับความทุกข์ความวุ่นวายใจ กับปัญหาต่างๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะความรู้ทางโลกไม่สามารถดับทุกข์  ดับปัญหาต่างๆได้  มีแต่ความรู้ทางพระศาสนาเท่านั้นที่จะดับได้ ถ้าได้ศึกษาจนถึงปริญญาเอกแล้วก็ตาม ก็อย่าไปคิดว่าฉลาด  ถ้ายังมีความทุกข์ความวุ่นวายใจ ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ  ยังห่วงเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้ กลัวเรื่องนั้นกลัวเรื่องนี้อยู่ แสดงว่ายังไม่ฉลาด ยังไม่ได้เรียนวิชาที่จะแก้ปัญหาใจได้ คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะช่วยเราดับความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความหวาดกลัว ความไม่สบายอกไม่สบายใจได้  จึงควรหมั่นเข้าวัดกัน เมื่อเข้าวัดแล้วก็อย่าเพียงแต่จุดธูปเทียน ๓ ดอก แล้วก็กลับบ้านไป  เพราะยังเข้าไม่ถึงวัดนั่นเอง  ไปวัดแต่ยังไม่ถึงวัด เพราะหัวใจของวัดไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป ไม่ได้อยู่ที่โบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่การจุดธูปเทียนกราบพระ แล้วก็อธิษฐานขอสิ่งนั้นสิ่งนี้  นั่นไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นความเชื่อแบบงมงาย

 

การเข้าวัดที่แท้จริงต้องเข้าหาพระธรรมคำสอน ฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังแล้วก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติ จะได้ปรากฏผลขึ้นมาในจิตในใจ  ทำให้ใจสบายขึ้น ความทุกข์ความวุ่นวายใจน้อยลงไป จนหมดสิ้นไป  มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ในเรื่องของจิตใจ ในเรื่องของความทุกข์ใจ เวลาเข้าวัดจึงควรเข้าให้ถูก อย่าเข้ามาเที่ยวดูนั่นดูนี่ ไม่เกิดประโยชน์อะไร มาวัดแล้วต้องหาธรรมะ ต้องได้ยินได้ฟังธรรมะ  ต้องได้สนทนาธรรมะ เพราะเป็นวิธีสร้างมงคลให้กับชีวิต  ดังในมงคลสูตรที่ได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า กาเลน ธัมมัสวนัง กาเลน ธัมมัสสากัจฉา  เอตัมมัง กลมุตตมัง การได้ยินได้ฟังธรรมตามกาลตามเวลา การได้สนทนาธรรมตามกาลตามเวลา เป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะจะได้ประโยชน์หลายประการด้วยกันคือ ๑. จะได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  ๒. สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว เมื่อได้ฟังอีก ก็จะเกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้นไป ๓. ทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง ๔. ทำจิตใจให้ผ่องใส มีความสุข นี่คืออานิสงส์ที่เกิดจากการฟังเทศน์ฟังธรรม จากการสนทนาธรรม การฟังเรื่องอื่นหรือสนทนาเรื่องอื่น ไม่ทำให้จิตใจสงบ กลับจะทำให้วุ่นวายใจ  มีความอยากมากยิ่งขึ้น  เราจึงควรฟังเทศน์ฟังธรรม ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ ตามกาลตามเวลา อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งก็ควรจะฟังเทศน์ฟังธรรมสักครั้งหนึ่ง  ทรงบัญญัติวันพระวันธัมมัสสวนะไว้ทุกๆอาทิตย์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ปล่อยวางภารกิจทางโลก แล้วหันมาศึกษาพระธรรมคำสอน  มาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกความหลง ซึ่งเปรียบเหมือนความมืด ครอบงำจิตใจ   ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ คือมิจฉาทิฐิ ทำให้เกิดความอยากต่างๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์  

 

นี่คือการเข้าวัดที่แท้จริง ต้องฟังเทศน์ฟังธรรม พอได้ยินได้ฟังแล้ว จะได้นำมาปฏิบัติ  ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ยินเรื่องทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถภาวนา เจริญวิปัสสนาภาวนา เรื่องของการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากความทุกข์ ที่ทางโลกไม่สนใจกัน คิดว่าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เพราะไม่สามารถเห็นได้ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เนื่องจากใจมืดบอดด้วยโมหะความหลง เห็นผิดเป็นชอบ เห็นเพียงครึ่งเดียวของชีวิต เห็นเพียงร่างกาย แต่ไม่เห็นจิตใจ ไม่รู้ว่าชีวิตประกอบด้วย ๒ ส่วน คือกายและใจ  ไม่รู้ว่าใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย  หลังจากร่างกายแตกดับไปแล้ว  ใจที่เป็นผู้สั่งการให้ร่างกายทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ต้องไปรับผลที่ได้สั่งให้ร่างกายทำไว้  ถ้าสั่งร่างกายให้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ  เสพสุรายาเมา  ก็ต้องไปติดคุกติดตะราง  คือไปเกิดในอบาย เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง ไปตกนรกบ้าง ซึ่งเป็นเหมือนคุกตะรางของใจ ถ้าใจได้สั่งให้ร่างกายทำแต่ความดี ทำบุญทำทาน ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์  เจริญปัญญา มีความเมตตากรุณา มีสัมมาคารวะ มีความกตัญญูกตเวที  เมื่อตายไปก็จะได้รับรางวัล ได้ไปเกิดเป็นเทพบ้าง เป็นพรหมบ้าง ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม มีฐานะดีกว่าเดิม มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเดิม  มีสติปัญญาฉลาดกว่าเดิม  มีอายุยืนยาวนานกว่าเดิม  มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกว่าเดิม มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองมากกว่าเดิม  เพราะได้สะสมบุญบารมีไว้นั่นเอง ซึ่งเป็นเหมือนกับฝากเงินไว้ในธนาคาร ฝากได้มากเพียงไร ก็จะมีเงินใช้ในอนาคตมากเพียงนั้น  ถ้าไม่ฝากเลยแต่กลับไปกู้หนี้ยืมสิน ก็จะไม่มีเงินทองใช้ในอนาคต มีหนี้สินที่ต้องชดใช้ 

 

นี่คือที่ไปของใจหลังจากแยกทางกับร่างกายไปแล้ว ที่คนในโลกมองไม่เห็นกัน จะเห็นได้ก็ต้องปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา ถึงจะมีตาทิพย์ปรากฏขึ้นมา ทำให้เห็นใจซึ่งเป็นกายทิพย์ได้  เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้ว่าทำไมต้องทำดี ทำไมต้องละบาป ทำไมต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ถ้าไม่ศึกษาก็จะไม่รู้จักการทำจิตใจให้สุขให้เจริญ  ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ มีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงสามารถรู้ได้ด้วยพระองค์เอง   สามารถทำให้พระองค์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  หลังจากนั้นก็ทรงมีพระเมตตากรุณา  นำเอาสิ่งที่ได้ทรงศึกษา ได้ปฏิบัติ ได้บรรลุถึง มาเผยแผ่สั่งสอนสัตว์โลก  เพื่อจะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในลำดับต่อไป  นี่คือสิ่งที่จะได้ยินได้ฟังเวลาฟังเทศน์ฟังธรรม เมื่อได้ฟังอยู่บ่อยๆ  ก็จะเข้าใจ ก็จะเห็น  เมื่อก่อนฟังใหม่ๆอาจจะไม่เข้าใจว่านรกเป็นอย่างไร สวรรค์เป็นอย่างไร เพราะหาในโลกนี้อย่างไรก็หาไม่เจอ นั่งเรือไปสุดขอบทะเลสุดขอบฟ้า ก็ไม่เจอนรก ไม่เจอสวรรค์ นั่งเครื่องบินไปรอบโลกก็ไม่เจอ  นั่งจรวดออกไปนอกโลกก็ไม่เจอ  เพราะนรกหรือสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ภายในใจของเรา  เวลาใจมีความสุขตอนนั้นใจได้ไปถึงสวรรค์แล้ว  เวลาใจมีความทุกข์ตอนนั้นใจได้ไปถึงนรกแล้ว นี่คือนรกและสวรรค์ ไม่ได้เป็นสถานที่ แต่เป็นความรู้สึกภายในใจ ใจมีสุขตอนนั้นก็เป็นสวรรค์ ใจมีทุกข์ ตอนนั้นก็เป็นนรก สิ่งที่ทำให้ใจมีความสุขก็คือการทำความดี ทำบุญให้ทาน มีสัมมาคารวะ มีความกตัญญูกตเวที ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ เจริญปัญญา เพื่อให้เห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีตัวตน เมื่อเห็นแล้วจะได้ปล่อยวาง จะได้ไม่ทุกข์กับอะไรเลย

 

นี่คืออานิสงส์ของการฟังเทศน์ฟังธรรม จะทำให้เข้าใจในเรื่องต่างๆที่ยังไม่เข้าใจ หลังจากได้ฟังบ่อยๆ ฟังซ้ำๆอยู่เรื่อยๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนมีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  การหลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดก็มีจริง     เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้วใจก็จะสงบ มีความสุข เพราะขณะที่ฟังเทศน์ฟังธรรม    ใจไม่มีโอกาสไปคิดเรื่องของกิเลส ไม่คิดอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ วิตกหวาดกลัวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจอยู่กับพระธรรมคำสอน ที่จะกล่อมใจให้มีความสงบ มีความสบาย เป็นสิริมงคลอย่างแท้จริง อยู่ที่ใจที่สงบ ผ่องใส มีความสุข มีความเห็นชอบ ไม่ได้อยู่ที่กองสมบัติข้าวของเงินทอง มีมากน้อยเพียงไรก็ไม่ได้ทำให้จิตใจสงบผ่องใส มีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ  แต่กลับจะมีความหลงเพิ่มมากขึ้น เพราะจะหลงคิดว่าเป็นสมบัติของตนจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะต้องทิ้งให้ผู้อื่นหมด  เพราะเวลาตายไป เอาติดตัวไปไม่ได้เลยแม้แต่บาทเดียว เอาไปได้แต่ความดีหรือความชั่ว  บุญหรือบาป ที่ได้ทำไว้ ที่จะติดไปกับจิตกับใจ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนไม่ให้หลงกับกองเงินกองทอง มีเงินมากเกินไปไม่ดี อย่าเก็บเอาไว้ เก็บไว้เท่าที่จำเป็น เท่าที่จะต้องใช้ มีเหลือให้เอาไปเปลี่ยนเป็นบุญเสีย เพราะเป็นเหมือนเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารของภพหน้าชาติหน้า เกิดชาติหน้าก็จะเกิดเป็นลูกของเศรษฐี ลูกของพระเจ้าแผ่นดิน เกิดบนกองเงินกองทอง ไม่ต้องลำบากลำบนหาเงินหาทอง เพราะหาไว้แล้วในชาตินี้ เมื่อมีแล้วก็อย่าเก็บไว้ อย่าเอาไปใช้กับสิ่งที่จะทำลายจิตใจ เช่นของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เป็นการสร้างกิเลสคือความโลภความโกรธความหลงให้มีมากขึ้น

 

พอได้ซื้อของฟุ่มเฟือยแล้วก็จะอยากซื้ออยู่เรื่อยๆ วันนี้ไปซื้อของมาแล้ว พอพรุ่งนี้เห็นของใหม่ก็อยากจะได้อีก ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อมาเลย แต่อดไม่ได้ คิดว่าเก็บเงินทองไว้ทำไม เอามาซื้อของดีกว่า  แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามีผลอย่างไรกับใจ ทำให้สงบสบายอิ่มมากขึ้นหรือเปล่า ไม่เคยคิดเลย ไม่รู้เลยว่าทำให้มีความหิวความอยากมากขึ้น อยากจะได้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆจนไม่มีที่เก็บ  ดูรองเท้าของเราดูซิ ว่ามีกี่คู่แล้ว เรามีเท้าเพียงคู่เดียวเท่านั้น เวลาใส่รองเท้า  ก็ใส่ได้ทีละคู่เดียว เสื้อผ้าก็มีเต็มตู้ ต้องไปหาซื้อตู้มาใหม่ ต้องสร้างที่เก็บใหม่ เพราะไม่พอเก็บ ไม่เป็นประโยชน์กับจิตใจเลย  มีแต่สร้างความกังวล  สร้างภาระที่จะต้องคอยดูแลรักษา เวลาจะย้ายบ้านถึงจะรู้ว่าลำบากขนาดไหน  ที่ต้องย้ายสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้มัน เก็บมันไว้อย่างนั้น กลายเป็นยามเฝ้าสมบัติไป แทนที่จะให้สมบัติรับใช้เรา ให้เรามีความสุข มีความสบาย  กลับเป็นทาสของสมบัติ  ต้องคอยรับใช้สมบัติ ต้องคอยเฝ้าคอยดูแลทรัพย์สมบัติ เวลาที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติไป ก็เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ ตายไปแล้วก็ไม่มีสมบัติรออยู่ข้างหน้า

 

มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง ในสมัยพระพุทธกาล มีเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง มีมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อในเรื่องตายแล้วไปเกิดใหม่ จึงไม่ชอบทำบุญ ไม่ชอบรักษาศีล มีเงินมากน้อยเพียงไรก็ไม่ให้ใคร แม้แต่ลูกหลานก็ไม่ยอมให้เอาไปฝังไว้ในดินหมด เวลาตายไป เพราะความห่วงใย ความเสียดายในสมบัติของตน จึงทำให้กลับมาเกิดเป็นสุนัขในบ้าน พยายามบอกลูกว่าตนเองเป็นพ่อ  แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง ลูกก็ไม่รู้ว่าเป็นพ่อ แล้วลูกก็เกลียดหมาตัวนี้ด้วย ชอบตีมัน ชอบกลั่นแกล้งมัน โชคดีวันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงเสด็จผ่านมาเห็นเข้า ทรงทราบว่าเป็นพ่อ จึงบอกให้คนในบ้านทราบ ว่าหมาตัวนี้เป็นพ่อ  ถ้าอยากจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง ลองบอกให้มันไปขุดสมบัติที่พ่อฝังไว้ หมาก็ไปขุดสมบัติต่างๆที่เศรษฐีได้ฝังไว้  ลูกก็เลยเชื่อว่าเป็นพ่อจริงๆ  นี่เป็นเพราะพ่อมีมิจฉาทิฐิ ไม่ชอบเข้าวัด ไม่ชอบฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ชอบรักษาศีล ไม่ชอบทำบุญให้ทาน คิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องหลอกเอาเงิน  ก็เลยไม่ทำตาม พอตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นสุนัข  เป็นเรื่องในพระไตรปิฎก จึงควรพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เพียงแต่จะพิสูจน์หรือไม่  เพราะต้องปฏิบัติถึงจะพิสูจน์ได้  ต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เช่นทรงสอนให้สละสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ต้องสละ อย่าไปเสียดาย เก็บเอาไว้เท่าที่จำเป็น  ทรงสอนให้รักษาศีลก็ต้องรักษาศีล ให้สวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ ก็ต้องทำให้ได้  ให้เจริญปัญญาอยู่เสมอว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นจากการแก่การเจ็บการตาย การพลัดพรากจากกันไม่ได้ ต้องปฏิบัติตาม  ถ้าปฏิบัติแล้วก็จะมีแสงสว่างแห่งธรรมปรากฏขึ้นมา มีดวงตาเห็นธรรม มีตาทิพย์  ทำให้เห็นใจ รู้ว่าใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย  หลังจากที่ร่างกายตายไปแล้ว ใจยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก

 

นี่คือการเข้าวัด เพื่อมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ทำบุญให้ทาน รักษาศีล  นั่งสมาธิ เจริญปัญญา  ถ้าทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้ว ใจจะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จะสว่างขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นสิ่งต่างๆได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นเหตุ คือกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่สร้างผลคือความทุกข์ความวุ่นวายใจ  จะเห็นธรรมะ คือวิธีดับกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ ด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเท่านั้น  ไม่ได้เกิดจากการขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอให้มีความสุข มีความเจริญ ไม่มีความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ขอไปจนวันตายก็ขอไม่ได้ ถ้าได้ศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติกับกายวาจาใจแล้ว รับรองได้ว่าความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆ จะเบาบางลงไป จนหมดสิ้นไป จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย  ไม่ทุกข์ ไม่กังวล ไม่หวาดกลัวเลย ไม่ว่าจะเป็นจะตาย จะจากใครไป หรือใครจะจากเราไป  จะไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศกเสียใจเลย  นี่คืออานิสงส์ที่จะได้รับจากการฟังเทศน์ฟังธรรม จากการนำเอาไปประพฤติไปปฏิบัติ เราจึงควรเข้าวัดกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง  ถ้าไม่ได้เข้าวัดก็เอาวัดไปที่บ้าน เปิดธรรมะฟัง เปิดหนังสือธรรมะอ่านที่บ้าน ถ้าอยากจะทำบุญทำทาน ก็หากระปุกใส่เงินทองที่จะทำบุญไว้ พอไปวัดก็ค่อยเอาไปถวายวัด เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่จำเป็นต้องมาวัดเสมอไป มาวัดไม่ได้ก็เอาวัดไปที่บ้าน เอาวัดไปที่ใจของเรา ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี เพื่อความสุขและความเจริญที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้