กัณฑ์ที่ ๓๙     ๒๘ มกราคม ๒๕๔๔

ปัญญา

 

คนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีความปรารถนาอยากจะเป็นคนฉลาด เป็นคนมีความรู้มีปัญญาด้วยกันทุกคน  แต่ความฉลาดความรู้มีปัญญาไม่ได้เกิดจากความปรารถนาโดยถ่ายเดียว  แต่เกิดจากการกระทำของแต่ละคน เกิดจากความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความใฝ่รู้  ใฝ่ศึกษาหาความรู้ต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้  ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีความใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา พยายามแสวงหาความรู้จากผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ในที่สุดก็จะเป็นคนฉลาดได้

ความรู้ที่มีในโลกนี้แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือความรู้ทางโลกและความรู้ทางธรรม ความรู้ทางโลกได้แก่เรื่องราวต่างๆ ภายนอกตัวเรา เช่นวิชาวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ หรือความรู้อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องราวภายนอกทั้งหลายเรียกว่าวิชาทางโลก  ส่วนวิชาทางธรรมจะเกี่ยวข้องกับความรู้ทั้งสองประเภท คือทั้งเรื่องในตัวเราและเรื่องนอกตัวเรา เรื่องราวอะไรก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับจิตใจ มาสัมผัสกับจิตใจ และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเช่นสุขทุกข์เป็นต้น เรียกว่าวิชาทางธรรม 

ถึงแม้จะได้ศึกษาวิชาทางโลกมามากมายเพียงไรก็ตาม แต่ความรู้ทางโลกกลับไม่สามารถใช้เป็นเครื่องดับความทุกข์ในจิตใจได้เลย  สังเกตดูได้กับคนบางคนที่ได้เรียนสูงๆจนสำเร็จปริญญาตรี โท เอก  เวลามีความทุกข์ขึ้นมากลับไม่รู้จักวิธีระงับดับความทุกข์นั้นๆ มักจะใช้วิธีผิดๆ เช่นฆ่าตัวตายเป็นต้น โดยคิดว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นการดับทุกข์  ถ้าหากได้ศึกษาวิชาทางธรรมจะรู้ว่าความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจ  ไม่ได้เกิดที่ร่างกาย  ทำลายร่างกายไม่ได้ดับทุกข์ในจิตใจไปด้วย จิตใจก็ยังทุกข์อยู่ เพราะว่าร่างกายและจิตใจเป็นคนละอย่างกัน  ร่างกายเป็นอย่างหนึ่ง จิตใจเป็นอย่างหนึ่ง จิตใจเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าว  จิตใจเป็นผู้สั่งการให้ร่างกายไปกระทำสิ่งต่างๆ ให้พูดก็ดี ให้เดินก็ดี   จิตใจเป็นผู้สั่งงาน และเป็นผู้รับผล  ถ้าทำในสิ่งที่ดีงามก็เกิดความสุขใจ  ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามก็เกิดความทุกข์ใจ

การที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ของจิตใจจึงต้องหาสาเหตุว่า ความทุกข์ของจิตใจเกิดขึ้นมาจากอะไร  ร่างกายไม่ใช่ต้นเหตุของความทุกข์ทางจิตใจ  หลักธรรมแสดงไว้ว่าความทุกข์ของจิตใจเกิดจากตัณหา ความอยากทั้งหลาย  ตัณหามีอยู่ ๓ ประเภท คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา  กามตัณหาคือความอยากในกาม หมายถึงามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  เป็นสิ่งที่จิตใจปรารถนาอยากที่จะได้สัมผัสอยู่เสมอๆ  ถ้าไม่ได้สัมผัสจะเกิดอาการทุกข์ใจขึ้นมา อย่างเวลาที่อยู่บ้านเฉยๆ จิตใจจะมีความหงุดหงิด มีความกระวนกระวาย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร แต่ถ้าได้ออกไปนอกบ้าน ได้ไปดู ได้ไปฟัง ได้ไปดมกลิ่น ได้ไปลิ้มรส ได้ไปสัมผัสกับอะไรต่างๆ  จิตใจจะมีความเบิกบาน มีความสุขใจ  เป็นการติดกามสุข  มีกามตัณหาเป็นต้นเหตุ  ถ้าไม่ได้สัมผัสก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ต่างกับคนที่ไม่มีความอยากในกาม ไม่มีกามตัณหา สามารถอยู่บ้านได้ อยู่เฉยๆได้ ไม่ต้องดูหนังดูละคร ไม่ต้องฟังเพลงก็มีความสุขได้ เพราะจิตใจไม่มีความอยากในเรื่องกามทั้งหลาย ไม่มีกามตัณหาก็ไม่มีความทุกข์ ถ้ามีกามตัณหาก็ต้องมีความทุกข์

วิชาทางธรรมสอนว่า ความสุขความทุกข์ที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก  ภายนอกนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความทุกข์หรือความสุขขึ้นมาภายในใจ  ถ้าใจไม่อยาก ใจก็สุข ถ้าใจอยาก ใจก็ทุกข์  วิชาทางโลกเป็นความรู้ที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง   เพราะว่าร่างกายต้องอาศัยปัจจัย ๔ คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย  และยารักษาโรค   ถ้าขาดปัจจัย ๔  ร่างกายก็อยู่ไม่ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องศึกษาวิชาทางโลกเพื่อจะได้มีวิชาไว้ใช้ประกอบสัมมาอาชีพ อาชีพที่สุจริต เพื่อจะได้มีปัจจัย ๔ ไว้เยียวยาดูแลร่างกาย  แต่วิชาทางโลกโดยลำพังไม่เพียงพอกับการดูแลรักษาจิตใจ จึงต้องศึกษาวิชาทางธรรมด้วย โดยเข้าหาพระพุทธศาสนาเพื่อศึกษาให้เกิดปัญญา

ปัญญาทางพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ระดับคือ . สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง เช่นการฟังเทศน์ฟังธรรม เรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องบาปเรื่องบุญ เรื่องคุณเรื่องโทษ เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกรรมเรื่องวิบาก  เป็นปัญญาความรู้  เมื่อเกิดความเข้าใจขึ้นมา ก็สามารถใช้แก้ปัญหาระงับดับทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง  . จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาไตร่ตรอง เช่นเวลาไปทำอะไรไม่ดีมา ไปพูดโกหกหลอกลวง  ก็เกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เลยนั่งคิดว่าวันนี้ไม่สบายใจเพราะอะไร  ที่ไม่สบายใจเพราะไปพูดโกหกหลอกลวง  เลยเกิดความกังวลว่าจะถูกเขาจับได้  ก็เลยเกิดความไม่สบายใจ เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่าการโกหกหลอกลวงเป็นการกระทำที่ไม่ดี  เพื่อเป็นการระงับดับความไม่สบายใจ จึงต้องไปสารภาพบาป  เมื่อได้สารภาพขออภัยแล้วใจก็สบายเพราะไม่มีความกังวลอีกต่อไป การคิดพิจารณาว่าการกระทำทางกายวาจาใจเป็นเหตุของความสุขความทุกข์ในจิตใจ  เรียกว่าจินตามยปัญญา คือคิดไปในทางเหตุทางผล เป็นปัญญาใช้ระงับดับทุกข์ภัยในใจได้  . ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา เป็นปัญญาที่ระงับดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ปัญญาระดับนี้ต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน เพราะว่าความสงบเป็นที่ปลง  ที่ปล่อยวาง ที่ดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีความสงบ ก็จะไม่สามารถปลงและปล่อยวางได้อย่างสิ้นเชิง

ภาวนามยปัญญาจะต้องเกิดจากการปฏิบัติโดยอาศัยการได้ยินได้ฟังมาก่อน ให้รู้จักว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกที่ผิด อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่ชั่ว เมื่อรู้แล้วก็เอามาสั่งสอนจิตใจด้วยการใคร่ครวญคิดพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เช่นการไปโกหกหลอกลวง ไปคดไปโกงเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทำไปแล้วก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา จึงพยายามละเสียด้วยการทำจิตใจให้สงบ ไหว้พระสวดมนต์ บริกรรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ โดยมีสติระลึกรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้จิตไปคิดเรื่องอื่น  ให้อยู่กับพุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างเดียว  ถ้าดูลมหายใจเข้าออก  ก็ให้รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว  อย่าไปคิดเรื่องอื่น ถ้าไปคิดเรื่องอื่นจิตจะไม่สงบ  นั่งไปนานสักเท่าไรก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา  ผลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสติควบคุมใจให้รู้อยู่กับงานที่ทำอยู่เท่านั้น  ถ้ากำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็ให้รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว  ถ้าใช้คำบริกรรมพุทโธ ก็กำหนดรู้อยู่กับพุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างเดียว  อย่าไปคิดเรื่องอื่น  ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้แล้ว  ไม่ช้าก็เร็ว จิตจะรวมลงเป็นสมาธิ จิตจะตั้งมั่น ไม่ลอยไปไหน มีความสงบ มีความนิ่ง มีความอิ่ม มีความพอ มีความสุข  เมื่อมีความสุขแล้ว  เวลาจิตจะไปทำอะไรในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ จะเห็นความทุกข์ใจเกิดขึ้นมาทันที เมื่อเห็นทุกข์ก็จะละการกระทำที่ไม่ดีนั้นทันที นี่คือการทำงานของภาวนามยปัญญา

เวลาจิตมีความสงบจิตจะไม่ไปก่อกรรมก่อเวรกับใคร  เพราะจิตมีความสุข  เป็นความสุขที่เหนือความสุขทั้งหลาย เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่มีอยู่ในจิตที่สงบ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากการได้รับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเป็นความสุขที่ปนไปด้วยความทุกข์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่าพิศวาส ไม่น่าปรารถนา จึงควรตัดความยินดี ความอยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ให้หมดไป ด้วยการเจริญจิตตภาวนา จะได้อยู่เย็นเป็นสุข หมดเวรหมดกรรม เพราะไม่ก่อเวรก่อกรรมกับใครอีกต่อไป ดำรงชีวิตอยู่ในศีลในธรรม ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นโดยถ่ายเดียว  ดังพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญประโยชน์ให้กับโลกตลอดเวลา ๔๕ พรรษา โดยการประกาศพระศาสนาให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย  เป็นคุณเป็นประโยชน์ให้กับโลกมาจนถึงทุกวันนี้

นี่คือปัญญาในพระพุทธศาสนา สุตมยปัญญา  จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา เป็นธรรมอันประเสริฐที่ได้รับการสืบทอดกันมายาวนาน  ขอให้ทุ่มเทชีวิตจิตใจสร้างปัญญานี้ให้เกิดขึ้นเถิด เพราะปัญญานี่แหละคือสรณะที่แท้จริง เป็นที่พึ่งที่แท้จริง จะพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญา การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้