กัณฑ์ที่ ๓๙๐ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๑
เติมเสบียง
วันนี้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาวัด เพื่อมาบำเพ็ญ มาสร้างบุญสร้างกุศล ที่เปรียบเหมือนเสบียงของชีวิตจิตใจ เพราะจิตใจของพวกเรายังเดินทางกันอยู่ ยังวนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ในภพสูงภพต่ำอยู่ ยังไม่ได้ไปถึงบ้านของเรา ที่เป็นสถานที่ๆปลอดจากความทุกข์ทั้งหลาย ที่มีแต่ความสุขที่จีรังถาวร เหมือนกับบ้านที่เราอยู่กันทุกวันนี้ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการอยู่บ้านกับการเดินทาง การอยู่บ้านย่อมสุขสบายกว่ามาก เพราะมีเครื่องอำนวยความสุขความสบายพร้อม อยากจะนอนก็นอนได้ อยากจะเข้าห้องน้ำก็เข้าได้ อยากจะดื่มอยากจะรับประทานอะไร ก็มีอยู่พร้อมบริบูรณ์ ต่างจากการเดินทางที่จะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ในรถ อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ต้องรอให้จอดแวะก่อนถึงจะทำได้ เช่นจอดแวะตามสถานีบริการ ถ้าจะเข้าห้องน้ำห้องท่า ยืดเส้นยืดสาย หาอะไรดื่มอะไรรับประทาน ก็พอจะทำได้ ดังนั้นระหว่างการอยู่ที่บ้านกับการเดินทาง การอยู่ที่บ้านย่อมมีความสุขความสบายมากกว่า ฉันใดการเดินทางของพวกเราในภพน้อยภพใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น ต้องอยู่ในสภาพที่จำยอม ถึงแม้จะไม่ชอบแต่ก็ต้องอยู่กับสภาพนั้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ได้ไปถึงบ้านของจิตใจแล้ว ที่เราจะได้อยู่อย่างสุขอย่างสบายและพอใจ นี่คือเรื่องของใจของพวกเรา สถานีบริการก็คือภพชาติที่เรามาเกิด คือภพของมนุษย์นี้ เป็นสถานีบริการที่เราสามารถตักเติมเสบียงต่างๆให้แก่จิตใจของเราได้ ถ้าไปเกิดในที่ภพที่ดีที่สุขที่สบาย เช่นภพของเทพของพรหม ก็เป็นที่รับผลของบุญ แต่จะไม่ได้เติมเสบียง ถ้าไปเกิดในภพของเดรัจฉาน ภพของเปรตของสัตว์นรก ก็เป็นที่รับผลของกรรม เป็นสภาพที่ไม่น่าปรารถนา แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเติมเสบียงไม่ได้เช่นกัน หากยังทำบุญทำกรรมกันอยู่ วิบากคือผลย่อมเป็นไปตามเหตุ คือการกระทำของเรา
พวกเราจึงควรพยายามสร้างเหตุที่ดี ที่จะพาให้เราไปสู่ภพชาติที่ดี ไปสู่บ้านของเรา ที่มีแต่ความสุข ปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลาย ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ที่เป็นเหตุที่จะพาเราไปสู่จุดหมายที่เลิศที่ประเสริฐ ที่พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ดำเนินไปถึงแล้ว พวกเราก็พยายามที่จะตะเกียกตะกายไปกัน ยากบ้างง่ายบ้าง เพราะบำเพ็ญเหตุมาต่างกัน ถ้าได้บำเพ็ญบุญบารมีได้สะสมเสบียงมามาก การบำเพ็ญจะไม่ยากเย็นแต่อย่างใด ถ้าการบำเพ็ญเป็นไปอย่างลำบากยากเย็น ต้องเคี่ยวเข็ญข่มขู่บังคับ ก็แสดงว่ายังไม่ได้บำเพ็ญมาเท่าที่ควรนั่นเอง จึงไม่มีกำลังผลักดันให้ได้มาบำเพ็ญเพิ่มมากขึ้น เราก็ต้องพยายามผลักดัน เพราะมีงานที่ต้องทำอยู่อีกมาก ไม่เหมือนกับคนที่ได้บำเพ็ญมามากแล้ว ที่มีพลังอยู่ในตัว ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องให้ใครชวน ให้ใครฉุดลาก ถ้ายังต้องให้ผู้อื่นคอยชวนคอยฉุดลาก ก็ควรคบคนที่ฉลาดกว่าเรา ดีกว่าเรา มีบุญมากกว่าเรา เพราะจะได้ฉุดลากเราขึ้นสูง ถ้าคบกับคนที่เลวกว่าเรา แย่กว่าเรา ก็จะฉุดเราลงต่ำ ถ้าคบคนที่ชอบพวกอบายมุข ชอบเล่นการพนัน ชอบดื่มสุรายาเมา ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบความเกียจคร้าน ก็จะชวนให้ไปทำสิ่งที่เขาชอบทำ ถ้าชอบเล่นการพนัน ก็จะชวนเล่นการพนัน ชอบดื่มสุราก็จะชวนดื่มสุรา ชอบเที่ยวกลางคืนก็จะชวนเที่ยวกลางคืน ชอบความเกียจคร้านก็จะชวนให้เกียจคร้านไปด้วย พอทำไปแล้วผลก็คือความเสื่อมเสียก็จะตามมา จึงควรหลีกเลี่ยงคนที่แย่กว่าโง่กว่าเรา ควรคบคนที่เก่งกว่าดีกว่าฉลาดกว่าเรา ถ้ายังไม่สามารถทำให้เราเก่งได้ดีได้ฉลาดได้ด้วยตนเอง เพราะไม่มีกำลังผลักดันหรือฉุดลากให้ไปในทางที่ดีกว่าได้
การคบค้าสมาคมกับคนดีจึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังในมงคลสูตรที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา อย่าคบคนโง่คนพาล ให้คบบัณฑิตคนฉลาด เพราะคนฉลาดจะสอนจะช่วยจะดึงให้เราเจริญก้าวหน้า คนพาลคนโง่จะดึงให้เราเสื่อมลง ในบรรดาบัณฑิตทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ ไม่มีใครจะเก่งเท่ากับพระบรมศาสดาของพวกเรา คือพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะไม่ทรงมีพระชนม์ชีพแล้วก็ตาม แต่ยังมีผู้แทนของพระองค์อยู่ ดังที่ได้ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมที่ตถาคตได้ตรัสไว้ดีแล้วนี้แล จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป พวกเราจึงไม่ได้อยู่โดยปราศจากพระศาสดา เพราะในสมัยปัจจุบันยังปรากฏมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ ในรูปแบบต่างๆ ในหนังสือในตำรับตำรา เช่นในพระไตรปิฎก ในหนังสือของเกจิอาจารย์พระสุปฏิปันโนทั้งหลาย ที่ได้เขียนไว้ก็ดี ได้แสดงไว้ก็ดี ที่ได้รับการบันทึกนำเอามาเผยแผ่ให้แก่สาธุชนทั้งหลาย หรือการได้ยินได้ฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างที่ท่านทั้งหลายได้กำลังได้ยินได้ฟังอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน จึงไม่มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวว่า ไม่มีบัณฑิตไม่มีคนฉลาดที่จะฉุดลากเรา เพียงแต่ว่าจะรู้หรือไม่ หรือจะสนใจหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าสนใจศึกษาก็จะรู้ว่า ไม่มีใครมีความสามารถเท่ากับพระพุทธเจ้า
เพราะมีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่สามารถสอนตนเองสามารถพาตนเองให้หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ได้ สามารถพาตนเองไปสู่บ้านที่ประเสริฐได้ ก็คือพระนิพพาน นิพพานัง ปรมัง สุขัง นี่เอง ที่เป็นบ้านที่แท้จริง เป็นบ้านของดวงจิตดวงใจ ที่พวกเรากำลังแสวงหากัน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เป็นเหมือนคนตาบอดคลำทางหาบ้าน ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะสามารถหาได้ ถ้าไม่มีคนตาดีพาไป คนตาบอดเวลาจะออกไปข้างนอกต้องอาศัยคนตาดีนำทาง ถ้าไม่ได้คนตาดีอย่างน้อยถ้าได้สุนัขตาดีก็ยังพอจะช่วยได้ ฉันใดการเดินทางการแสวงหาบ้านอันประเสริฐของพวกเรานี้ ก็ต้องอาศัยผู้นำทาง พวกเราต้องเข้าหาพระพุทธเจ้า เข้าหาพระธรรมคำสอน เข้าหาพระอริยสงฆสาวก เพราะพระอริยสงฆสาวกได้ไปถึงบ้านเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ไปถึงแล้ว จึงเป็นผู้ที่สามารถพาพวกเราไปได้ สามารถบอกทางอย่างถูกต้องให้แก่พวกเราได้ นี้แลคือความหมายของที่พึ่งอันสูงสุด เรียกว่าพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสูงสุดทางจิตใจ เพราะถ้ามีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อยู่ในจิตในใจแล้ว ก็จะได้สมบัติอันเลิศอันประเสริฐ ได้หลุดพ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างแน่นอน อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งอื่นใดในโลกนี้ ต่อให้มีอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม อาวุธนั้นก็ไม่สามารถปกป้องทุกข์ภัยที่จะมาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ เช่นความหวาดกลัวความทุกข์ต่างๆ เพราะอาวุธไม่สามารถป้องกันภัยที่จะมาเหยียบย่ำจิตใจได้ ป้องกันได้แต่ภัยที่จะมารุกรานดินแดนบ้านช่องของเรา มีแต่จะทำให้จิตใจทุกข์มากยิ่งขึ้นไปเสียอีก เพราะไม่ได้แก้ความทุกข์ของใจอย่างถูกวิธี พวกเรากำลังแก้ความทุกข์ของใจอย่างผิดวิธี คือไปสร้างความกลัวให้มีมากยิ่งขึ้น ยิ่งกลัวมากเท่าไรก็ยิ่งสร้างอาวุธที่ร้ายแรงมาป้องกันมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็ยิ่งเกิดความกลัวมากขึ้นไปอีก เพราะกลัวอาวุธที่สร้างไว้จะไม่พอเพียง เมื่อเราสร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้นไปมากเท่าไร ศัตรูหรือคู่ต่อสู้ก็จะต้องพยายามสร้างอาวุธที่ดีกว่าขึ้นไปอีก จึงไม่ใช่เป็นวิธีที่จะมาดับความกลัว ดับความทุกข์
สิ่งที่จะมาดับความกลัวดับความทุกข์ได้ ก็คือแสงสว่างแห่งธรรม ที่สอนให้พวกเรารู้ว่า ชีวิตคือร่างกายของพวกเรานี้ เกิดมาแล้วย่อมมีการแก่มีการเจ็บมีการตายเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะสร้างอาวุธมากน้อยเพียงไรก็ตาม สร้างยารักษาโรคที่วิเศษมากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่สามารถยับยั้งความแก่ความเจ็บไข้ได้ป่วยความตายได้ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ตรงนี้ เราแก้ไม่ได้เรื่องความแก่ความเจ็บความตาย แต่สิ่งที่เราแก้ได้ก็คือ ความหวาดกลัวในความแก่ความเจ็บความตายนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราแก้ได้ ถ้ามีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าคอยสอนจิตสอนใจ เพราะธรรมะจะสอนให้เรายอมรับความจริง สอนให้รู้ว่าความแก่เป็นธรรมดา ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ความตายเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปกลัว ปล่อยให้เกิดขึ้นไป ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย จะไปกลัวทำไม ร่างกายเป็นผู้แก่ผู้เจ็บผู้ตาย แต่ร่างกายกลับไม่กลัว เพราะร่างกายไม่ใช่ตัวรู้ ตัวรู้ไม่ใช่ร่างกาย ตัวรู้คือใจ ตัวที่กลัวก็คือใจ ใจที่มืดบอดนี้เอง ใจที่หลง หลงไปยึดติดกับร่างกายว่าเป็นตัวของเรา นี่คือความหลงของใจ ใจไปคิดว่าร่างกายเป็นใจ พอร่างกายเป็นอะไรไป ใจก็ตกใจกลัวขึ้นมา แต่พอได้แสงสว่างคือปัญญา ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แล้วนำเอามาเผยแผ่ให้กับสัตว์โลก สัตว์โลกที่มีปัญญามีความฉลาดพอที่จะแยกแยะกายออกจากใจได้ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากความหวาดกลัวได้ทันที เช่นสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก แก่พระปัญจวัคคีย์ ผู้มีศีลอยู่แล้ว มีสมาธิอยู่แล้ว สามารถแยกแยะกายจากใจได้อยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นอะไร พอมีพระพุทธเจ้ามาทรงสอนว่า ความแก่ความเจ็บความตายนี้เป็นของร่างกาย ไปทำอะไรมันไม่ได้ ส่วนความทุกข์ที่มีอยู่ในใจนี้ เราดับมันได้ ด้วยการยอมรับความจริงของร่างกาย ว่าไม่ใช่ตัวเราของเรา ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไปเป็นธรรมดา ได้สมาธิแยกกายออกจากใจได้แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทุกข์อยู่ตรงไหน ทุกข์อยู่ที่กายหรืออยู่ที่ใจกันแน่ และอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา
พอพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า ทุกข์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจ และเกิดจากความกลัว เกิดจากความหลง ที่ไปคิดว่าร่างกายเป็นสมบัติของใจ เป็นใจเอง พอรู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ร่างกายไม่ใช่ใจ ไม่ใช่สมบัติของใจ ใจไม่สามารถควบคุมบังคับให้ร่างกายเป็นไปตามความต้องการได้ ถ้าใจไม่อยากจะทุกข์ ใจก็ต้องปล่อยวางร่างกาย ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของเขา ดูแลเท่าที่จะดูแลได้ ถ้าหิวมีอาหารรับประทานก็รับประทานไป ต้องการดื่มน้ำก็ดื่มไป เจ็บไข้ได้ป่วยมียารักษาโรคก็รักษาไป รักษาหายก็อยู่ต่อไป รักษาไม่หายก็ต้องตายไป ใจที่ปล่อยจะไม่ทุกข์ ใจที่ไม่ปล่อย พยายามยื้อเอาไว้ พยายามดึงเอาไว้ ต้องการอยู่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใจดวงนั้นจะมีความทุกข์มาก ปัญหาอยู่ตรงนี้ อยู่ที่รู้หรือไม่รู้ ว่าอะไรเป็นใจ อะไรไม่เป็นใจ ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราสัมผัสอยู่นี้ไม่ใช่ใจเลย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุข้าวของเงินทองต่างๆ หรือบุคคลต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุ ไม่เป็นนามธรรม ใจเป็นนามธรรม ใจจึงไม่เป็นสิ่งเหล่านี้ แต่ใจไปหลง ไปยึดไปติด ไปครอบครอง แล้วก็เกิดความอยากจะให้อยู่กับตนไปนานๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าศึกษาดูก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่ และมีการดับไปเสมอ ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ ถึงแม้จะเกี่ยวข้องด้วย จะครอบครองไว้อยู่ก็ตาม จะรู้ว่ามีขอบมีเขตมีเวลาของมัน เหมือนกับยาที่ซื้อมารับประทาน จะมีฉลากติดไว้ข้างขวดว่า หมดอายุวันที่เท่านั้นๆ อาหารที่ซื้อมาก็เช่นเดียวกัน พอถึงวันนั้นก็ต้องโยนทิ้งไป ถ้าเอามาบริโภคก็จะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ ฉันใดสิ่งต่างๆที่มาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นวัตถุข้าวของเงินทองต่างๆ ควรมีฉลากเขียนติดมาด้วยเสมอว่า เป็นอนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด ไม่ใช่เป็นสมบัติของเรา เขียนติดไว้กับทุกสิ่งทุกอย่างเลย เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
นี่คือฉลากที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เพราะฉลากเหล่านี้ไม่ได้พิมพ์ติดมากับร่างกายของเรา เวลาเกิดมาถ้ามีฉลากนี้ติดไว้ก่อนก็จะดี บอกว่าคนนี้เกิดมาแล้วเดี๋ยวต้องตายนะ อย่าไปดีอกดีใจอย่าไปยึดอย่าไปติดกับคนนี้เขานะ เพราะเดี๋ยวจะต้องทุกข์วุ่นวายใจ คนนี้เขาไม่ใช่เป็นสมบัติของคุณ เขาเป็นเพียงแต่ธรรมชาติที่มีเหตุมีปัจจัย ทำให้เขาปรากฏขึ้นมา แล้วเหตุปัจจัยนั้นก็จะเสื่อมไปหมดไป แล้วตัวนั้นคนนั้นก็จะเสื่อมหมดไปตามเหตุตามปัจจัย นี่คือฉลากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ ที่เรียกว่าการตรัสรู้ ก็ตรัสรู้ตรงที่ฉลากนี้เอง ตรัสรู้เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในสภาวธรรมทั้งหลาย มีสภาวธรรมหรือมีธรรมอย่างเดียวที่ไม่ใช่อนิจจังทุกขังอนัตตา ก็คือใจที่บริสุทธิ์เท่านั้น ใจที่บริสุทธิ์นี้ไม่มีอะไรที่เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นน้ำก็เป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารอื่นๆเข้าไปเจือปนอยู่เลย จิตที่บริสุทธิ์จึงไม่มีการเสื่อม ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ไม่มีความทุกข์ จิตนี้เป็นจิตที่เราสามารถเข้าไปถึงได้ ถ้าเราน้อมเอาฉลากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เห็นนี้มาประกบกับความคิดของเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร ขอให้เราสอดแทรกฉลากอันนี้เข้าไป ว่ามันไม่เที่ยง ที่เราคิดถึงคนนั้นเราก็บอกว่าเขาไม่เที่ยง เดี๋ยวเขาก็ต้องตายจากเราไป หรือเราไม่เที่ยงเราต้องตายจากเขาไป ถ้าเราคิดกับเรื่องอะไรแล้วเรามีฉลากอันนี้คอยกำกับ คอยเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว เราจะไม่ทุกข์เราจะไม่วุ่นวาย เราจะไม่หวาดกลัวกับการเกิดขึ้นหรือการดับไปของสิ่งต่างๆในโลกนี้ นี่แลที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ อยู่ที่ตรงนี้
อยู่ที่ว่าจะสามารถเอาฉลากนี้ มากำกับกับความคิดของเราได้ตลอดเวลาหรือไม่ เวลาใดที่คิดโดยไม่มีฉลากนี้กำกับ ก็จะเป็นเหมือนกับคนตาบอด เพราะจะคิดสวนทางกับความจริงทันที จะเดินไปชนเสาทันที เพราะเวลาเราตาบอดเราก็ไม่คิดว่าจะมีเสาอยู่ข้างหน้า เราก็เดินไปชน ไม่เชื่อลองเดินในบ้านดูก็ได้ตอนกลางคืน ปิดไฟแล้วเดินไปตามความรู้สึกนึกคิดดู ว่าจะตรงกับความจริงหรือไม่ เดี๋ยวก็ต้องเดินไปชนกับฝา ต้องไปเตะเก้าอี้ ต้องไปล้มจนได้ เพราะไม่มีแสงสว่างให้เห็นอย่างชัดเจนนั่นเอง ฉันใดถ้าคิดโดยไม่มีฉลากคืออนิจจังทุกขังอนัตตาควบคู่ไปด้วยแล้ว ก็จะคิดสวนกระแสกับความจริง จะคิดว่าเที่ยง ว่าสุข ว่าเป็นของเราทันที พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็จะเกิดความอยากให้สุขไปนานๆ ให้อยู่ไปนานๆ แต่ไม่ได้เป็นตามที่ปรารถนา พอไม่ได้เป็นก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าทนทุกข์ไม่ได้ก็ต้องฆ่าตัวตายไป เพราะความจริงสวนกับความเข้าใจ เช่นคิดว่าจะมีความสุขกับสมบัติข้าวของเงินทอง กับคู่ครอง แล้วก็เกิดหมดเนื้อหมดตัว คู่ครองก็ตายจากไป ก็จะมีแต่ความทุกข์รุมเร้าจิตใจ เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับสภาพอย่างนี้ แต่คนที่มีฉลากของไตรลักษณ์อยู่ในใจตลอดเวลา เขาก็จะคิดถึงสภาพที่จะต้องอยู่อย่างหมดเนื้อหมดตัว ก็จะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับเหตุการณ์นั้น พอหมดเนื้อหมดตัว ก็ไปหางานหาการทำ หรือเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งสำรองเอาไว้เพื่อดูแลเราตอนตกอับ เราก็จะไม่เดือดร้อน นี้แลคือธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ที่ทำให้พระพุทธเจ้าหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย แล้วก็ทรงนำเอามาสั่งสอนพวกเรา สอนให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา ฟังเทศน์ฟังธรรม